LOGINยุ่งไม่พอ....
เวลายังผ่านไปเร็ว เร็วชนิดที่ว่าญารินยังไม่ทันได้คุยอะไรกับว่าที่ "สามี" เลย งานแต่งถูกจัดออกมาอย่างใหญ่โตสมฐานะ บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่น แขกจากทั่วทุกสารทิศต่างทยอยมาแสดงความยินดี ซุ้มหน้าทางเข้างานที่จัดด้วยดอกไม้นั้นดูสวยงาม และเข้ากันได้ดีกับธีมงานสีทองหรูหราที่เจ้าสาวเป็นคนเลือกและออกแบบเอง ภาพของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ยืนจับมือกันยิ้มรับแขกช่างดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ผู้ชายก็สูงหล่อดูดี ส่วนผู้หญิงก็สวยจนแทบลืมหายใจ ใครเห็นก็เอ่ยปากชม แถมภายในงานยังจัดออกมาได้ดี ทั้งอาหาร ทั้งเครื่องดื่ม ทั้งดนตรีเจ้าภาพจัดเต็มแบบไม่มีคำว่ากั๊ก เรียกได้ว่างานนี้ได้รับคำชมจากแขกทุกคนจนล้นหลามจริงๆ ทุกอย่างในงานผ่านไปอย่างราบรื่น จนกระทั่ง... "เจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาวหน่อยครับ" ห๊ะ!!! อีตาพิธีกรบ้า!! ไม่มีอย่างอื่นให้พูดแล้วรึไง เรียกแขกขึ้นมาร้องเพลงสิ ทำไมจะต้องหอมแก้มด้วย ดวงตาคู่สวยเบิกโตเมื่อได้ยินเสียงเชียร์ของแขกในงานสนับสนุนการแสดงความรักที่เจ้าบ่าวมีให้กับเจ้าสาว รักบ้ารักบออะไร... ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ฉันได้เจอหน้าเจ้าบ่าวแค่สามครั้งถ้วน ไม่รวมถึงการคุยแต่ละครั้งที่แทบจะนับคำได้ หญิงสาวคิดในใจ ครั้งแรกคือคืนนั้น ครั้งที่สองคือพรีเวดดิ้งที่ทุลักทุเล หาความโรแมนติกเหี้ยอะไรไม่ได้เลยเพราะโทรศัพท์ของเจ้าบ่าวสายเข้าดังตลอดเวลา ส่วนครั้งที่สามก็คือวันนี้ อนิจจา.... ความสัมพันธ์ สุดแสนจะเจือจาง!! ดีแค่ไหนแล้วที่เธอยังสามารถจำหน้าของว่าที่เจ้าบ่าวได้ เอาเถอะ!! ในเมื่อมาถึงจุดนี้เธอก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ย่าจะต้องไม่อาย ดังนั้นมือเรียวจึงสอดเข้าไปคล้องแขนของว่าที่เจ้าบ่าวสุดหล่อที่เหมือนจะตกใจ แต่ก็ปรับเปลี่ยนสีหน้าทัน ก็นะ....ถ้าเธอไม่เริ่มก่อน อีตาพี่หมอมันก็ยืนนิ่งเป็นตอไม้ คนได้สงสัย นินทาสนุกปากแน่!! เอาน่ะ!! ทนอีกนิด เธอคิดอย่างนั้น แต่ทว่าการต้อนรับแขกที่ว่าเหนื่อยแล้ว มันยังไม่เท่ากับ ช่วงเวลาส่งตัวเข้าหอ ที่ต้องรอให้ผู้ใหญ่อวยพรนู่นนี่นั่นเอเวอรี่ติง โอเค!! พ่อเธอน้ำตาแตกแล้วหนึ่ง ส่วนย่าน้ำตาแตกไปแล้วสอง ส่วนป้าๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตาสอนเทคนิคมัดใจชายอย่างสนุกสนาน ไม่ได้คิดเลยว่าเธอจะอายเจ้าบ่าวที่นั่งหูผึ่งข้างๆ ไหม ซึ่งกว่าจะผ่านจุดๆ นั้นมาได้ก็ทำเอาเธอแทบหืดขึ้นคอ ยิ้มถ่ายรูปจนเหงือกแห้ง ก้มหน้ากราบสามีแล้วสามีอีกเพื่อให้ได้ภาพนิ่งสวยๆ มาประดับฝาผนัง ให้ย่าได้ชื่นใจ ให้พ่อได้ปลื้มปริ่ม ให้ป้าๆ ได้เอาไปโม้ไปอวดคนอื่นๆ ได้ว่าหลานสาวบ้านนี้สวย และเนื้อหอมขนาดไหน เอาน่ะถึงพี่พีทจะไม่ได้มาจีบ และการแต่งงานไม่ได้เริ่มต้นจากความรัก แต่เพื่อความสุขของทุกคน วันนี้ถือซะว่าเธอยอมหลับหูหลับตา แสร้งทำตัวเนียนๆ เออๆ ออๆ ตามน้ำไปก็แล้วกัน "ดูแลน้องด้วยนะพ่อพีท" นั่นคือคำพูดของพ่อที่ทำเอาญารินถึงกับตาแดงก่ำด้วยความซาบซึ้งใจ พ่อเธอเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่ง การที่พ่อเธอร้องไห้ก็คือช็อตเด็ดที่สุดในงานแล้ว คนตัวโตที่นั่งข้างเธอตอบ "ครับ" ด้วยน้ำเสียงฟังดูหนักแน่นจริงใจ ผู้ชายสองคนมองตากัน ถึงไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาให้ได้ยินแต่เธอก็รับรู้ได้ว่าพ่อไว้ใจคนข้างๆ อยู่ไม่น้อยทีเดียว และแล้วก็ถึงเวลา.... ที่ถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพัง จากที่คิดว่าจะทำเฉยๆ ชิวๆ อยู่ๆ คำพูดของป้าก็ดันลอยเข้ามาในหัว ต้องทำอย่างนั้นนะ ต้องทำอย่างนี้ด้วย คือเทคนิคเยอะมาก หน้าขาวเนียนเริ่มแดง แน่นอนว่าเธอไม่ได้ร้อนเพราะอากาศ แต่เพราะมันอายกับความคิดที่กำลังจินตนาการเรื่องอย่างว่าจนน่าตี "ใจเย็นๆ ญาริน" หญิงสาวบอกกับตัวเองที่ใจเต้นแรง เพราะกลัวว่าจะต้องเข้าห้องหอในคืนนี้แบบสมจริง "ญา" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นตัดความเงียบ "คะ!!!!" คนมันตกใจไงก็เลยตอบรับเสียงดัง "เปลี่ยนชุดไหม" ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นหน้าสวยๆ ของเธอแดง บางทีชุดมันอาจรัดและร้อนเกินไป เธอจึงรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวก "มะ...ไม่เป็นไรค่ะ พี่พีทเปลี่ยนก่อนเลย" หญิงสาวผายมือไปทางห้องน้ำใหญ่พร้อมรอยยิ้ม หวาน เธอขอเวลาตั้งสติก่อน คืนนี้เธอยังไม่พร้อมดังนั้น อะไรที่มันสุ่มเสี่ยง อะไรที่มันทำให้พี่พีทมีอารมณ์ทำเรื่องอย่างว่าเธอจะต้องเลี่ยงให้หมด ช่วงเวลาที่ชายหนุ่มไปเข้าห้องน้ำ เธอก็รีบวิ่งไปห้องน้ำอีกห้องหนึ่ง เธอใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็วิ่งผ่านน้ำไปเลย เสื้อที่คิดว่ามิดชิดที่สุด ชุดชั้นในที่คิดว่าเชยและเฉิ่มโบ๊ะมากที่สุด ตอนนี้ได้ถูกบบรรจงสวมในตัวเธอทั้งหมดแล้ว ถึงจะร้อน ฉันก็จะทน!! หญิงสาวพึมพำพร้อมกับกระชับคอเสื้อให้แน่นขึ้นกว่าเดิม และพอชายหนุ่มออกมาจากห้องน้ำ สิ่งที่เห็นตรงหน้าก็ทำเอาเขาถึงกับผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นเจ้าสาวของตัวเองอยู่ในชุดที่ เอ่อ...ดูไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ ชุดไหมพรมแขนยาวนั่นคืออะไร แล้วกางเกงวอร์มนั่นล่ะ เธอไม่ร้อนเหรอ อยากจะถามออกไป ก็กลัวว่าจะไปล้ำเส้นเรื่องส่วนตัว เธออาจจะเป็นคนขี้หนาวก็เลยติดใส่ชุดหนาๆ เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น เขาเป็นหมอ เขาย่อมเข้าใจ ก็เลย.... ไม่ถามซักไซร้ให้มากความ วันนี้เขาเองก็เหนื่อยมาทั้งวัน อยากจะเอนหลังพักผ่อนเต็มทน เขาเดินตรงมาที่เตียงขนาดใหญ่ แน่นอนว่าย่าสั่งทำมาเป็นพิเศษเพื่อมอบให้เธอกับเขาโดยเฉพาะ ญารินมานอนรอที่เตียงก่อน มันทั้งนุ่ม มันทั้งใหญ่ และมันก็สบายซะจนเธออดที่จะเอ่ยปากชมไม่ได้ "เตียงน่านอนจังเลยนะคะ" "ผมก็ว่างั้น" ตอบยิ้มๆ พร้อมกับสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มหนา การที่มีอีกคนนอนในเตียง มันทำให้เธอคิดได้ว่าเมื่อกี้เธอพูดให้ท่าหรือเปล่า หรือส่งสายตาเชิญชวนให้พี่พีทเข้าใจผิดไหม โอ้ย!! ฉันอยากหยิกปากตัวเองจัง ถ้าพี่พีทคิดว่าเธอยั่วยวน ชวนให้ทำเรื่องอย่างว่าแล้วเป็นฝ่ายรุกเธอล่ะ ไม่นะ!! เธอยังไม่พร้อมบอกตรง เธอต้องการเวลาเตรียมตัว และเธอก็ต้องการเวลาเตรียมใจด้วย เรื่องอย่างนี้ถ้าคนไม่รักกันมันก็ทำไม่ได้ ดังนั้น ในเมื่อมันจวนตัว ทางเดียวที่จะรอดก็คือ.... หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะพูดสิ่งที่เตรียมมาเผื่อไว้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินในวันเข้าหอว่า "พี่พีทคะ ญาเป็นเมนส์!!!!"คนที่นอนตื่นสายเดินลงมาจากห้องนอน สายตากวาดมองไปทั่วชั้นล่าง แต่ไม่พบเงาของคนที่ได้ชื่อว่า "สามี" ใจหนึ่งก็รู้สึกผิดที่ทำตัวไม่สมกับเป็นภรรยาที่ดีดั่งคำสอนย่า แต่อีกใจก็นะแฮปปี้ดีเหมือนกัน เพราะเธอเองก็ไม่ค่อยชินกับการที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นที่มีสถานะต่างเพศสักเท่าไหร่ ยกเว้นพ่อบังเกิดเกล้า ที่รับหน้าที่เป็นพ่อ "เลี้ยงเดี่ยว" ดูแลเธอตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยใช่ค่ะ!! พ่อฉันเป็นหม้าย โสดสนิท สถานะเมียทิ้ง ทั้งชีวิตทำแต่งาน หาแต่เงิน จนละเลยความรู้สึกเมีย พอรู้ตัวอีกทีก็โดนทิ้งไปแบบงงๆ แถมยังทิ้งของแถมให้ดูเป็นของต่างหน้า ก็คือ "เธอ" ย่าเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นเธอยังอายุแค่สามเดือน ผู้ชายห่ามๆ ทำแต่งานอย่างพ่อมีหรือจะเลี้ยงเป็น ดังนั้นตอนเด็กๆ เธอจึงถูกโยนให้ย่าเลี้ยง และนี่ก็คือเหตุผลหลักเลยว่าทำไมเธอถึงเป็นหลานรักของย่า ก็นะทั้งน่ารัก ทั้งน่าเอ็นดู แถมยังพกพาความน่าสงสารสดใสมาเต็ม ย่าก็เลยทั้งรักทั้งหลงเธอหนักเป็นพิเศษถ้าถามว่าสงสารพ่อไหม??เธอก็สงสารอยู่ แต่มาคิดในอีกมุมหนึ่งพ่อก็ทำตัวเอง มีเมียแต่ไม่ใส่ใจ สุดท้ายเมียก็เลยทิ้งไปอย่างไม่ใยดี นี่คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เธอหวงชีวิตโสด เ
คิดว่าแค่โกหกๆ ไปก็จบคิดว่าจะรอดพ้นไปได้ง่ายๆแต่ที่ไหนได้ มันไม่ได้จบง่ายๆ อย่างที่คิด เพราะถึงเธอจะรอดพ้นจากการทำกิจกรรมสานสัมพันธ์ฉันท์ผัวเมียจริง แต่ก็ลืมไปว่าพี่พีทเป็นหมอ ใช่!! และมันก็สำคัญมาก เพราะสายตาที่พี่เขามองเธอนั้นมันแอบมีความไม่เชื่อแฝงอยู่นิดๆ แค่คำพูดคงยังไม่มีน้ำหนักพอ ดังนั้นงานแสดงละครต้องมา งานตอแหลให้สมจริงต้องมี แหมๆ คนอย่างญารินทำได้ทุกอย่าง จะเอาตัวให้รอดก็ต้องฉลาดและเฉลียว ไม่งั้นคงไม่ได้รับฉายาแถเก่งมาครองหรอก จริงไหม!!"อะ....โอ้ยยยยย"อยู่ๆ คนที่เพิ่งบอกว่าตัวเองเป็นเมนส์ก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาพร้อมกับใช้สองมือกุมท้อง ไม่พอเธอยังเพิ่มความสมจริงขึ้นอีกนิดด้วยการทำหน้าบิดเบี้ยวแสดงถึงความเจ็บปวดประหนึ่งคนที่เพิ่งโดนต่อยท้องมา ฮึๆๆๆๆ ถึงกับอึ้งไปเลยสินะ!!หญิงสาวคิดพร้อมกับเหล่มองปฏิกิริยาคนนอนข้างๆ โอเค ถึงเขาจะดูงงนิดๆ แต่ดูจากหัวคิ้วเข้มที่ย่นเข้าหากัน แสดงว่ามันได้ผลอยู่ คิดไว้ว่าจะแสดงแค่นิดๆ หน่อยๆ แต่คนอย่างเธอพอได้ทำอะไรมันก็มักจะเผลอตัวจัดเต็มตลอด งานนี้ก็เลยนอนตัวงอเป็นกุ้งไปเลยสิจ๊ะ"ญาเจ็บมากเลยเหรอ"เสียงทุ้มถามคนที่กำลังแหกปากลั่นด
ยุ่งไม่พอ....เวลายังผ่านไปเร็ว เร็วชนิดที่ว่าญารินยังไม่ทันได้คุยอะไรกับว่าที่ "สามี" เลย งานแต่งถูกจัดออกมาอย่างใหญ่โตสมฐานะ บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่น แขกจากทั่วทุกสารทิศต่างทยอยมาแสดงความยินดี ซุ้มหน้าทางเข้างานที่จัดด้วยดอกไม้นั้นดูสวยงาม และเข้ากันได้ดีกับธีมงานสีทองหรูหราที่เจ้าสาวเป็นคนเลือกและออกแบบเองภาพของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ยืนจับมือกันยิ้มรับแขกช่างดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ผู้ชายก็สูงหล่อดูดี ส่วนผู้หญิงก็สวยจนแทบลืมหายใจ ใครเห็นก็เอ่ยปากชม แถมภายในงานยังจัดออกมาได้ดี ทั้งอาหาร ทั้งเครื่องดื่ม ทั้งดนตรีเจ้าภาพจัดเต็มแบบไม่มีคำว่ากั๊ก เรียกได้ว่างานนี้ได้รับคำชมจากแขกทุกคนจนล้นหลามจริงๆ ทุกอย่างในงานผ่านไปอย่างราบรื่น จนกระทั่ง..."เจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาวหน่อยครับ"ห๊ะ!!!อีตาพิธีกรบ้า!! ไม่มีอย่างอื่นให้พูดแล้วรึไง เรียกแขกขึ้นมาร้องเพลงสิ ทำไมจะต้องหอมแก้มด้วย ดวงตาคู่สวยเบิกโตเมื่อได้ยินเสียงเชียร์ของแขกในงานสนับสนุนการแสดงความรักที่เจ้าบ่าวมีให้กับเจ้าสาวรักบ้ารักบออะไร...ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ฉันได้เจอหน้าเจ้าบ่าวแค่สามครั้งถ้วน ไม่รวมถึงการคุยแต่ละครั้งท
เคยได้ยินมาบ้างว่าหมอมีความรับผิดชอบสูง!!แต่คือเข้าใจไหมว่า...ไม่ต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษมารับผิดชอบเรื่องของฉันก็ได้ ฉันไม่ว่า ฉันไม่ด่า ฉันไม่โวยวาย และฉันก็ไม่ได้อยากเรียกร้องให้นายมารับผิดชอบอะไรเลยจริงๆ ถึงญารินจะคิดเช่นนั้นแต่ก็พูดออกมาไม่ได้ สายตากดดันของย่าทำเอาเธอรู้สึกหนาวไปถึงไขสันหลัง ไม่กล้าแม้แต่จะอ้าปากพูดแสดงความคิดเห็น หน้าสวยๆ ไร้ซึ่งรอยยิ้มนั้นบ่งบอกว่าเธอไม่เห็นด้วยกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ยิน หัวทุยส่ายไปมาทุกครั้งเมื่อได้ยินคำว่า "แต่งงาน" ย่าดูกระตือรือร้นจนเธอหวั่นใจ และในที่สุดสิ่งที่เธอกลัวและไม่อยากได้ยินก็กำลังเปล่งออกมาจากริมฝีปากที่มีรอยยับย่น "คงต้องหาฤกษ์แต่งให้เร็วที่สุด"อนิจจา....จบเห่แล้ว!!หญิงสาวถึงกับอ้าปากค้าง ไปต่อไม่เป็นเพราะไม่นึกว่าสถานะโสดของเธอจะพลิกผันในชั่วข้ามคืน และเมื่อเหล่มองหน้าไร้อารมณ์ของว่าที่เจ้าบ่าว เธอก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะตั้งแต่เธอบอกไปว่าให้ "หุบปาก" ก็หุบปากจริงๆ ไม่พูด ไม่จา ไม่หือ ไม่อือ แต่เสือกพยักหน้าตอบรับกับทุกเรื่องที่ผู้ใหญ่เสนอ หนักกว่าเก่าหนักกว่าเก่ามากบอกเลย!!เมื่อไม่มีพรรคพวก ก็เลยกลายเป็นพวกหัวเดียว
"อยู่กันไปก็รักกันเอง"นั่นคือคำพูดเนิบๆ ของผู้เป็นย่าที่ทำเอาญารินถึงกับอึ้งไปเลย ดวงตาคู่สวยเหล่มองใบหน้าเหี่ยวๆ สลับกับหน้าพ่อเป็นระยะ เธอเองก็เดาใจย่าไม่ถูก แถมตอนนี้บรรยากาศในห้องก็เครียดมากจนเธอหายใจไม่ออก มันเหมือนว่าเธอกำลังทำผิดและมันก็ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด ยิ่งได้ยินทุกประโยคที่ผู้ใหญ่คุยกันมันก็ยิ่งทำให้รู้ว่าเรื่องของเธอกำลังเลยเถิดไปไกลเกินกว่าที่จะปล่อยผ่าน เอาตรงๆ มันพูดไม่ออก บอกไม่ถูก มันเหมือนคนน้ำท่วมปาก ไม่พอยังแอบรู้สึกหวิวๆ เคว้งๆ ตงิดๆ ในใจพิกล มันเหมือนกับว่าเธอกำลังถูกทุกคนมัดมือชกให้ต้องตกลงแต่งงานกับผู้ชายแปลกหน้าที่เธอยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อด้วยซ้ำฉันงงส่วนไอ้ผู้ชายข้างๆ ฉันก็คงงงเป็นไก่ตาแตกไม่แพ้กัน!!เพราะตอนนี้พวกป้าๆ ที่เป็นผู้ใหญ่หัวหงอกเสี้ยมเก่ง ต่างลงความเห็นด้วยสีหน้าจริงจังว่าจะต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องเพื่อรักษาหน้าและชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล และเพื่อกันไม่ให้มีคนนินทา ก็เลยแก้ปัญหาที่แสนจะน้ำเน่าเหมือนในละครที่เธอเคยดูเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว นั่นก็คือ...จับแต่งให้มันจบๆ ไปเดี๋ยวก่อนนะ!!เฮลโหล~ได้ยินฉันไหมถามความคิดเห็นฉันยังแล้วไอ้งั่งนั่ง
เมื่อไหร่จะแต่งงานอยากขึ้นคานรึยังไงหรือว่าไม่มีใครเอา!!นั่นคือคำพูดประโยคเดิมซ้ำๆ จากคนรอบข้างที่พอเห็นหน้า "ญาริน" ปุ๊บ หนอนก็เจาะปากปั๊บ คือไม่มีเรื่องอื่นให้ถามหรือไง อย่างเช่น ได้ข่าวว่างานไปได้ดี ได้เลื่อนขั้นอะไรอย่างนี้ เรื่องไหนดีๆ เป็นศรีแก่ปากก็ไม่รู้จักถาม เอาถามแต่เรื่องที่ชวนให้เธอต้องปวดหัว คนเพิ่งเรียนจบ วันๆ ทำแต่งาน แล้วจะเอาเวลาว่างที่ไหนไปคว้าผู้ชายมาแต่งทำผัว ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจ เธออยากจะพูดตอกหน้าพวกญาติๆ ไปสักหมัดสองหมัด แต่เอาเถอะ ถ้าสวนกลับไปสุดท้ายก็คงโดนพ่อด่าอยู่ดี ดังนั้นจึงทำได้แค่นั่งปั้นหน้าแสร้งยิ้ม ทำหูทวนลม หยิบขนมยัดเข้าปากไปแบบเซงๆผู้หญิงอายุยี่สิบสี่แก่ตรงไหน??เอาตรงๆ เลยคือไม่เข้าใจ ทำไมอยากให้เรียนจบแล้วต้องแต่งงานทันที แต่งทำไมเร็ว ยังเที่ยวลัลล้าใช้ชีวิตโสดไม่คุ้มเลย หญิงสาวคิดในใจ และในเมื่อไม่อยากฟังเธอจึงค่อยๆ ปลีกตัวมานั่งเล่นโทรศัพท์ไกลๆ วันนี้เป็นวันรวมญาติที่บ้านย่า เอาตรงๆ จากใจคือเธอไม่ได้อยากมาเลย แต่คนเป็นพ่อเอาแต่คะยั้นคะยอขอร้องให้เธอมาด้วย สุดท้ายก็นะ...ขัดไม่ได้ที่ผ่านมาเธอสรรหาเหตุผลอ้างว่า "ไม่ว่าง" แถมยังเอาตัวรอดได้ทุกป







