"ในชีวิตของคนเราจะมีสักกี่ครั้งที่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตนรัก เมื่อโอกาสนั้นมาถึงจงรีบคว้าไว้อย่าให้หลุดมือไป เพราะสุดท้ายเราจะมานั่งเสียใจในภายหลัง"
หนึ่งวันหลังจากที่ฉันไม่ผ่านการสัมภาษณ์งานที่บริษัทเดอะวัน ฉันก็เตรียมเก็บข้าวของเพื่อที่จะกลับเชียงใหม่ไปอยู่กับแม่ (กริ๊งงงงง...สายเรียกเข้าจากเพื่อนรักหมายเลข1) "ฮัลโหล! นี่แกอยู่ที่ไหน อยู่บ้านใช่ไหมเดี๋ยวฉันรีบไปหานะ รอฉันก่อนนะอย่าเพิ่งรีบหนีไปไหนล่ะ" ฉันกดรับสายก็จริงอยู่แต่ฉันยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไรสักคำเพื่อนรักของฉันคนนี้ก็รีบวางสายทันทีที่พูดจบ ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไมฉันพิมพ์ชื่อเพื่อนคนนี้ว่าเพื่อนรักหมายเลข1 จริงๆแล้วฉันไม่ได้พิมพ์เองหรอกนะ เพื่อนของฉันเขาเป็นคนพิมพ์น่ะ เธอมีชื่อว่าจิน หรือจินตนา อาชีพคือนักข่าว เพราะชอบเผือกเรื่องของชาวบ้านเลยรักในอาชีพนี้ ครอบครัวจินเป็นหมอกันทั้งบ้านรวมถึง เจ็ท หรือเจตริน น้องชายฝาแฝดของจิน 2คนนี้คือเพื่อนรักของฉัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครคือเพื่อนรักหมายเลข2 จินกับเจ็ทถึงจะเป็นฝาแฝดกันแต่นิสัยต่างกันสุดขั้ว จินจะเป็นคนอารมณ์ร้อนชอบใช้กำลังในการแก้ปัญหา ส่วนเจ็ทจะเป็นคนใจเย็นทำอะไรมีสติอยู่เสมอ และที่สำคัญคอยห้ามและเก็บกวาดเรื่องที่จินทำด้วย แต่มีอยู่สองสิ่งที่สองคนนี้เหมือนกันนั่นคือ ความฉลาดรอบรู้และหน้าตาดีทั้งคู่ ถึงแม้เรื่องอื่นเจ็ทจะเป็นฝ่ายยอมจินมาตลอด แต่กับเรื่องความเก่งและฉลาดสองคนนี้ไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ หลังจากที่จินวางสายไปได้ไม่ถึง1นาที (กริ๊งงงงงสายเรียกเข้าจากเพื่อนรักหมายเลข2) "ฮัลโหล! จริงหรือเปล่าที่แกจะต้องกลับเชียงใหม่น่ะ ตอนนี้ฉันออกเวรแล้วเดี๋ยวจะรีบไปหาแกนะ" พอพูดจบเจ็ทก็กดวางสาย ซึ่งนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ฉันรับสายแล้วยังไม่ทันได้พูดสักคำ บางทีฉันก็สงสัยนะว่าสองพี่น้องนี้ทำไมไม่มาพร้อมกันแล้วโทรหาฉันทีเดียว จะผลัดกันโทรมาเพื่อ??? แต่ฉันก็ดีใจนะที่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่ามีคนคอยเป็นห่วงฉันอยู่ทำให้ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เวลาผ่านไป5นาทีทั้งสองคนก็มาถึงพร้อมกับของกินเต็มไม้เต็มมือ เรา3คนนั่งทานอาหารด้วยกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรสักคำต่างคนต่างกินไปพลางมองหน้ากันไปพลาง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วจู่ๆเรา3คนก็สะดุ้งเพราะได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของฉัน ("กริ๊งงงงงสายเรียกเข้าจากเบอร์ไม่รู้จัก) ฉันจึงรีบรับสายทันทีเพราะในใจยังหวังว่าต้องเป็นบริษัทใดบริษัทหนึ่งใน30บริษัทที่ฉันไปสมัครงานไว้แล้วเขาโทรมาตามให้ฉันให้ไปทำงานแน่ "ฮัลโหลสวัสดีค่ะ" เสียงปลายสายที่ตอบกลับมานั้นเป็นเสียงของผู้ชายที่พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและสุภาพ "สวัสดีครับ คุณมาริสาใช่ไหมครับ ผมโทรจากบริษัทเดอะวันนะครับ ผมเป็นเลขาของประธานศรันย์ ชื่อกวินครับ พอดีว่าท่านประธานอยากจะพบคุณเป็นการส่วนตัวน่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณมาริสาสะดวกเข้ามาที่บริษัทวันนี้หรือไม่ครับ" ฉันที่กำลังอึ้งกับคนปลายสายจนลืมตอบกลับจนจินต้องสะกิดเรียกสติของฉัน "คะ? ท่านประธานเรียกฉันไปทำไมคะ ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ ทำไมต้องเรียกฉันไปพบด้วย" เสียงปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สุภาพว่า "เอาไว้คุณมาถึงก็จะรู้เองครับ ไม่ทราบว่าคุณจะมาหรือไม่ครับ ผมจะได้เตรียมรถไปรับคุณครับ" ฉันรีบตอบกลับในทันที "ไม่ต้องค่ะ! เดี๋ยวฉันเดินทางไปเองค่ะ" จากนั้นฉันก็กดวางสายไป เพื่อนทั้งสองคนของฉันจ้องหน้าฉันด้วยความอยากรู้อยากเห็นแบบใจจดใจจ่อแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามฉันตรงๆฉันจึงเล่าทุกอย่างให้เพื่อนฟัง และแน่นอนว่าจินหัวเสียอย่างมาก แต่ที่ทำเอาฉันกับจินแปลกใจนั่นคือ สีหน้าที่โมโหแบบสุดๆของเจ็ทในตอนนี้ เพราะปกติเจ็ทจะเป็นคนนิ่งๆและเก็บอาการได้ดีเสมอ แต่ครั้งนี้เจ็ทถึงกับเดือดมากและชวนฉันบุกไปเดอะวันเพื่อที่จะไปเอาเรื่องประทานบริษัท เมื่อมาถึงบริษัทเดอะวัน เจ็ทก็ตรงดิ่งเข้าไปในบริษัททันทีด้วยท่าทีที่โกรธจนควันออกหู ฉันกับจินจึงต้องรีบวิ่งเข้าไปห้ามเจ็ทเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น "ฉันเข้าใจที่แกโกรธ แต่ตอนนี้แกช่วยใจเย็นๆก่อนได้ไหม ทำอะไรวู่วามไปเดี๋ยวก็เป็นเรื่องใหญ่โตหรอก ในฐานะที่ฉันเป็นพี่สาวแสนดีฉันขอสั่งแกว่าให้แกไปนั่งรอที่ล็อบบี้ตรงนั้นกับฉันเดี๋ยวนี้!" จินพูดกับเจ็ทและถึงแม้เจ็ทจะโกรธมากเพียงใดแต่คำสั่งของจินคือเด็ดขาด เพราะถ้าเจ็ทไม่ทำตามล่ะก็เจ็ทเองนั่นแหละที่จะเจ็บตัว หลังจากที่จินพาเจ็ทไปนั่งสงบสติอารมณ์ จู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินตรงมาที่ฉัน ชายคนนั้นท่าทางสุภาพเรียบร้อย หน้าตาก็ดีกิริยาท่าทางก็ดีผิดกับอีตาประธานนั่นสุดๆ "คุณมาริสาใช่มั้ยครับ ผมกวิน เลขาท่านประธานครับ เชิญคุณมาริสาตามผมมาทางนี้ครับ" พูดจบชายคนนั้นก็ผายมือไปทางลิฟท์ "นี่เราจะไปหาท่านประธานกันใช่ไหมคะ แล้วทำไมถึงให้ฉันไปคนเดียวหล่ะคะ ฉันพาเพื่อนไปด้วยไม่ได้หรือคะ?" เมื่อฉันพูดจบเขารีบตอบแบบทันควัน "ไม่ได้หรอกครับ ท่านประธานชอบความเป็นส่วนตัวน่ะครับ หากคุณพาเพื่อนๆไปด้วย ผมเกรงว่าท่านจะไม่พอใจเอานะครับ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพแล้วหันมายิ้มให้กับฉันเพื่อให้ฉันรู้สึกไม่ประหม่า เมื่อลิฟท์มาจอดอยู่ที่ชั้น20 เขาก็หันมาพูดกับฉันว่า "ถึงแล้วครับ เดี๋ยวคุณเดินตรงไปเรื่อยๆนะครับแล้วคุณจะพบกับห้องท่านประธานครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ" เมื่อเขาพูดจบก็หันมายิ้มให้กับฉันเหมือนสื่อความหมายว่าขอให้โชคดีอะไรทำนองนั้น ฉันเดินตรงมาตามที่คุณเลขานั่นบอกก็พบกับห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่งฉันมั่นใจว่าน่าจะใช่ห้องประธานแน่ๆ เพราะทั้งชั้นนี้มีแค่ห้องนี้ห้องเดียวเท่านั้น ฉันเดินไปเคาะประตูเพื่อส่งสัญญานว่าฉันมาแล้วและฉันก็เปิดประตูนั้นเข้าไปด้วยความกล้าๆกลัวๆ ชายคนนั้นนั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงาน ใบหน้านั้นทำเอาฉันกลัวจนบอกไม่ถูก เสียงที่เย็นยะเยือกเอ่ยขึ้น "นั่งก่อนสิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ" ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าเขาด้วยความสั่นกลัวแล้วเค้าก็ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งมาให้ฉันพร้อมกับพูดว่า "นี่เป็นเอกสารสัญญาการว่าจ้าง อย่าเพิ่งดีใจไปฉันไม่ได้ให้เธอมาเป็นพนักงานที่นี่หรอกนะ แต่ฉันจะให้เธอทำงานพิเศษให้ฉัน ลองอ่านข้อเสนอของฉันดูแล้วค่อยให้คำตอบฉันวันพรุ่งนี้ก็ได้" ฉันนั่งอ่านเอกสารด้วยความตื่นเต้น เพราะถ้าหากฉันมีงานทำฉันก็จะมีเงินมาใช้หนี้ของพ่อ และแม่ก็จะได้ไม่ต้องลำบาก ในขณะที่ฉันกำลังตั้งใจอ่านเอกสารอยู่นั้นฉันก็ต้องตกใจกับรายละเอียดในสัญญาฉบับนั้น รายละเอียดคือหากฉันตกลงรับงานนี้ ฉันจะได้เงินเดือนละ300,000บาท ไม่รวมโบนัสพิเศษและจะชดใช้หนี้ทั้งหมดให้ สัญญาจ้างนี้มีอายุสัญญา3เดือน จากนั้นทุกอย่างจะถือว่ายุติลง แต่งานที่ฉันต้องทำคือ "แต่งงาน!! นี่คุณจะบ้าหรือเปล่า! จะให้ฉันแต่งงานกับคุณได้ยังไงในเมื่อคุณกับฉันเราไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกันขนาดนั้น และเราก็ไม่ได้รักกันด้วย อีกอย่างนะคะฉันอยากทำงานก็จริง แต่ต้องเป็นงานที่ฉันสมัครสิ ไม่ใช่งานแบบนี้ เพราะฉันไม่ได้มาขายตัวแลกเงิน ถึงแม้ว่าฉันอยากได้เงินมาใช้หนี้ให้พ่อก็จริงแต่เรื่องแต่งงานนี่มันคนละเรื่องกันค่ะ ถ้าหมดธุระแล้วฉันขอตัวนะคะ" ยอมรับว่าในตอนนั้นฉันโกรธมากและคิดว่าหากฉันอยู่นานกว่านี้ฉันคงเผลอต่อยปากผู้ชายคนนี้เป็นแน่ "นี่เธอ อย่าเข้าใจฉันผิดสิ ฉันไม่ได้พิศวาสอะไรในตัวเธอเลยสักนิด แต่ฉันอยากให้เธอได้รู้ไว้อย่างนะว่าการที่ฉันจ้างเธอให้มาแกล้งแต่งงานกับฉันนั้น เพียงเพราะฉันแค่อยากได้มรดกของปู่และฉันยังช่วยปลดหนี้ให้ครอบครัวเธออีกด้วย เธอควรจะขอบใจฉันสิ ไม่ใช่ทำตัวจองหองกับฉันแบบนี้ และอีกอย่างเมื่อครบ3เดือนทุกอย่างก็ถือว่ายุติลง และในเวลา3เดือนที่เราแต่งงานกันนั้นฉันก็ระบุไว้ชัดเจนว่าต่างคนต่างอยู่จะไม่ยุ่งเรื่องของกันและกัน แต่จะแสดงเป็นคู่รักกันต่อหน้าคุณปู่ของฉันเท่านั้น เธอเป็นคนพูดเองนี่ว่าอยากทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ พิสูจน์มาสิว่าฉันนั้นมองเธอผิดไป เธอน่ะไม่ได้เป็นแบบที่ฉันคิด ลองกลับไปคิดดูให้ดีนะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะรอฟังคำตอบ" เมื่อเขาพูดจบฉันก็รีบเดินออกจากห้องนั้นทันทีและรีบตรงไปหาเพื่อนๆของฉันแต่ฉันไม่ได้เล่าอะไรให้พวกเขาฟังเลยแม้แต่น้อยเพราะกลัวว่าเพื่อนๆจะเป็นห่วง ฉันโกหกไปว่าเขาเรียกไปให้เงินปลอบขวัญที่เมื่อวานเขาขับรถจะชนฉัน ฉันคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายครั้งจนในที่สุดฉันก็ตัดสินใจได้ว่า... ...โปรดติดตามตอนต่อไป...ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ จากคนที่เคยคิดว่าไม่น่าจะมารักกันได้ ก็กลับกลายเป็นว่าได้มารักกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วหลังจากวันที่ฉันและคุณศรันย์ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ในทุกๆวันที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสามีและภรรยาเรามีความสุขกันมาก คุณศรันย์เคยขอฉันแต่งงานใหม่ แต่ฉันก็ปฏิเสธไป เพราะเราได้แต่งงานกันไปครั้งนึงแล้ว ถึงแม้ว่าการแต่งงานในตอนนั้นมันจะเป็นงานแต่งงานหลอกๆก็ตาม แต่ความรู้สึกที่เรามีให้กันในตอนนี้มันคือของจริง ฉันจึงคิดว่ามันไม่จำเป็นที่เราจะต้องจัดงานแต่งงานขึ้นมาอีก ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่ก็ใกล้จะถึงวันครบรอบ 30 ปีที่ก่อตั้งบริษัท เดอะวันแล้ว ฉันและคุณศรันย์เรายุ่งกับการเตรียมงานกันอย่างมาก เพราะเราตั้งใจว่าจะทำให้ทุกคนที่มางานได้รับความสุขกลับไป ธีมส์ของงานในครั้งนี้คือ "วันพิเศษ แด่คนที่พิเศษ" รายละเอียดของงานคืออยากให้คนที่มาร่วมงานได้บอกความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายได้รับรู้ หากอีกฝ่ายตอบรับความรู้สึกนั้น เรามีของรางวัลให้ไปเที่ยวพักรีสอร์ท 2วัน 1คืน (ซึ่งแน่นอนว่ารีสอร์ทนั้นเป็นของบ้านฉันเอง) ในขณะที่เรากำลังเตรียมง
ช่วงเวลาในตอนนี้มันช่างพิเศษเสียเหลือเกิน ฉันได้อยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของชายที่ฉันไม่คิดว่าจะได้มารักกัน ใบหน้าของฉันแนบกับหน้าอกของเขาและได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ราวกับว่าหัวใจดวงนั้นจะระเบิดออกมาใส่หน้าฉันเสียให้ได้ เรายืนกอดกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็พูดกับฉันว่า "ฉันว่าเรามาจบสัญญานี่กันดีกว่านะ" เมื่อฉันได้ยินแบบนั้นก็หน้าซีดและใจสั่น น้ำตาก็ไหลมาคลอๆที่เบ้าตา ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอตอบกลับเขาไปว่า "ที่คุณทำมาทั้งหมดนี้เพียงเพื่ออยากจะจบสัญญานี่หรือคะ ได้ค่ะ! งั้นเรามาจบสัญญากันเถอะ!" ฉันพูดจบก็หันหลังเพื่อที่จะเดินหนีออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด เพราะไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาของฉันในขณะที่ฉันกำลังหันหลังเพื่อก้าวเดินหนีไปนั้น เขาก็คว้าแขนของฉันแล้วดึงกลับไปกอดอีกครั้งแล้วพูดว่า "นี่! ฟังฉันพูดให้จบก่อนสิ! เธอจะรีบไปไหน ทำตัวเป็นนางเอกละครไปได้ ที่ฉันหมายถึงก็คือให้เรายุติสัญญาจอมปลอมนี่ แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ต่างหาก ยัยบื้อเอ๊ย!" เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก โอ้ย!ทำไมฉันถึงได้ทำอะไรน่าอายแบบนั้นกันนะ! ยัยมาริสายัยโง่เอ๊ย! "ขอโทษนะคะ ที่ฉันด่ว
ในชีวิตฉันเคยหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมาทำเซอร์ไพรส์วันเกิดให้ แล้วในวันนั้นฉันคงจะมีความสุขมากๆ แต่ไม่คิดว่าวันนั้นที่ฉันหวังเอาไว้จะมาถึง เพราะเขาคนนี้ทำให้ความหวังของฉันเป็นจริง ความสุขที่คิดไว้ก็เกิดขึ้นจริง และมากกว่าที่คาดคิดไว้เสียอีกในตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไร จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ฉันก็มีความสุขมากกับสิ่งที่เขาทำให้ ไม่ว่าเขาจะทำไปเพื่ออะไรก็ตาม ขอแค่ให้เขาอยู่ข้างฉันแบบนี้ก็พอ คำอธิฐานในวันเกิดปีนี้ที่ฉันอยากจะขอก็คือ ฉันอยากให้เราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดกาล และไม่อยากให้สัญญาจอมปลอมนั้นต้องจบลง เพราะตอนนี้ใจของฉันไม่ใช่ของฉันอีกต่อไปแล้วฉันยืนหลับตาและอธิฐานอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า "นี่เธอ! จะขออะไรหนักหนา เธอขอนานไปแล้วนะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงให้เธอไม่ไหวหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า" เสียงนั้นทำเอาฉันต้องรีบลืมตาขึ้นมาทันที เพราะกลัวว่าหากฉันหลับตานานกว่านี้เขาอาจจะพูดแซวฉันอีกก็เป็นได้ "ก็คุณเป็นคนบอกให้ฉันอธิฐานเองนี่คะ ฉันก็เลยขอเยอะหน่อย เผื่อว่าจะสมหวังกับเขาบ้าง" ฉันพูดตอบกลับเขา และเขาก็ถามฉันกลับมาว่า "แล้วเธอขออะไร
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ วันเวลาผ่านไปได้สองเดือนครึ่งแล้วหลังจากที่เราแต่งงานกัน เหลือเวลาอีก15วันเท่านั้น สัญญาของเราสองคนก็จะจบลงวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันตื่นมาตามปกติ แต่ที่แปลกไปจากเดิมก็คือ ฉันลืมตามมาเจอเขานอนอยู่ข้างๆพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้และพูดทักทายฉันว่า "อรุณสวัสดิ์ ตื่นเสียทีนะยัยขี้เซา ฉันมานอนอยู่ข้างๆตั้งนานยังไม่รู้สึกตัวอีก ถ้าเกิดว่ามีใครทำมิดีมิร้ายกับเธอจะทำยังไง" มันก็จริงอย่างที่เขาว่า เพราะฉันไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน แล้วทำไมเขาถึงได้มานอนอยู่ข้างๆฉันได้หล่ะ? พอคิดได้อย่างนั้นฉันเลยถามออกไป "แล้วคุณเข้ามาห้องฉันได้ยังไงคะ แถมยังมานอนข้างๆฉันอีก นี่คุณคิดจะทำอะไรฉันคะ ไม่ได้นะคุณ! ถึงเราจะเป็นสามีภรรยากันก็จริง แต่มันก็แค่ในนาม คุณไม่มีสิทธิทำอะไรฉันนะคะ" พอฉันพูดจบเขาก็หัวเราะลั่นและพูดว่า "นี่เธอ! เพี้ยนหรือเปล่า? นี่บ้านฉัน ฉันก็ต้องมีกุญแจไขเข้ามาอยู่แล้ว ที่ฉันเข้ามาเพราะฉันเคาะประตูเรียกเธอตั้งนานแล้วไม่มีเสียงตอบรับ ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรเลยรีบเข้ามาดู แต่เห็นเธอยังนอนกรนอยู่แถมละเมอด้วย และฉันขอบอกตรงนี้เล
เมื่อเราสองคนได้ของขวัญและชุดที่จะใส่ไปออกงานแล้ว เราก็เดินทางไปสถานที่จัดงานทันที เราเดินทางมาถึงสถานที่หนึ่ง ที่เหมือนกับคฤหาสน์ที่ดูหรูหราเหมือนกับในละคร ทางเข้าสองข้างทางมีดอกไม้หลากสียาวไปจนถึงตัวคฤหาสน์ ข้างหน้าก่อนเข้าไปในตัวอาคารมีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ทุกอย่างมันเหมือนกับเราอยู่ในฉากละครฉากหนึ่ง ที่เป็นฉากของพวกไฮโซมางานเลี้ยงกัน ทุกคนแต่งตัวจัดเต็มไม่มีใครยอมใคร ทั้งหญิงและชายแต่งตัวดูดีกันทุกคน เมื่อเราสองคนเดินเข้าไปในงาน สิ่งที่ฉันเห็นคือ ความสวยงามอลังการงานสร้าง ยิ่งกว่าอยู่ในละครเสียอีก ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ของแพงๆ จะหยิบจะจับอะไรทีต้องระวังอย่างมาก เพราะกลัวว่าถ้าทำพังจะไม่มีปัญญาจ่าย ในขณะที่ฉันกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น เขาก็จับมือฉันและพูดว่า "อย่ายืนอึ้งนาน ถึงเธอจะทำอะไรพังก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันชดใช้ให้ เราไปหาคุณปู่กันเถอะ" เขาพูดพร้อมยิ้มเยาะฉัน และเราก็เดินไปหาคุณปู่เพื่อมอบของขวัญให้ "คุณปู่สวัสดีค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณปู่ ริสาขอให้คุณปู่มีอายุยืนนานอยู่กับหลานๆไปนานๆนะคะ" ฉันกล่าวสวัสสดีพร้อมอวยพรท่าน และท่านก็หัวเราะชอบใจและ
ตอนเป็นเด็ก ฉันเคยฝันอยากเป็นเจ้าหญิงที่ได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงามและครองรักกันอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน แต่พอฉันเติบโตขึ้น จึงทำให้ได้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ในชีวิตจริงการที่เราได้พบเจอคนดีๆสักคน คนที่เขารักเราจริงไม่ทิ้งเราไปไหนไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ตาม เขาก็จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ ถ้าฉันได้เจอกับคนๆนั้นฉันจะรักษาเขาไว้ให้ดีที่สุดในขณะที่ฉันกำลังฝันถึงเจ้าชายรูปงามที่กำลังจะได้จุมพิตกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งตื่นจากฝัน "กริ๊งงงงงงงงง" มันเป็นเสียงโทรศัพท์นั่นเอง แล้วฉันก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่ใกล้ๆฉัน ฉันจึงลืมตาขึ้นดู แล้วฉันก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของใครสักคน ฉันจึงนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ ฉันจึงได้รู้ว่าอ้อมแขนนี้เป็นของใครและนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ฉันจึงค่อยๆขยับตัวลุกออกมาจากตรงนั้น แต่ก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า "ตื่นแล้วหรือ หลับสบายไหมยัยขี้เซา" ครั้งนี้เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วละลาย ทำให้ฉันเคลิ้มไปอยู่ครู่หนึ่ง "ขอโทษนะคะ ที่ฉันมานอนตรงนี้ คุณคงจะอึดอันน่าดู ฉันจะรีบกลับห้องตัวเองเด