ไม่ต้องรอให้ลูเซียสสั่ง ไนท์รับหน้าที่ขับรถด้วยตัวเอง เหยียบคันเร่งเพื่อพาบอสไปโรงพยาบาลให้ไวที่สุด น่าเห็นใจก็แต่เหล่าลูกน้องที่ตามหลัง ทั้งสามคันต้องเร่งเครื่องกันสุดชีวิต ด้วยระดับฝีเท้าของมือขวาน่ากลัวว่าไปแข่งรถชิงที่หนึ่งได้สบายๆ
โรงพยาบาลที่ไมค์เลือกพามิทรี่มารักษา เป็นโรงพยาบาลเอกชนใกล้สถานที่เกิดเหตุมากที่สุด อีกทั้งลูเซียสยังเป็นหุ้นส่วนโรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย นับว่าไมค์เลือกได้อย่างถูกต้อง หากเป็นโรงพยาบาลอื่น เรื่องที่มิทรี่โดนยาเสพติดเช่นนี้ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียเปล่าๆ
ทันทีที่รถดำเงาวับมาจอดเทียบหน้าอาคารหลัก ยามรีบกุลีกุจอเข้ามาหมายจะเปิดประตูให้ ไม่ทันจะถึงรถดีประตูก็เปิดออกพร้อมเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ก้าวออกมาปรายตามอง เขาโบกมือไล่ยามไปไกลๆ เวลานี้เขาไม่ใจเย็นพอจะนั่งรอเยี่ยงราชาให้ใครมาปูพรมหรือเปิดประตูให้
กลิ่นเลือดเจือจางที่ติดมากับตัวเหล่าชายชุดดำทำให้ยามอกสั่นขวัญผวา ก้มหน้าลงต่ำ พาลนึกในใจว่าตัวเองช่างซวยเหลือเกิน ตอนเขามาทำงานมีรุ่นพี่กับหัวหน้าเล่าให้ฟังว่าหุ้นส่วนของโรงพยาบาลเราไม่ใช่บุคคลธรรมดา หากเจอรถมาเป็นขบวนหรือกลุ่มคนในชุดสูทไม่ต้องแตกตื่น ให้บริการอย่างสุภาพที่สุดก็พอ
เขาไม่น่าแลกเวรกับเพื่อนอีกคนเลยจริงๆ
“กลับไปทำงานต่อเถอะ” ไนท์ออกปากใบหน้าเจือรอยยิ้ม สำหรับยามตัวเล็กๆ ภาพที่เห็นไม่ต่างจากปีศาจมาแยกเขี้ยวตรงหน้า เขาผงกหัวรับรีบวิ่งจากไปทันที
ลูเซียสไม่สนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนนอก สองเท้าก้าวเดินผ่านประตูอัตโนมัติ แอร์เย็นมาพร้อมกับกลิ่นยาฆ่าเชื้อ สำหรับลูเซียสที่เจอเรื่องเฉียดตายมาตั้งแต่จำความได้ สิ่งนี้เขาชินแล้ว
“บอส คุณไนท์” ไมค์ที่มายืนรอ พอเห็นพวกเขาเลยรีบตรงดิ่งเข้ามาเพื่อนำทางไปหาคนเจ็บ ระหว่างนั้นคอยรายงานอาการของมิทรี่เป็นระยะ
“คุณหนูมีแผลถลอกฟกช้ำตามร่างกาย หัวไหล่ขวาเคลื่อนเอกซเรย์แล้วอาการไม่ร้ายแรงสามารถรักษาได้ไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง ส่วนเรื่องแผลถูกยิงที่ขา โชคดีกระสุนทะลุไม่มีเศษตกค้างภายในและไม่โดนจุดสำคัญอย่างกระดูกกับเส้นเอ็น หลังจากแผลหายสามารถกลับมาเดินวิ่งได้ตามปกติครับ”
ไมค์บอกรายละเอียดรวดเดียวจนครบ เหลืออย่างสุดท้ายที่เขายังไม่มั่นใจ ลูเซียสมองความคิดของลูกน้องออก เขาพยักหน้าเป็นเชิงให้พูดต่อ
“เรื่องฤทธิ์ยาแม้จะไม่มีผลค้างเคียงหรือแสดงอาการแพ้ เรื่องคุณหนูจะติดรึเปล่านั้น... คงต้องรอหลังจากที่ฟื้นแล้วครับ”
ไม่ต่างจากที่คิด ลูเซียสมองลูกน้องตัวเอง ตอบด้วยความมั่นใจ
“คนที่ฉันสนใจ ย่อมไม่เป็นทาสของยานรกนั่นแน่”
ได้ยินเสียงหนักแน่นจากบอสขนาดนี้ ไมค์รู้สึกพอใจที่เขาเลือกใช้คำเรียกแทนเด็กหนุ่มได้อย่างถูกต้อง ทีแรกที่เขาได้ยินเรื่องของเด็กคนนี้จากเพื่อนร่วมงาน เขาคาดเดาไปว่าบอสคงอยากเปลี่ยนบรรยากาศไม่นานก็เบื่อ พอกลับมาเจอกับตาตัวเองถึงได้รู้ว่าบอสให้ความสำคัญไม่ใช่เล่น
ตั้งแต่เขาเข้าแก๊งมายังไม่เคยเห็นใครได้เท่ามิทรี่มาก่อน แถมยังสั่งให้มือดีถึงสามคนอย่าง พี่อาคม หลงและเขาเป็นการ์ดส่วนตัวอีก ชักจะน่าสนใจซะแล้วสิ...
ไนท์ที่เดินรั้งท้ายสุดเฝ้ามองปฏิกิริยาทุกคนก้าวขึ้นมาบีบบ่าไมค์แล้วเตือนเสียงเบา
“อย่าคิดอะไรแผลงๆ จะดีกว่า คนนี้บอสหวงขนาดฉันยังไม่เว้น พูดแค่นี้น่าจะเข้าใจนะ”
แรงบีบที่บ่าทำให้ไมค์ยิ้มแห้ง ยกมือสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ไม่คิดหาเรื่องใส่ตัวเด็ดขาด ไนท์มองท่าทางนั้นอย่างพึงพอใจ ไมค์กับหลงนับเป็นสองคนที่ฝีมือดีอันดับต้นๆ ของแก๊ง นิสัยเสียๆ บางอย่างไม่ทิ้งห่างจากฝีมือเท่าไหร่นัก คนที่ยอมฟังคำสั่งก็มีแค่บอส ไนท์และอาคม โดยเฉพาะคนหลังดูจะหวั่นเกรงมากเป็นพิเศษ
มาคิดๆ ดู อาคมเลือกสองคนนี้แสดงว่าพอจะเห็นอนาคตรางๆ ไม่ต่างจากเขา ที่เหลือก็แค่เวลาว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะถูกพัฒนาไปในทางไหน
พวกเขามายืนอยู่หน้าห้องผ่าตัดเพื่อรอฟังผล ความจริงลูเซียสไม่จำเป็นต้องมายืนรอก็ได้ ทิ้งลูกน้องไว้สักคน พอรู้เรื่องค่อยไปรายงานทีหลัง แต่ในเวลานี้ลูเซียสต้องการฟังอาการของมิทรี่ด้วยตัวเองมากกว่า
พอไฟใช้งานห้องผ่าตัดปิดลง หมอผู้ทำการผ่าตัดเปิดประตูออกมาแอบผงะเล็กๆ กับชายต่างชาติสามคนยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่นอกห้อง พยาบาลผู้ช่วยถึงกับตาโตถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“ญาติผู้ป่วยใช่ไหมครับ”
คุณหมอดึงสติกลับมาเอ่ยถาม ลูเซียสพยักหน้ารับไม่มีความลังเลแม้เพียงเสี้ยววินาที
“ลูกชายผมเป็นยังไงบ้าง” สรรพนามที่หลุดออกมาเรียกสายตาสองคู่ให้หันขวับไปมอง ไนท์ทำหน้าไม่อยากเชื่อ ไมค์ถึงกับคิ้วขมวดรีบคิดย้อนกลับไปว่าเจ้านายเขาเคยไปทำสาวไหนท้องมารึเปล่า
ฝั่งหมอพอได้ยินว่าเป็นพ่อค่อยโล่งอก ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคู่กรณีกับเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว ชายชาวต่างชาติสวมสูทดำดูยังไงก็ไม่ใช่นักธุรกิจธรรมดากับเด็กที่ถูกยิงแถมโดนยาอันตรายมันชวนให้คิดไปถึงไหนต่อไหน ถ้าบอกว่าเป็นพ่อ ทุกอย่างก็กระจ่าง พ่อเป็นผู้มีอิทธิพล ลูกมักโดนลูกหลงไม่ใช่เรื่องแปลก
ใจหมอเริ่มสงบ บอกอาการอย่างละเอียดซึ่งไม่ต่างจากที่ไมค์พูดนัก
“ผู้ป่วยต้องสังเกตอาการอยู่ในห้อง ICU สักระยะครับ ผู้ป่วยอายุยังน้อยสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ ถึงยังไงหลังจากนี้รบกวนคุณพ่อช่วยดูแลลูกชายอย่างใกล้ชิดด้วยนะครับ”
คุณหมอวัยกลางคนกำชับตามนิสัยของแพทย์ที่เห็นผู้ป่วยเป็นสำคัญ ลูเซียสทำเพียงแค่พยักหน้ารับสมองครุ่นคิดเรื่องดูแลอีหนูต่อจากนี้ ที่เหลือจึงปล่อยให้ไมค์เป็นคนจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลและอื่นๆ
ด้านคุณหมอที่เพิ่งเดินจากไป พยาบาลผู้ช่วยมองคนข้างกายด้วยสายตาชื่นชม
“สุดยอดไปเลยนะคะคุณหมอ กล้าพูดแบบนั้นด้วย”
มีพยาบาลวัยละอ่อนมาชมแบบนี้ชวนให้รู้สึกปลื้มเป็นธรรมดา
“ธรรมดาครับ มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชมอะไร” ปากพูดใบหน้ายิ้มแย้ม หวังจะเอาเรื่องนี้ไปพูดอวดลูกสาวที่บ้านให้ชมพ่อตัวเองบ้าง
“ไม่ใช่เรื่องธรรมดานะคะ! คุณคนนั้นเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งนี้ แถม... เบื้องหลังเขาว่าเป็นมาเฟียที่มาทำธุรกิจในไทยด้วยค่ะ” ท้ายประโยคผู้ช่วยพยาบาลกระซิบเสียงค่อยราวกับกลัวว่าลูเซียสที่อยู่คนละทิศจะได้ยิน เห็นไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากเรื่องนี้ พอหันไปดูปรากฏว่าหมอหน้าซีดยืนโงนเงน
“คุณหมอคะ คุณหมอ!!”
“ผมจะเป็นลม”
“คุณหมอทำใจดีๆ ไว้ค่ะ ใครก็ได้มาช่วยหน่อย คุณหมอจะเป็นลมแล้ว!”
ความวุ่นวายเล็กๆ ช่างอยู่ห่างไกลการรับรู้ของลูเซียสที่ยังใจจดจ่อกับกำแพงสีขาวโพลนของโรงพยาบาล
“จ้องให้ทะลุก็มองไม่เห็นเจ้าหนูหรอก อยู่ใน ICU แบบนี้เข้าไปเยี่ยมก็ไม่ได้ กว่าจะออกมาคงไม่ต่ำกว่าสามวัน”
“กลับ มิทรี่ย้ายมาที่ห้องพักฟื้นเมื่อไหร่บอกไมค์ไปแจ้งฉันด้วย” ตัดสินใจง่ายดาย ไม่มีประโยชน์ให้อยู่ต่อ ที่สำคัญเขายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องกลับไปสะสาง
4 วันผ่านไป คนป่วยถูกย้ายมาห้องพักฟื้น VIP ไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ให้กังวลสร้างความโล่งอกให้กับทุกคน เพราะในที่สุดบอสก็เลิกทำหน้าเหมือนอยากฆ่าคนตลอดเวลาสักที ไมค์ได้รับหน้าที่ในการดูแลมิทรี่ระหว่างอยู่โรงพยาบาล เนื่องจากอาคมยังหัวหมุนกับงานเก็บกวาด
มิทรี่ฟื้นขึ้นมาหลายครั้งแต่เพียงไม่นานก็หลับต่อด้วยฤทธิ์ยา กระทั่งเข้าวันที่หกสติกลับมาทีละน้อย ร่างกายเบาหวิวเหมือนกำลังล่องลอยอยู่บนอากาศ พอลืมตาขึ้น ทุกอย่างขาวโพลนไปหมด เจ้าตัวกะพริบตาถี่ๆ ภาพค่อยเด่นชัดขึ้นทีละน้อย สิ่งแรกที่เห็นไม่ใช่เพดานสีขาวแบบในหนังหรือหน้าคนที่รักเหมือนอย่างนิยาย แต่เป็น...
มือถือเครื่องหนึ่ง?
“ไมค์... นายลืมเปิดกล้อง”
เสียงแปร่งๆ ผ่านโทรศัพท์บ่งบอกความไม่พอใจระดับหนึ่ง เจ้าของเครื่องสะดุ้งโหยง รีบกดเปิดกล้องฉายให้เห็นใบหน้าของคนปลายสาย
“แน่ใจนะว่าฟื้นแล้ว” บอสใหญ่ถามอย่างไม่มั่นใจยามมองภาพอีหนูนอนตาปรือบนเตียงสีขาว
มือถือถูกเบนออกไปแทนที่ด้วยหน้าของฝรั่งหัวทอง
“ฟื้นแล้วนะครับบอส”
“อาการ?” ลูเซียสถามเสียงเรียบ ไมค์เข้าใจว่าบอสต้องการจะถามอะไร เขาจึงตอบเข้าประเด็นทันที
“คุณหนูไม่ติดยาแน่นอนผมรับประกัน” คำตอบของไมค์ทำให้ลูเซียสคลายความกังวลได้ทั้งหมด
ผมมองเจ้านายลูกน้องคุยกันตาปริบๆ สภาวะเบาหวิวในตอนแรกกลายเป็นหนักอึ้งไปทั่วร่างอย่างกับมีอะไรมาตอกยึดไว้กับเตียง ไหล่ซ้ายที่หลุดยังรู้สึกปวดตุบๆ โดยเฉพาะขาขวาที่ถูกยิงผมไม่อยากขยับมันแม้แต่นิดเดียว การเคลื่อนไหวของผมทำให้เสียงสนทนาหยุดลง
มือถือถูกหันหน้าจอมาตรงหน้าผมอีกครั้ง ดวงตาสีเข้มมองสำรวจผมอย่างละเอียด เกิดมาเพิ่งเคยเจอ เยี่ยมไข้ระยะไกล
“น้ำ...”
ลูเซียสไม่ทันอ้าปากพูด ผมร้องเรียกหาน้ำก่อนเป็นอันดับแรก ไม่รู้ตัวเองหลับไปกี่วัน รู้แค่ว่าตอนนี้คอแห้งมาก น้ำลายเหนียวไปหมด ต้องการน้ำด่วน
“ดูแลดีๆ เดี๋ยวฉันไป” เสียงแหบแห้งทำให้ลูเซียสขมวดคิ้ว สั่งลูกน้องบริการคนป่วย ตัวเองกดวางสายลากคอไนท์มาโรงพยาบาล
ฝ่ายชายผมทองเก็บมือถือเข้ากระเป๋าแล้วหยิบแก้วน้ำที่เตรียมไว้พร้อมหลอดมาให้
“จิบทีละนิดนะครับ คุณหนูหลับไปหลายวัน ร่างกายต้องปรับตัวเวลามีอะไรเข้ากระเพาะอาหาร”
ผมค่อยๆ จิบตามที่อีกฝ่ายบอก ทุกการเคลื่อนไหวของผมอยู่ในสายตาของเขาตลอด ราวกับว่าหากผมมีอะไรผิดปกติแม้แต่นิดเดียวเขาพร้อมจะเข้ามาช่วยผมทุกเมื่อ เจอสายตาแบบนี้ทันทีที่ฟื้นมาผมก็อดเกร็งไม่ได้
“ไม่ต้องจ้องขนาดนั้นก็ได้ครับ”
“อ่า ขอโทษที พอดีบอสสั่งให้ดูแลคุณหนูอย่างดีผมเลยเผลอไปหน่อย” เจ้าตัวยิ้มแล้วแนะนำตัว “ผมไมค์ จะมาเป็นการ์ดของคุณหนูตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครับ ความจริงมีอีกคน แต่เจ้านั่นมันช่วยงานพ่ออาคมอยู่”
ผมเลิกคิ้ว แปลกใจสรรพนามที่ใช้เรียกพี่อาคม แต่คิดอีกที ท่ามกลางมาเฟียแบบนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ช่างมันแล้วกัน ไม่อยากหาเรื่องใส่หัวเพิ่ม ผมเลยตอบสั้นๆ “ครับ ฝากตัวด้วย” ก็นะ เกิดเรื่องขนาดนี้จะให้ผมเบิกบานอยู่ผมคงไม่ใช่คน มีคนเคยบอกว่า เวลาคนเราเจอเรื่องแย่ๆ มักจะคิดแต่เรื่องด้านลบซะเป็นส่วนใหญ่ ผมเองก็กำลังเป็นแบบนั้น
ชีวิตแต่เดิมก็บัดซบอยู่แล้ว พอมาเจอลูเซียสทุกอย่างเหมือนจะดีขึ้นและแย่ลงในเวลาเดียวกัน บอกตามตรงสภาพแวดล้อมกดดันผมมาก ผมเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ แม่เพียงคนเดียวที่รักและดูแลผมอย่างดีต้องป่วยหนักเพราะโหมทำงานมากเกินไป ญาติทางฝั่งแม่เลยบังคับพาแม่กลับไปรักษา
แม่อยากจะพาผมไปด้วย แต่ตัวผมเป็นสิทธิ์ของพ่อ จนกว่าผมจะอายุยี่สิบถึงสามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ที่ผ่านมาเรื่องโรงเรียนผมอาศัยปลอมลายเซ็นเอาตลอด ช่วงแรกแม่ยังคงส่งเงินมาเป็นระยะ พอแม่ทรุดหนักเงินที่ได้จึงขาดไป โชคดีที่ผมยังพอมีเงินเก็บจากการทำงานพิเศษเลยพอถูๆ ไถๆ ไปบ้าง
แต่ใครจะรู้ ญาติฝั่งแม่เองก็หมดเงินที่จะใช้รักษา ผมต้องหาทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้เงินมาส่งตัวเองเรียนและส่งให้แม่ ทีแรกผมไม่ได้ทำงานแบบนี้หรอก ผมเริ่มจากเด็กเสิร์ฟ พนักงานเซเว่น แต่เงินที่ได้มันไม่พอ จนกระทั่งวันหนึ่งผมไปหาคู่นอนในผับอย่างทุกที เพื่อนคนนี้แนะนำให้ผมลองทำงานทำนองนี้ดู
ผมเองไม่ใช่ผู้หญิง แถมที่ผ่านมาก็ใช่จะไม่เคยนอนกับใคร สุดท้ายเลยตัดสินใจทำผสมกับหารายได้อื่นเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วย ผมรู้ ทำแบบนี้มันไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกผมก็ต้องทำ
สิ่งที่พอยึดเหนี่ยวตัวผมไว้ไม่ออกนอกลู่นอกทาง คงเป็นภาพแห่งความสุขในวัยเด็ก แม่ที่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พ่อที่กอดผมอย่างอบอุ่น พวกเราสามคนเคยเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉา ไม่มีเงินมากมาย แต่ก็ไม่ขาดแคลน ถ้าหากพ่อไม่หลงไปกับคำชวนของเพื่อน ชีวิตผมคงเหมือนกับพวกซัน
พ่อเริ่มติดการพนัน ทีแรกยังเล่นแค่เล็กน้อยบอกว่าเป็นการผ่อนคลายหลังจากเครียดกับงาน แม่เข้าใจว่าพ่อเหนื่อยต้องมีที่ระบายบ้างจึงไม่ขัดอะไร ใครจะรู้ล่ะว่านับวันพ่อยิ่งเล่นมากขึ้นทุกทีจนต้องไปกู้หนี้ยืมสิน บ้านที่เคยเป็นของเราถูกเอาไปค้ำประกันกับธนาคาร
กู้หนี้ในระบบยังไม่พอ พ่อดันตามเพื่อนไปกู้หนี้นอกระบบ อาศัยกู้ตรงนั้นมาโปะตรงนี้ อาการหนักมากจนบริษัทต้องเชิญออก สุดท้ายพ่อก็ไม่มีงานทำ ส่วนแม่ต้องออกหางานเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย ความเครียดทำให้พ่อเริ่มพึ่งแอลกอฮอล์ เวลาเมาก็อาละวาดโทษคนอื่นไปทั่วทั้งที่ตัวเองเป็นคนทำให้ทุกอย่างมันแย่
พวกเราต้องคอยหนีเจ้าหนี้ไม่เคยอยู่ที่ไหนได้นานเกินสองเดือน ผมถูกย้ายโรงเรียนเป็นว่าเล่น ในที่สุดทุกอย่างก็พังทลาย...
แม่ที่อยู่เคียงข้างป่วยต้องไปอยู่ในที่ห่างไกล พ่อที่มีแต่สร้างปัญหาพึ่งพาอะไรไม่ได้ แม้แต่เพื่อนผมยังไม่มีเลยสักคน เคว้งคว้างอยู่เพียงลำพัง หันไปทางไหนก็ไม่มีใคร ไขว่คว้าจับมือใครก็ไม่ได้ หากไม่มีแม่เป็นที่ยึดเหนี่ยวผมคงจะฆ่าตัวตายมันให้พ้นๆ
แล้วยังเรื่องที่เกิดขึ้นอีก ผมมีทางเลือกที่ไหน ถูกบังคับมาเป็นเด็กเลี้ยง มีเงินใช้แต่ไร้ความอิสระ พอจะขัดขืนให้รู้ว่าผมยังมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่อยากเรียกหาเมื่อไหร่ก็เรียก ผลที่ตามมากลายเป็นแบบนี้ ผมถูกจับเพราะเป็นเด็กของลูเซียส โดนทำร้ายอย่างแสนสาหัส
สิ่งที่ได้รับตอนโดนยามันเหมือนกับชีวิตผมได้รับการปลดปล่อย ล่องลอยไม่มีภาระ ไร้ความกังวลใดๆ ผมเกือบจะปล่อยตัวปล่อยใจไปกับมันแล้ว หากใบหน้าของแม่ไม่มาดึงตัวผมเอาไว้
ถ้าผมเป็นอะไรไปใครจะหาเงินค่ารักษา และถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผมแม่คงจะเสียใจมาก ไม่แน่อาจจะอาการทรุดลงก็ได้
แม่เท่านั้น... แค่แม่เพียงคนเดียวที่ผมจะไม่ยอมเสียไปเด็ดขาด
ช่วงที่ใครบางคนกำลังเหม่อลอย มีคนเปิดประตูเข้ามา พอไมค์เห็นว่าเป็นใคร เขาแสดงสีหน้าโล่งอก ก้มหัวให้ผู้มาใหม่เล็กน้อยแล้วปลีกตัวออกไปยืนเฝ้าด้านนอกแทน ให้เวลาทั้งคู่อยู่กันตามลำพัง
ในสายตาของลูเซียส เด็กที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ไม่ใช่เด็กหนุ่มอย่างเช่นวันวาน มันเหมือนกับลูกสัตว์ตัวน้อยที่ได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส ราวกับจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อ ความรู้สึกผิดเข้าเกาะกุมจิตใจทันที นานเท่าไหร่แล้วที่ลูเซียสไม่ได้รู้สึกแบบนี้ คงตั้งแต่เรื่องอาผู้เป็นที่รักของเขาประสบอุบัติเหตุ
มือหนายื่นไปลูบกลุ่มผมนุ่มแผ่วเบาทะนุถนอมคล้ายกับการสัมผัสสิ่งเปราะบาง มิทรี่สะดุ้งเล็กน้อย หันมามองนิ่ง ทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยปากแม้แต่คำเดียว ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
เขาคงลืมไปจริงๆ เด็กคนนี้แตกต่างจากเด็กคนอื่น ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันทำให้ลูเซียสพอจะสังเกตได้ว่ามิทรี่มีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ภาระหนักอึ้งที่อยู่บนบ่าเล็กๆ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่พอจะเดาได้ว่ามันต้องสำคัญกับอีกฝ่ายมากแน่ๆ
ครั้งนี้เขาประมาทเกินไป เป็นความผิดของเขาเอง
“ขอโทษ...”
คำที่ไม่คิดว่าจะหลุดออกมาจากปากอีกฝ่ายทำให้คนฟังเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ เจ้าตัวคิดว่าลูเซียสคงจะโดนไนท์พูดอะไรมาอีกแน่ๆ ถึงได้มาขอโทษกันแบบนี้ แต่พอสบเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้น มันมีความรู้สึกผิด และประกายความมุ่งมั่นบางอย่างแฝงอยู่
“ฉันไม่ควรปล่อยให้เธอเจอเรื่องแบบนี้ ฉันขอโทษ... ต่อไปเธอไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลเธออย่างดี ส่งเสียจนกว่าจะเรียนจบ เรื่องเงินไม่จำเป็นต้องเอามาคืน ขอแค่เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็พอ”
สิ่งที่อยู่ในใจตลอดห้าวันพรั่งพรูออกมา ทุกถ้อยคำ ทุกวาจากระทบจิตใจของคนฟังอย่างจัง
“ทำไม...” เสียงแหบแห้งหลุดออกมาจากปากซีดเซียว ดวงตาของลูเซียสทอประกายอ่อนลงไม่กดดันอย่างทุกที
“คงเพราะฉันไม่อยากทำพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง ชีวิตของฉันทำร้ายคนใกล้ตัวแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว”
ผมมองลูเซียสด้วยความสับสน ระหว่างที่ผมกำลังดำดิ่งอยู่กับความคิดด้านลบ เขาก็เข้ามาลูบหัวบอกว่าขอโทษ พูดเหมือนว่าต่อให้เบื่อหรือผมไม่ได้เป็นเด็กเลี้ยงอีกก็จะอุปการะดูแลจนกว่าผมจะตั้งตัวได้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
ความใจดีของลูเซียส นอกเหนือจากคำว่าเอ็นดูมันมีเงาของใครบางคนอยู่ สร้างความสงสัยให้แก่ผม ถ้างั้น ชีวิตผมจะเป็นแบบคนนั้นรึเปล่า ผมอยากรู้
“เกิดอะไรขึ้นกับ... คนคนนั้น”
ลูเซียสยิ้มมุมปาก เปลี่ยนท่าทีจากผู้ใหญ่ที่กำลังจะอุปการะเด็กเป็นนักธุรกิจเขี้ยวลากดิน
“ตอนนี้เธอยังไม่จำเป็นต้องรู้ เอาไว้เธออยู่กับฉันไปนานๆ แล้วเราค่อยมาคุยกันว่าสิ่งที่อยู่ในใจคืออะไร ฉันรอเธอบอกอยู่นะมิทรี่”
ปากบอกว่ามาแลกเปลี่ยน แต่จงใจให้ผมบอกก่อนชัดๆ ผมหลับตาเอนกายพิงอกคนข้างเตียง ถึงตะกอนภายในใจของผมจะไม่ถูกกำจัดออกจนหมด แต่ก็ลดลงไปได้บ้าง อย่างน้อยๆ ก็ในตอนนี้
ลูเซียสเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น สิ่งใดที่ลั่นวาจาออกไปแล้ว เขาไม่มีวันคืนคำเด็ดขาดและจะทำให้สำเร็จตามที่พูดไว้
วงแขนใหญ่กอดผมเบาๆ ระวังไม่ให้กระทบกับร่างกายที่บอบช้ำ ไม่นานผมก็เริ่มเคลิ้มและผล็อยหลับไป ในอ้อมกอดนี้ เป็นสถานที่ที่ทำให้ผมหลับตาลงอย่างวางใจได้มากที่สุด...
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงทะเลาะกันแบบลดโวลุ่มเหมือนเสียงยุงบิน คำด่าภาษารัสเซียที่ได้ยินจนชินหูอยู่ทุกวันทำให้ผมหลุดยิ้ม
“บอสครับ คุณหนูตื่นแล้ว” เสียงที่ไม่เคยได้ยิน? ใครอีกล่ะเนี่ย
บอสกับมือขวาที่กำลังเถียงกันหน้าดำหน้าแดงด้วยเสียงเบาหวิวหันหาคนป่วยที่กำลังนอนมองตาใส บอสใหญ่โยนงานทิ้งให้มือขวาแล้วตรงดิ่งมาที่เตียง
“หลับสบายดีไหม เธอน่าจะนอนต่ออีกสักหน่อยนะ”
“ใครจะไปนอนได้กัน บอกแล้วให้กลับไปทำงานที่ตึกค่อยมาเยี่ยม นี่อะไร ขนงานมาทำที่นี่หมด คิดจะเปลี่ยนห้องพักฟื้นเป็นห้องทำงานรึไงไม่ทราบ”
“ไหนๆ ก็อยู่โรงพยาบาล ฉันว่านายน่าจะไปเช็กหูสักหน่อยนะ บอกแล้วว่าจะอยู่เฝ้า”
เอาเป็นว่าผมพอจับใจความได้แล้วล่ะว่าสองคนนี้ทะเลาะเรื่องอะไรกันอีก
“เป็นยังไงบ้างครับคุณหนู ปวดตรงไหนรึเปล่า ให้ผมช่วยเรียกพยาบาลไหม” พี่อาคมยังเป็นผู้ใหญ่ที่สุดเหมือนเคย เขาทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยินสองคนนั้นอย่างมืออาชีพ เอ่ยถามผมอย่างเป็นห่วง ความจริงใจที่แสดงออกมาทำให้ผมยิ้มได้
“ต้องปวดอยู่แล้วสิครับ แต่ผมหิวมากกว่า”
“พ่อ นี่ไงซุปข้นที่นางพยาบาลหุ่นสะบึมเอามาให้” ชายคนแรกที่เห็นว่าผมตื่นส่งถ้วยซุปมาให้พี่อาคม ผู้ชายคนนี้คงจะเป็นคนที่ไมค์เคยพูดถึงว่าจะมาดูแลผมคู่กับเขา
“พูดจาดีๆ หน่อยหลง อยู่ต่อหน้าคุณหนูนะ” ไมค์ปรามแต่ตามองพี่อาคม ถ้าจะพูดเพื่อเอาใจพี่อาคมล่ะก็ไม่ต้องอ้างชื่อผมก็ได้ สองคนนี้อย่างกับเด็กแย่งความรักจากผู้ปกครอง
“กินซุปครับ เดี๋ยวผมป้อนให้” พี่อาคมยังคงเมินเสียงรบกวนรอบข้างได้อย่างน่าชื่นชม
“ไม่เป็นไร ผมกินเองได้” ผมขยับแขนขวาให้ดู พี่อาคมเลยลากโต๊ะมาใกล้เตียงวางถ้วยให้ผมตักกิน โต๊ะสำหรับกินข้าวของผู้ป่วยในโรงพยาบาล มันจะเหมือนกับโต๊ะที่มีขาเดียวติดล้อเพื่อพาดบนเตียงและเข็นไปไหนมาไหนได้สะดวก
“ผมขอถือโอกาสนี้แนะนำตัวเลยแล้วกัน ผมชื่อหลง จะมาเป็นการ์ดให้กับคุณหนูตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครับ”
คนหนึ่งหน้าตาแบบไทยแท้ อีกคนฝรั่งจ๋า คนสุดท้ายมาแนวจีนชัดเจน ที่เหมือนกันคือพวกเขาตัวสูงและหน้าตาดีมาก ถึงงั้นพี่เดฟก็ยังเป็นที่หนึ่งในใจผมนะ อาหารฝีมือพี่ท่านอร่อยมากจริงๆ
“ฝากตัวด้วยครับ” ผมผงกหัวรับแล้วนั่งกินต่อ พี่อาคมเรียกไมค์กับหลงไปเทศนาอยู่มุมห้อง เปิดช่องให้ลูเซียสกับไนท์มาล้อมเตียง ห้องพักฟื้นผมช่างครึกครื้นเหลือเกิน
“ฟาดเคราะห์ไปนะเจ้าหนู” ผมมองไนท์ตาปริบๆ รู้จักคำแบบนี้ด้วย พี่อาคมสอนชัวร์
“กินเสร็จอยากเดินเล่นไหม เดี๋ยวฉันพาไป” ลูเซียสถาม
“ไป” ผมตอบแบบไม่คิดอะไร อยู่ห้องอย่างเดียวก็น่าเบื่อ ออกไปดูนั่นดูดีหน่อยก็ดีเหมือนกัน ใครจะไปรู้ล่ะว่า บอสใหญ่จะเป็นคนจัดการเองทุกอย่างตั้งแต่ติดต่อขอรถเข็น อุ้มผมลงจากเตียง เข็นผมไปชมสวนผ่านหน้าเหล่าการ์ดที่โค้งคำนับใช้สายตาลอบมองผมส่งรอยยิ้มเป็นมิตรให้
ถือเป็นข้อดีหลังจากเกิดเรื่องแย่ๆ ความซื่อสัตย์ไม่ทรยศลูเซียสช่วยทำให้ลูกน้องทุกคนเปิดใจรับผมมากขึ้น อนาคตหลังจากนี้ผมคงไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ควรจะดีใจไหมนะ มาเฟียที่ผมพยายามหลีกหนีที่สุดในชีวิต ตอนนี้กลายเป็นขุมกำลังแสนยิ่งใหญ่ของผมไปแล้ว