ตาม ภูมิรพี: TALK
@ร้านไอศกรีม Banana
“ไอศกรีมมาแล้วค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
สิ้นเสียงตอบรับถ้วยไอศกรีมแก้วใหญ่บนโต๊ะก็ถูกมือขาวอวบอั๋นขนาดเล็กเลื่อนไปด้านหน้าตัวเองท่าทางเตรียมพร้อมจะทานมากที่สุด สักพักในเวลาต่อมารอยยิ้มหวานถูกส่งผ่านมาทั้งที่ไอศกรีมรสช็อตโกแลตยังคาปากเล็กสีเชอร์รี่สุกอันจิ้มลิ้ม
ภาพน่ารักตรงหน้าชวนให้เกิดความสุขจนอดทำให้นิ้วมือเรียวขาวใหญ่มีเส้นเลือดปูดตามประสาผู้ชายเข้าไปเช็ดมุมปากที่เลอะออกมาอย่างเบามือ
เกือบห้าโมงเย็นแสงสุดท้ายของฤดูหนาวกำลังจะลาลับขอบฟ้าของเอเชีย โซนเอ้าท์ดอร์ชั้นสองของร้านไอศกรีมยังมีผู้คนคับคั่งเข้ามาใช้บริการกันเนืองแน่น ผมมาที่นี่หลายครั้งต่อหลายครั้งแต่ยังไม่เคยเห็นคนเยอะขนาดนี้ทั้งที่อากาศเย็นแต่ผู้คนก็ยังไม่ห่างจากของหวานที่ขึ้นชื่อว่าไอศกรีม โซนที่ผมนั่งอยู่มีหลายโต๊ะส่วนมากเป็นผู้หญิงทั้งนั้นไม่ว่าวัยทำงานวัยรุ่นมัธยมหรือแม้กระทั่งวัยนักศึกษา
ไอศกรีมคงเป็นของหวานสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจชั้นดีอีกทั้งยังดับความร้อนในช่วงบ่ายที่ถึงแม้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาวแต่ก็อย่างที่ทุกคนสัมผัสได้เมืองไทยไม่ว่าจะฤดูไหนก็ร้อนเหงื่อแตกได้ทุกเมื่อไม่เว้นแม้แต่ฤดูหนาว ฤดูหนาวถ้าเป็นในเมืองหลวงก็แค่รู้สึกเย็นในตอนเช้าและตอนกลางคืนเท่านั้นเว้นแต่ปีนั้นๆ จะหนาวจริงหน่อย
“ไงมึงสบายดีนะ?”
เหอะ...
ไอ้คนถามไม่แม้แต่จะมองหน้าผมเลยสักนิดแต่กับลากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออกก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงไปในไขว่ห้างกระดิกเท้าอย่างสบายอกสบายใจเหมือนไม่ทุกข์ร้อนห่าใดๆ สักนิด ประโยคเมื่อกี้มันประชดผมชัดๆ ไม่ตั้งใจถามเพื่อเอาคำตอบอะไรทั้งนั้นหรอกทว่าผมกับอยากตอบมันเหลือเกิน
“ตามึงก็เห็น”
“ตากูอยู่บ้านไม่ได้มาด้วยคงไม่เห็นมึงหรอกวะ”
ควาย...
ประโยคที่ผมพูดต่อแต่ไม่เปล่งเสียงออกมาได้ส่วนไอ้คนที่พึ่งตอบกวนตีนก็ยิ้มเยาะชอบใจส่งกลับมาแทน มันรู้ว่าผมตอบอะไรให้มัน ไอ้นี่มันชอบกวนส้นตีนเหลือเกินอยู่ดีๆ ไม่ดีจะตายมั้ง มันชื่อ ‘บอล’ ครับ เป็นเพื่อนผมคนนี้
มันเท่เบ้าหน้าก็พอเอาเข้าวัดเข้าวาได้แต่ถ้าจะถามถึงรูปร่างส่วนสูงโคตรดูดีระดับเดียวกับนายแบบ คิดดูแล้วกันว่าจะจัดให้มันอยู่ในระดับไหนส่วนผมให้เพื่อนเวรของตัวเองจัดอยู่ในระดับที่ดีมากถ้าไม่รวมกับปากหมาๆ ของมัน
“วันหลังมึงก็เอามาด้วยแล้วกัน ชีวิตกูมันน่าให้มึงเสือกเหลือเกิน”
แล้วผมก็พูดขึ้นอีกครั้ง ตอบมันอย่างไม่ใส่ใจไม่สนใจด้วยซ้ำว่าหน้าคนฟังจะมีสีหน้าท่าทางยังไงเพราะสายตาตัวเองจดจ้องกับอะไรบางอย่างซึ่งแน่นอนว่ามันสำคัญกว่าเพื่อนปากหมาๆ หลายเท่าตัว
“งั้นก็สมที่คนบาปอย่างมึงจะตกอยู่ในสภาพนี้”
“สภาพนี้ก็ดีกว่าตกอยู่กับพวกมึงไอ้บอล”
พวกมึง... บอกได้เลยว่าไม่ได้มีแค่ผมกับไอ้บอลเท่านั้นแต่ยังมีอีกหลายคนด้วยกัน เดี๋ยวพวกมันก็เข้ามาในชีวิตของผมเองนั่นแหละเข้ามาทีละคนสองคนหรือไม่ก็เข้ามาแบบรวบยอดทีเดียวเป็นกลุ่มแต่ไม่เข้ามามันจะสงบสุขมากกว่า
“ครับไอ้คุณตาม” ไอ้บอลมันยอมสงบปากหมาๆ ของตัวเองก็เพื่อหันไปยิ้มหวานจนตาหยีให้กับอีกคนหนึ่งที่นั่งเงียบทานไอศกรีมพร่องไปเกือบถ้วยใหญ่แล้ว “สวัสดีค่ะสาวน้อยต้องตาของน้าบอลคนหล่อ”
‘ตาม’ ชื่อของผมเองส่วน ‘ต้องตา’ เป็นชื่อลูกสาวคนเดียวของผมในปัจจุบัน ฟังไม่ผิดนะครับต้องตาเป็นลูกสาวของผมจริงๆ รู้แบบนี้แล้วคงไม่ต้องถามหาสถานะว่าโสดหรือเปล่า
มีลูกก็ต้องมีเมียไม่เห็นแปลก
“สวัสดีค่ะอาบอล”
ต้องตาวางช้อนไอศกรีมลงในถ้วยพนมมืออวบเล็กๆ ไหว้ไอ้บอลหลังจากนั้นก็กับไปสนใจสิ่งที่ชอบต่อโดยปล่อยให้คนถามกลายเป็นหมาหัวเน่าทันที
“ไม่น่าเชื่อ พ่อกับลูกโคตรเหมือนกันเลย”
“จะไปมันให้ได้เลยใช่มั้ย อยากไปเหยียบมันนักใช่มั้ยไอ้บ้านที่หาความสุขความสงบจิตใจแทบไม่เจอ บ้านที่หลงเหลือแต่ความทรงจำเลวร้ายพวกนั้น บ้านของผู้ชายคนหนึ่งที่ไร้ความรับผิดชอบตัดช่องน้อยแต่พอตัวเลือกตายแล้วทิ้งภาระไว้ให้ลูกกับเมีย!” คำพูดเรียบแต่ยาวเหยียดปราศจากการตะคอกใดๆ ครั้งนี้ฉันพูดออกจากความรู้สึกส่วนลึกตรงก้นบึ้งของหัวใจขณะพูดไปฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเองก็เกิดการบีบรัดเกร็งเล็บยาวจิกเข้าเนื้อลึกทว่ามันไร้ความรู้สึกเจ็บปวด ร่างกายฉันสั่นเทาไปหมดก็เพราะไอ้เรื่องนี้ก่อนที่น้ำตาจะคลอเบ้าวิสัยทัศน์การมองไปตรงหน้ามัวไปหมดเห็นความชัดเจนได้ยากยิ่งแทนที่กระพริบตาถี่ๆ น้ำตาพวกนั้นจะหายไปทว่ามันกับมีมาเพิ่มขึ้นเพิ่มอย่างรวดเร็ว “ตูน...” เสียงนี้ใกล้ฉันมากพอน้ำตาล้นออกมาจากเบ้าก็พบว่าพี่ตามลุกขึ้นมานั่งลุกเข่ากับพรมตรงหน้าฉัน ฝ่ามือใหญ่ส่งมาวางบนหัวไหล่ทั้งสองข้างกอบกำกระชับร่างกายของฉันเอาไว้ลมหายใจอุ่นๆ ค่อยๆ ผ่อนออกมากระทบหน้าผากของฉัน “ปล่อยมือตัวเอง...” “จะสนอะไรกับคนมีปัญหา” แปลได้อีกอย่างนั่นก็คือฉันไม่ปล่อยมือแน่ “
“ไม่คิดถึงแม่ เป็นปีกว่าแล้วที่ท่านไม่เห็นหน้า” “...” คิดถึง...คิดถึงมากด้วยแต่จะทำอะไรมากไปกว่านี้ได้ คำว่าลูกอกตัญญูช่างเหมาะกับฉันเหลือเกินไม่ว่าจะตอนไหนไม่เลือกว่าใครเป็นคนพูดไอ้คำนี้มันต้องมีแน่ ความห่างไกลของฉันกับแม่เหมือนถูกขั้นด้วยฟางเส้นบางๆ ที่แฝงไปด้วยการกระทำ ฉันไม่ลงไปหาท่านส่วนท่านก็ไม่เคยย่างก้าวขึ้นมาหาฉันอีกเช่นกัน ความห่างไกลจึงขั้นเราสองคนแม่ลูกไปโดยปริยาย จากเหตุการณ์วันนั้น... วันที่พ่อจากฉันกับแม่ไปแล้วทิ้งภาระอันหนักอึ้งเอาไว้แทน แต่ทำไมแม่ถึงไม่โกรธผิดกันกับฉันมากที่ไม่ว่าตอนนี้หรือเมื่อก่อนก็คงเกลียดพ่ออย่างเสมอต้นเสมอปลายไม่เปลี่ยน ไม่มีครั้งไหนลืมลงได้กระทั่งวันเผาศพน้ำตาฉันก็ไม่มีแม้แต่หยดเดียว ถ้าพ่อมีหัวคิดแม่คงไม่ต้องทำงานหนักจนเลือดตาแทบกระเด็น ถ้าพ่อเลือกปกป้องแม่คงไม่ต้องเสียน้ำตา ถ้าพ่อไม่เลือกตัดช่องน้อยแต่พอตัวแม่คงไม่ถูกตบและถ้าพ่อไม่เห็นแก่ตัวแม่กับฉันคงไม่ต้องเป็นหนี้จำนวนมหาศาล “ท่านโทรมาหาพี่ว่าคิดถึงต้องตา คิดถึงตูน” “แล้วพี่ตามก็รับปา
“เธอก็รู้ว่าพี่เจอแค่เมื่อคืน” นัยน์ตาสีนิลของพี่ตามเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีแววตาของเขาเหมือนเพิ่มฉายแววความเข้มขึ้นเช่นเดียวกับท่าทีก็ดูจริงจังเพิ่มมากขึ้นจากเดิม “ถ้ารู้ถึงขนาดชื่อผู้หญิงคนนั้นก็คงรู้ว่ามันไม่มีอะไร เธอรู้ดี?” “...” คำถามย้อนกลับนั้นไม่ถึงทำเอากับอึ้ง ใช่มันไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้นฉันรู้ดีเพราะคืนนี้ไม่ได้ไปเจออีกไง “ไม่มีสัมพันธ์ทางกายอะไรทั้งนั้น” “...” “ตูน...” ตามหลักนิสัยของฉันเมื่อโกรธก็จะเงียบไม่พูดจาจนหางตาก็ไม่แลแต่รู้ไหมว่าอาการเหล่านั้นนำความกดดันมาสู่ตัวเองมากเพียงไหน สมองมันทำหน้าที่คอยย้ำเตือนย้ำคิดทุกฝีก้าวยิ่งกว่าเครื่องจักรกลที่กำลังทำงานอย่างหนักพอความอัดอั้นเพิ่มปริมาณขึ้นมากเรื่อยๆ ร่างกายของฉันก็จะระเบิดออกมาเลยทีเดียว โดยไม่มีอะไรขัดขวางได้ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้งสี่นี้ถ้าจะเปรียบให้เห็นได้ชัดเจนในด้านอารมณ์ของฉันก็คงเป็นดิน นิ่งสงบไม่แปรปรวนอะไรแต่สิ่งที่อยู่ภายใต้พื้นดินฝืนนั้นใครจะรู้ได้ รับมามากเวลาแผ่นดินเกิดไหวผลก็จะมีมากเช่นกัน
“ก็แค่...” ฉันตั้งใจหยุดคำพูดเหล่านั้นเอาไว้เพื่อต้องการกวนประสาทคู่สนทนาที่กำลังจ้องออกมาจนดวงตาแทบออกมานอกเบ้าจากนั้นก็เอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าคว้ารูปด้านในมาวางไว้ตรงหน้าพี่ตามเรียงรายให้เห็นชัดๆ “รู้ว่าเรื่องเที่ยวก็แค่ติดสินบนลูกเพื่อกลบเรื่องผู้หญิงที่ชื่อบุ๋ม” อยากรู้นักว่าครั้งนี้จะทำยังไง รูปโชว์เด่นยากนักที่จะปฏิเสธว่าไม่ใช่ตัวเอง คนในรูปไม่มีทางที่ใครจะเหมือนถึงแม้จะเห็นแค่ครึ่งใบหน้าทว่ากับยิ้มแย้มอวดกล้องด้วยความร่าเริงมือหนึ่งถือแก้วไวน์ทรงหรูสดๆ ร้อนๆ จากเมื่อคืน “ให้คนตามพี่งั้นสิ” ไม่ปฏิเสธให้เสียเวลาแต่กับยอมรับนี่คือนิสัยหลักของพี่ตามเลยแหละ โอเคฉันเข้าใจแล้วจะจำและเข้าใจว่าศึกครั้งนี้ตัวเองชนะแบบขาดรอยอย่างเฉียบขาดไม่มีทางที่ฝ่ายตรงข้ามจะไล่ล่าตามทัน ระดับตูนไม่ตามให้เสียเหงื่อหรอก แนะนำตัวง่ายๆ ฉันชื่อ ‘ตูน’ เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการของพี่ตาม ทางบ้านปัจจุบันก็ถือว่าไม่ได้ย้ำแย่อะไรมีอันจะกินทิ้งกินขว้างก็ยังได้เลยด้วยซ้ำไปถ้าอยากทำ มีธุรกิจเป็นของครอบครัวซึ่งเ
จากประโยคด้านบนหลายคนอ่านแล้วอาจรู้สึกว่ามันเป็นประโยคจับผิดสามีตัวเองแต่สำหรับฉันบอกเลยว่ามันเป็นประโยคทั่วไปอันแสนธรรมดาและก็ไม่ได้พิเศษอะไรไม่แอบแฝงอะไรทั้งนั้น การจับผิดใช้ไม่ได้กับผู้ชายตรงหน้าหรอกฉันรู้ดีเพราะความหน้าด้านหน้าทนขนาดเปรียบกับคอนกรีตพื้นถนนยังบางกว่าเป็นร้อยเท่าเสริมความสามารถพิเศษไปอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือเมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขาผู้ชายคนนี้ก็จะผลิตสารเคลือบความอดทนเอาไว้อย่างแน่นหนา จับได้ก็ไม่สนใจ จับได้ก็ทำไปเรื่อยๆ จับได้ก็ไม่สำนึก อย่างเดียวที่เขาทำคือไม่ให้ใครหน้าไหนเข้ามายุ่งกับฉันและลูก สักครั้งก็ไม่มีแต่จะเรียกว่าความดีงั้นเหรอมันคงใช้ได้หรอกมั้ง ความเจ้าเล่ห์เผยแผ่ออกมาทั่วทุกรูขุมขนบนร่างกายเขาฉันนี่แหละที่จะหยุดยั้งมันเอง “ไม่มี สินบนอะไร” “หึ...” ร้อยไม่เชื่อพันก็ไม่เชื่ออีก ความใจดีที่จู่ๆ วันหยุดทั้งทีจะพาลูกเมียไปเที่ยวทะเลตามคอนเซ็ปต์ครอบครัวสุขสันต์ Happy Family อะไรประมาณนี้เขาจะทำทำไม สู้เอาเวลาไปเที่ยวควงสาวไม่ดีกว่าเหรอแบบที่เคยทำทุกวัน ม
“ค่าอาบอล” ไอ้บอลพยักหน้ายิ้มกลุ้มกริ่มกับต้องตาเท่านี้ผมก็รับรู้แล้วว่ามันโล่งใจมากแค่ไหนที่ไฟลูกใหญ่ยังไม่เข้าไปเผาไหม้บ้านหลังใหญ่ของมัน นิ้วโป้งใหญ่ส่งมาให้ผมแทนคำชื่นชมก่อนที่มันจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อหนีเอาตัวรอดอีกครั้งด้วยความเจ้าเล่ห์ “งั้นกูกลับก่อนดีกว่ากลัวอยู่ต่อแล้วไฟไหม้บ้านอีกว่ะ” มันก้มลงมากระซิบข้างหูผมโดยที่มือใหญ่ลูบศีรษะต้องตาเบาๆ และหันมาพูดกับต้องตา “อาบอลไปก่อนนะคะ เที่ยวให้สนุกกับพ่อตามขาด้วย” เวร... ผมยังไม่ตกลงพาลูกเที่ยวแต่ไอ้บอลปากหมากับพูดแบบนั้นออกไปจึงอดไม่ได้ที่จะเหยียบเท้ามันอย่างแรงส่งท้ายแต่คนอย่างมันก็ไม่ได้สะทกสะท้านนัก “ค่า จุ๊บๆ ค่ะอาบอล” พอไอ้บอลออกไปได้ประมาณยี่สิบนาทีผมก็พาต้องตาออกมาจากร้านไอศกรีมบ้าง เพียงไม่นานก็ถึงบ้านที่มีแค่ผมตูนและต้องตาเท่านั้น หมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในทำเลดีสะดวกสบายมีความเป็นส่วนตัวมากมีไม่กี่หลังคาเรือนอีกทั้งรอบๆ ก็ยังมีความปลอดภัยในระดับสูง วางใจได้ “สวัสดีค่าแม่ตูน” ร่างเล็กของต้องตาที่พยายา