ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของต้นหนาวเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่เดือนต่อมา เธอได้เรียนคณะบัญชีเพื่อที่จะกลับมาช่วยงานที่บริษัทของวสันต์
แต่เธอกลับมีสิ่งหนึ่งที่คาใจอยู่ ‘คินน์’ เขาหายหน้าไปจากชีวิตของเธอราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ ทุกคนก็ไม่เคยพูดถึงเขาต่อหน้าเธอเลยสักครั้ง
“ต้นหนาว ขอลอกชีทของอาจารย์สิริพรรณหน่อยสิ”
“ทำไมนายไม่ทำเอง มาลอกฉันอยู่ได้”
“ก็มันยาก” กล้าหาญทำหน้าหงอยเมื่อโดนต่อว่า
ต้นหนาวที่ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำกับเพื่อน จึงยอมยกชีทของตัวเองให้เพื่อนอย่างกล้าหาญลอกอย่างง่ายดาย
แก๊งของต้นหนาวประกอบได้ด้วยสมาชิกทั้งหมดสี่คน คือ เธอ กล้าหาญ มะเหมี่ยว และสาริน ซึ่งทุกคนก็ล้วนแล้วแต่มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีถึงดีมาก ระดับมหาเศรษฐีเลยก็ว่าได้ เพราะมหาวิทยาลัยนี้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงมากที่สุด
ในตอนแรกเริ่มเธอรู้จักแค่เพียงมะเหมี่ยว แต่หลังจากนั้นก็มีสารินกับกล้าหาญเข้ามาอยู่ด้วยเพราะต้องทำงานกลุ่มด้วยกัน แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เป็นเพื่อนสนิทกันมาจนถึงตอนนี้
“หนาว เย็นนี้ไปกินชาบูกันไหม” มะเหมี่ยวที่รักการกินเป็นที่สุดไม่ลืมที่จะเอ่ยชวนต้นหนาว
“ไม่ล่ะ ฉันอยากกลับบ้านมากกว่า”
“ตามใจนะ พรุ่งนี้เจอกัน บาย~”
เธอโบกมือลากับเพื่อนๆ ตรงหน้ามหาลัย ก่อนที่ลุงมิ่งคนขับรถของที่บ้านจะออกมารับเธอที่มหาวิทยาลัยเหมือนอย่างเช่นทุกวัน
เพียงไม่นานเธอก็กลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดี จู่ๆ ก็ปวดหัวเวียนหัวตั้งแต่เรียนภาคเช้าคล้ายจะไม่สบาย แต่ก็ทนเก็บอาการไม่ให้ใครรู้จนกลับมาถึงบ้าน
“ต้นหนาว พี่ซื้อขนมมาฝาก” ควีนกลับมาบ้านเกือบทุกวันเพราะกลัวว่าต้นหนาวจะเหงาเมื่อต้องอยู่บ้านคนเดียว คนอื่นๆ ต่างก็มีภาระหน้าที่จึงไม่ค่อยได้อยู่ติดบ้านกันสักเท่าไร
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่สบายเหรอ หน้าดูซีดๆ นะ” ควีนสังเกตเห็นได้ทันที
“นิดหน่อยค่ะ มึนหัวตั้งแต่เช้าแล้ว”
“ถ้างั้นก็กินยาแล้วรีบไปพักผ่อนเถอะ”
“ค่ะ” ต้นหนาวรีบวิ่งไปขึ้นบันไดหวังจะกลับไปพักผ่อนบนห้อง อีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะพ้นบันได แต่ขาของเธอดันอ่อนแรงลงกะทันหัน ร่างกายของเธอกำลังเอนไปข้างหลัง
มือที่อยู่ห่างจากราวบันไดเพียงแค่คืบเดียวแต่ก็ไม่อาจคว้าอะไรไว้ได้ ตามมาด้วยเสียงร้องวี้ดว้ายด้วยความตกใจของแม่บ้านที่กำลังลงมาจากชั้นสอง
“ว้ายยยยย คุณต้นหนาว...” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบลงไปพร้อมความรู้สึกชาที่ศีรษะ
“ต้นหนาว!” ควีนที่กำลังเตรียมจะกลับไปทำงานต่อ ก็ต้องวิ่งกลับเข้ามาในบ้านเมื่อได้ยินเสียงแม่บ้านร้องขึ้น
“คุณควีนคะ คุณต้นหนาวตกบันไดค่ะ”
“ช่วยควีนพาต้นหนาวขึ้นรถหน่อยค่ะ” ควีนตรวจประเมินอาการคร่าวๆ ก่อนจะขอให้แม่บ้านช่วยพาร่างของเด็กสาวที่นอนจมกองเลือดขึ้นรถยนต์
หญิงสาวถูกนำตัวส่งเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลภายในสิบห้านาที โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพียงแค่หัวแตกเท่านั้น แต่ก็ต้องรอดูอาการในโรงพยาบาลอีกหลายวัน เผื่อว่ามีอาการแทรกซ้อนร่วมด้วย
“ช่วยย้ายคนไข้ไปไว้ที่ห้อง VIP ด้วยนะคะ”
โรงพยาบาลที่ควีนทำงานอยู่ปัจจุบัน เป็นโรงพยาบาลของคุณตาที่ยกให้กับเธอก่อนที่จะเสีย ปัจจุบันเธอจึงเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้ ซึ่งชั้นบนสุดของตึกผู้ป่วยในโรงพยาบาลก็จะเป็นห้องวีไอพีสำหรับคนในครอบครัว
“โทรบอกพี่คินน์ดีไหมนะ” จู่ๆ ควีนก็นึกอยากแกล้งพี่ชายให้ปั่นป่วนใจ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคินน์ทันที
“พี่คินน์คะ”
(ว่าไงยัยน้องสาวตัวแสบ)
“ตอนนี้ต้นหนาวอยู่โรงพยาบาลค่ะ”
(ไปทำอะไร) เสียงของคนปลายสายเหมือนจะตกใจเล็กน้อย แต่ยังคงพยายามนิ่งเฉยไม่แสดงอาการออกมา
“พอดีว่าต้นหนาวพักผ่อนน้อยทำให้หน้ามืด วูบตdบันไดจนหัวฟาดพื้นค่ะ”
(...)
“ตอนนี้นอนอยู่ห้องวีไอพี แต่ว่าพี่คินน์ไม่ต้องมานะคะ เดี๋ยวจะโดนพ่อดุ”
(คิดจะโทรมาแกล้งพี่เหรอ)
“เปล่าค่ะ แค่ไม่อยากข้ามหน้าข้ามตา เลยโทรมาบอกให้พี่รู้สักหน่อย”
(อืมๆ แค่นี้นะ)
ควีนรู้สึกเหมือนโดนขัดใจเล็กน้อย เมื่อน้ำเสียงของคินน์เรียบนิ่งราวกับไม่ได้เป็นห่วงต้นหนาวเลยสักนิด ดูเหมือนแผนปั่นคินน์จะไม่ได้ผลซะแล้วสิ
“คุณหมอควีนคะ มีคนมารอพบค่ะ”
“ค่ะ เดี๋ยวควีนจะรีบไปค่ะ” พยาบาลสาวรีบเดินนำหน้าควีนไปยังห้องรับรองแขกที่มีใครคนหนึ่งกำลังรออยู่
ผ่านไปนานกว่าห้าชั่วโมง ต้นหนาวที่นอนอยู่บนเตียงจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บที่ศีรษะด้านหลัง
กลิ่นของห้อง ลักษณะของเตียง และสายน้ำเกลือที่อยู่ข้างเตียง ทำให้เธอพอจะรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เมื่อนึกย้อนกลับไปก็พอจะจำได้คร่าวๆ ว่าตัวเองรู้สึกเหมือนจะเป็นลมและหงายหลังตกลงมาจากบันได
ถือว่าโชคดีที่แค่หัวแตกไม่ได้แขนขาหักเพิ่มเติม คิดแล้วก็นึกโกรธตัวเองที่ไม่ยอมนอนพักทั้งที่รู้ตัวดีว่าร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรงอยู่แล้ว
“เป็นยังไงบ้าง”
“คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ?” จู่ๆ คินน์ก็พุ่งออกมาจากระเบียงพร้อมกับเอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ถ้ายังอยากเจอหน้าฉันอยู่ ก็อย่าบอกใครว่าฉันมาที่นี่”
“เอ่อ... ค่ะ” ต้นหนาวพยักหน้าหงึกๆ ตอบเขา
“ฉันแค่แวะมาดูเธอ”
“คุณพ่อคุณแม่สั่งห้ามไม่ให้คุณมาเจอหนาวเหรอคะ”
“อืม จนกว่าเธอจะเรียนจบ”
“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย คุณไม่ได้คิดอะไรกับหนาวสักหน่อย” คำพูดไร้เดียงสาของต้นหนาวทำให้คินน์เงียบลงไม่ตอบอะไร เพราะเขารู้ใจตัวเองดี
ขณะที่ต้นหนาวกลับคิดไปอีกทางว่าอาจจะเป็นเพราะเธอเป็นเพียงเด็กที่รับอุปการะเอาไว้ บางทีการใกล้ชิดกับคินน์คงไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องการ หรือเรียกว่า ไม่เหมาะสม
“แล้วคุณไม่กลัวพี่ควีนมาเจอเข้าเหรอคะ”
“เดี๋ยวฉันก็จะกลับแล้ว”
“ถ้างั้นก็รีบกลับไปเถอะค่ะ เดี๋ยวพี่ควีนมาเจอจะเป็นเรื่องเอา” ต้นหนาวไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะถึงขนาดที่วสันต์กับอรดาเอ่ยปากสั่งห้าม ก็แสดงว่าต้องเด็ดขาดมากๆ
“อืม ห้ามให้ใครรู้หรือหลุดปากเด็ดขาด”
“ค่ะ หนาวจะเก็บความลับไว้เป็นอย่างดีเลยค่ะ” เธอทำท่ารูดซิปปิดปากอย่างติดตลก ก่อนจะมองร่างสูงที่รีบออกไปจากห้องอย่างระมัดระวัง
“อ้าว ฟื้นแล้วเหรอหนาว” ควีนที่เพิ่งจะลงเวรจึงแวะมาดูต้นหนาวพลางสอดสายตามองหาว่ามีใครแอบเข้ามาหรือเปล่า
“ค่ะ”
“รู้สึกเจ็บตรงไหนอีกไหม แล้วมีใครเข้ามาหาหรือเปล่า” คำถามที่ถามของควีนทำให้ต้นหนาวเลิ่กลั่กเล็กน้อย แต่ก็พยายามทำตัวไม่ให้ดูมีพิรุธ
“เจ็บที่ข้อมือนิดหน่อยค่ะ หนาวก็เพิ่งตื่น ยังไม่เห็นมีใครเข้ามานะคะ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวพี่จะบอกหมอที่ดูแลให้นะ หนาวน่าจะต้องแอดมิทที่โรงพยาบาลอีกสักสองสามวันถึงจะออกได้”
“แล้วมหาลัยล่ะคะ” ต้นหนาวห่วงเรื่องเรียนของตัวเองมากที่สุด เพราะกลัวว่าจะเรียนตามเพื่อนไม่ทัน ต่อให้ตัวเองจะเก่งขนาดไหนก็เถอะ
“พี่โทรคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาให้แล้ว หลังออกจากโรงพยาบาลเอาใบรับรองแพทย์ไปยืนยันกับอาจารย์แต่ละวิชาก็พอ”
“ค่ะ” ควีนมองดูเด็กสาวที่หน้างอง้ำเมื่อได้ยินว่าต้องอยู่โรงพยาบาลต่ออีกสองสามวัน ก่อนจะยกมือขึ้นยีผมของเธอเบาๆ
“เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะมาเยี่ยมนะ”
“กลับมากันแล้วเหรอคะ” ต้นหนาวเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะก่อนหน้านี้กำหนดกลับคือเดือนหน้า
“อืม พอได้ยินว่าหนาวตกบันไดก็รีบกลับมากันเลย”
“แบบนี้หนาวก็ทำให้ทุกคนเสียการเสียงานน่ะสิ”
“ไม่ใช่สักหน่อย รีบกลับมาหาเพราะทุกคนเป็นห่วงหนาวต่างหาก” หากเป็นเรื่องของคนในครอบครัว แบบนี้ไม่เรียกว่าเสียการเสียงาน
ควีนมองดูต้นหนาวด้วยความเอ็นดู เพราะเด็กสาวมักจะเป็นห่วงความรู้สึกของคนอื่นเสมอ จนบางครั้งก็เป็นผลเสียกับตัวเอง
“แล้วจะมาถึงเมื่อไหร่คะ”
“อีกสักพักใหญ่ๆ ก็น่าจะถึงแล้วนะ ถ้าง่วงก็นอนพักผ่อนก่อนก็ได้ ไม่ต้องรอหรอก”
“ได้ยังไงคะ หนาวเองก็อยากเจอหน้าพ่อสันต์แม่อรจะแย่แล้ว” เด็กสาวออดอ้อนเก่งเป็นที่หนึ่ง
“ตื่นมาก็ยังได้เจอ นอนพักเถอะ โดนคุณแม่ดุขึ้นมา พี่ไม่รู้ด้วยน้า~” คุณหมอสาวขู่เล็กน้อย แต่ต้นหนาวกลับไม่ได้กลัวเลยสักนิด กลับกันยังหัวเราะออกมาอีกด้วย
“แม่อรไม่ดุหนาวหรอกค่ะ”
“หึๆ ถึงไม่ดุแต่คนป่วยก็ต้องพักผ่อนเข้าใจไหม” คราวนี้ไม่ได้อ้างชื่อของแม่เพื่อมาขู่ แต่ควีนกลับดุด้วยตัวเองเลย
“เข้าใจแล้วค่ะ” ยิ้มทะเล้นบนใบหน้าของเด็กสาว ทำให้ควีนยิ้มตามทันที ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว
“นอนพักได้แล้ว พี่ไม่ได้ขู่นะแต่พูดจริง”
“ก็ได้ค่ะ” ต้นหนาวยอมทำตามอย่างว่าง่าย ทิ้งตัวลงนอนตะแคงเพราะศีรษะด้านหลังเป็นแผลจะนอนหงายไม่ได้
“เจอกันพรุ่งนี้เช้านะ” มือเรียวดึงผ้าห่มมาห่มให้คนบนเตียง ก่อนที่จะเอ่ยบอกแล้วจึงหันไปปิดไฟและเดินออกจากห้องไป
บรรยากาศวังเวงทำให้ต้นหนาวรู้สึกกลัว เดิมทีก็ชอบดูหนังสยองหนาวอยู่แล้ว จินตนาการของเธอเลยยิ่งบรรเจิดจ้าคิดไปเรื่อยตลอดเวลา ไม่ว่าจะผีแบบไหน ก็มีแต่ภาพผุดขึ้นมาในหัวของเธอไม่หยุด
ร่างบางมุดเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยความกลัวจนไม่กล้าออกมาเพราะกลัวจะโดนจ๊ะเอ๋โดยไม่ทันได้ตั้งตัวกระทั่งผล็อยหลับไป...
“ต้นหนาวน่าจะกำลังนอนหลับอยู่ค่ะ” เสียงของควีนเอ่ยบอกกับวสันต์และอรดาที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงโรงพยาบาล
ภาพที่เด็กสาวนอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มทั้งตัวทำให้ควีนหัวเราะออกมาเล็กน้อย อาการแบบนี้ก็คงไม่พ้นกลัวผีไปได้
“แล้วทำไมนอนแบบนี้ล่ะ”
“คงจะกลัวผีมั้งคะ” ทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกันพลางมองร่างบางที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงคนไข้
“ควีนไปพักผ่อนเถอะลูก เดี๋ยวทางนี้พ่อกับแม่ดูแลต่อเอง”
“ค่ะ ตอนสายๆ จะเข้ามาหานะคะ”
“จ้ะ” สองแม่ลูกกอดกัน ควีนไม่ลืมที่จะหันมาหอมแก้มคนเป็นพ่อแล้วจึงค่อยกลับไปพักผ่อนที่ห้องพักแพทย์
กว่าต้นหนาวจะได้ออกจากโรงพยาบาลก็ปาไปเกือบสัปดาห์ จากตอนแรกที่จะได้แอดมิทเพียงสองสามวันเท่านั้น แต่ดันมีไข้หวัดเพิ่มขึ้นมาระหว่างที่รักษาอยู่ทำให้ต้องแอดมิทต่อ “พี่ควีนคะ หนาวไปแล้วนะคะ” ต้นหนาวในชุดนักศึกษาเอ่ยบอก ก่อนจะรีบวิ่งออกไปขึ้นรถของลุงมิ่งที่กำลังรออยู่ ใช้เวลานานกว่าสามสิบนาทีท่ามกลางการจราจรที่เริ่มจะติดขัด แต่ต้นหนาวกลับมาถึงมหาวิทยาลัยได้อย่างทันท่วงที คลาสแรกของวันนี้เริ่มตอนแปดโมงครึ่ง และระหว่างที่ต้นหนาวกำลังวิ่งอยู่นั้นเป็นเวลาแปดโมงยี่สิบนาทีแล้ว “ตายๆๆ ตายแน่ๆ” คนที่ไม่ชอบการเข้าเรียนสายอย่างต้นหนาว เกลียดช่วงเวลานี้มากที่สุด แกรก! หญิงสาวผลักประตูพร้อมกับวิ่งพรวดพราดไปนั่งที่ประจำด้านหลัง โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองเธอเลยสักนิด “ทำไมวันนี้มาสายแบบนี้ล่ะ” มะเหมี่ยวแปลกใจเมื่อเห็นต้นหนาวมาสาย ทั้งที่ปกติแล้วจะมาถึงเป็นคนแรกเสมอ “พอดีนอนเพลินไปหน่อย” “แล้วหายดีหรือยัง” “ก็ยัง แต่ว่าดีขึ้นมากแล้ว” “ฉันจดเลคเชอร์ไว้ให้ ส่วนการบ้านส่งให้ทางอีเมลแล้ว” คนพูดน้อยที่สุดในก
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของต้นหนาวเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่เดือนต่อมา เธอได้เรียนคณะบัญชีเพื่อที่จะกลับมาช่วยงานที่บริษัทของวสันต์ แต่เธอกลับมีสิ่งหนึ่งที่คาใจอยู่ ‘คินน์’ เขาหายหน้าไปจากชีวิตของเธอราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ ทุกคนก็ไม่เคยพูดถึงเขาต่อหน้าเธอเลยสักครั้ง “ต้นหนาว ขอลอกชีทของอาจารย์สิริพรรณหน่อยสิ” “ทำไมนายไม่ทำเอง มาลอกฉันอยู่ได้” “ก็มันยาก” กล้าหาญทำหน้าหงอยเมื่อโดนต่อว่า ต้นหนาวที่ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำกับเพื่อน จึงยอมยกชีทของตัวเองให้เพื่อนอย่างกล้าหาญลอกอย่างง่ายดาย แก๊งของต้นหนาวประกอบได้ด้วยสมาชิกทั้งหมดสี่คน คือ เธอ กล้าหาญ มะเหมี่ยว และสาริน ซึ่งทุกคนก็ล้วนแล้วแต่มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีถึงดีมาก ระดับมหาเศรษฐีเลยก็ว่าได้ เพราะมหาวิทยาลัยนี้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงมากที่สุด ในตอนแรกเริ่มเธอรู้จักแค่เพียงมะเหมี่ยว แต่หลังจากนั้นก็มีสารินกับกล้าหาญเข้ามาอยู่ด้วยเพราะต้องทำงานกลุ่มด้วยกัน แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เป็นเพื่อนสนิทกันมาจนถึงตอนนี้ “หนาว เย็นนี้ไปกินชาบูกันไหม” มะเหมี่ยวที่รักการกินเป็
วันนี้ต้นหนาวได้ไปสอบเทียบเข้ามหาลัย ทุกอย่างก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่นและต้นหนาวก็มั่นใจว่าทุกอย่างจะออกมาดีเหมือนที่เธอคิดเอาไว้ คินน์กลับมาบ้านและรับหน้าที่เป็นคนขับรถพาเด็กสาวไปสอบแล้วก็พาเธอไปเดินห้างสรรพสินค้าต่อหลังจากที่สอบเสร็จ อีกทั้งยังพาเธอไปกินโน้นกินนี่แต่ต้นหนาวก็ไม่เอะใจเพราะมัวแต่สนุกสนานกับการกินและเที่ยวจนแทบจะลืมไปว่ามีคินน์มาด้วย “นึกยังไงถึงต้นหนาวมาเที่ยวคะ” ต้นหนาวเอ่ยถามระหว่างที่กำลังเดินเข้าบ้าน “ไม่ต้องอยากรู้” คินน์ตอบด้วยน้ำเสียงดุๆ ทำให้ต้นหนาวหน้างอเล็กน้อย แต่ก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเขาส่งสายตาดุดันมาที่เธอ “อ้าว พี่คินน์กลับมาเมื่อไหร่คะ” ควีนที่เป็นห่วงกลัวว่าต้นหนาวอยู่บ้านคนเดียวหลังจากสอบเสร็จแล้วจะเหงาจึงแวะกลับมาพร้อมกับอาหารและขนมเต็มไม้เต็มมือ “เมื่อวานน่ะ” “ต้นหนาวพี่ซื้อของกินมาฝาก” ควีนชูขนมและของกินมากมายในมือให้ต้นหนาวดู ทว่าเจ้าตัวกลับรู้สึกอิ่มจนกินอะไรต่อไม่ลงแล้ว “เอ่อ... พี่ควีนกินอะไรมาหรือยังคะ” “พี่กินมาแล้วจ้ะ” “ถ้างั้นเดี๋ยวหนาวเก็บ
ต้นหนาวก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน หลังจากที่คินน์ตกลงให้หญิงสาวมาทำงานที่นี่ วสันต์และอรดาที่เป็นเสาหลักของบ้านต่างก็เอ็นดูต้นหนาวตามๆ กัน เพราะเหมือนได้ลูกสาวมาเพิ่มอีกคน ควีนโล่งใจขึ้นและเข้าใจว่าคินน์เสนอจ้างงานต้นหนาวเพื่อให้เด็กสาวไม่ยึดติดว่าเป็นหนี้บุญคุณต่อครอบครัวของเขา ปล่อยให้ต้นหนาวได้ใช้ชีวิตอย่างดีเสมือนส่วนหนึ่งในครอบครัว แม้จะเป็นงานแต่ก็เป็นงานที่มีความสุขที่สุด ส่วนโคลด์ก็เอ็นดูต้นหนาวเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่งไม่ต่างจากควีนเช่นกัน หลังจากผ่านความตายมาได้อย่างเฉียดฉิวก็ต้องขอบคุณต้นหนาวที่เบี่ยงเบนความสนใจของคนพวกนั้นจนทำให้เขาไม่ต้องกลายเป็นศพไปเสียก่อน แต่ก็อาการสาหัสเอาเรื่อง “ต้นหนาว พรุ่งนี้ไปเที่ยวกับพี่ไหม” ควีนเอ่ยชวนเด็กสาวที่กำลังช่วยจัดเอกสารภายในห้องทำงานของเธอ พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพอดี ควีนเลยถือโอกาสจะพาต้นหนาวไปเที่ยวสักหน่อย ถ้าได้พาเด็กสาวออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็น่าจะดีกว่าอยู่แต่ในบ้าน “ไปสิคะพี่ควีน เอ่อ... ว่าแต่คุณคินน์เขาจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอคะ” ตลอดเวลาที่ต้นหนาวตกลงทำงานอยู่ที่นี่มานานเกือบห้
คินน์ คณิณกรณ์ นักธุรกิจหนุ่มวัยยี่สิบเก้าปีที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นรองประธานบริษัทตั้งแต่อายุยังน้อย ครอบครัวรวยล้นฟ้า มีธุรกิจมากมายหลายอย่างไม่ว่าใครก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักนามสกุลของเขา ‘วงศ์วรกุลกิตติ์’ แต่ภายใต้หน้ากากของนักธุรกิจ ครอบครัวของเขายังเป็นมาเฟียที่มีอิทธิพลมากอีกด้วยคินน์อุ้มร่างของหญิงสาวแปลกหน้าที่เป็นลมไป เข้ามาภายในบ้านอย่างรีบร้อน “พี่คินน์ นั่นใครคะ” น้องสาวคนเล็กสุดของบ้านอย่าง ‘ควีน’ รีบพุ่งตรงเข้าไปช่วยเหลือทันที เมื่อเห็นว่าในอ้อมแขนของพี่ชายอุ้มผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วย “ไม่รู้สิ แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ทำให้เข้าไปช่วยโคลด์เอาไว้ได้ทัน พี่ก็เลยพามาด้วย” “แต่ทำไมเธอถึงมีรอยแผลเยอะขนาดนี้ล่ะคะ ไม่ใช่ว่าไปโดนใครทำร้ายมาเหรอคะเนี่ย” ปลายนิ้วเรียวสัมผัสร่างกายมอมแมมอย่างไม่รังเกียจ “งั้นพี่ฝากควีนช่วยจัดการให้หน่อยนะ” “ได้ค่ะ แต่จะพาเธอไปไว้ห้องไหนล่ะคะ” ตอนนี้ทุกห้องในบ้านก็มีคนอยู่ครบ ห้องรับแขกก็ไม่ได้ทำความสะอาดเอาไว้คงจะมีแต่ฝุ่นเต็มไปหมด “ห้องพี่ก็ได้” “หา! เอางั้นเหรอคะ?” ควีนเผลอส่งเสียงร้องตกใจออกมา
ค่ำคืนที่แสนมืดมิดมีเพียงแสงของพระจันทร์ที่สว่างไสว ราวกับชีวิตของเด็กสาวที่กำลังรอคอยวันที่จะได้เห็นแสงสว่างในปลายทางข้างหน้า อีกไม่นานชีวิตที่ไม่อาจเลือกเกิดได้กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล... ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ! ปึง!“หน้าด้าน! แกนี่มันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ” เสียงตวาดดังลั่นบ้าน ก่อนที่ร่างของเด็กสาวแสนบอบบางจะถูกผลักออกมาจากบ้านอย่างรุนแรง เนื้อตัวฟกช้ำและมีแต่แผลเต็มไปหมด “พอเถอะจ้ะเมียจ๋า เดี๋ยวมันตายจะเป็นเรื่องใหญ่” “กล้าดียังไงมายุ่งกับผัวกู มึงอยากลองดีกับกูเหรอ” ความโมโหทำให้อีกฝ่ายหน้ามืดตามัวจนมองไม่เห็นความจริงที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้คำโกหกของผู้ชาย “ผัวเจ๊นั่นแหละ มันคิดไม่ซื่อกับฉัน” หญิงสาวรีบเถียงกลับ เธอไม่ยอมรับในความผิดที่ตัวเองไม่ได้ทำ ตวัดสายตาไปมองผู้ชายที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังของเจ๊สร “ไม่ต้องมากล่าวหาผัวกู มึงจะไปตายที่ไหนก็ไป!”ต้นหนาวกระตุกยิ้มเมื่อถูกอีกฝ่ายตวาดไล่ ก่อนจะปิดประตูบ้านเต็มแรงด้วยความโมโห คนโง่ก็ยังโง่จนวันยังค่ำ... เมื่อเห็นโอกาสที่จะได้หนีออกไปจากที่นี่ เธอจึงรีบหอบร่างกายอันบอบช้