LOGINลิขิตรัก 7
ช่วยเหลือ
“ข้าขอคุยกับเขาเพียงลำพังได้หรือไม่” หันไปถามเฟิงหวงที่พามาห้องๆหนึ่ง ไม่ไกลจากห้องที่คุยกันก่อนหน้ามากนัก คาดว่าน่าจะเป็นห้องสำหรับของผู้แข่งที่บาดเจ็บ เขาเล่าว่าปกติผู้เข้าแข่งขันจะรักษาตัวภายในห้องโถงใหญ่แต่ด้วยชายผู้นี้อาการค่อนข้างสาหัส จึงแยกอยู่อีกห้อง เขาพยักหน้าก่อนจะออกห้องไป
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“เจ้า…” เขาเงยหน้าขึ้นมอง แม้ข้าจะอยู่ภายใต้ผ้าคลุมแต่กลับมองเห็นดวงตาชายผู้นี้สั่นไหวอย่างชัดเจน
“ขอถามได้หรือไม่ เหตุใดลานประลองครานั้น เจ้าถึงไม่ขอยอมแพ้ ทั้งๆที่กฎการแข่งขันสามารถทำได้”
“ข้าต้องการเงิน” เขาเงียบไปหลายเค่อ ดวงตาสีเทาหม่นหลุบตาลง
“เกิดอันใดขึ้นหรือ” ถามด้วยความสงสัยจากสายตาของเขาคล้ายคนอับจนหนทาง ต้องทำทุกอย่างถึงแม้จะต้องเดิมพันด้วยชีวิตก็ตาม
“เมื่อหลายเดือนก่อนข้าออกไปท่องยุทธภพ ครั้นเมื่อกลับมาพบว่าสัตว์อสูรบุกรุกหมู่บ้านของข้า มันทำลายทุกอย่างและคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก”
“…” ข้าเงียบและรอฟัง
“ตอนนี้หมู่บ้านกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ข้าไม่สามารถให้พวกเขาหาอาหารเองได้เพราะส่วนใหญ่เหลือเพียงเด็กและผู้สูงวัย อีกอย่างข้าเป็นเด็กกำพร้า ได้คนในหมู่บ้านเลี้ยงดูมา จึงอยากต่อสู้เพื่อพวกเขา…” สายตาเขาสั่นระริก แม้นไม่มีน้ำตาแต่ข้ารู้ได้ทันทีว่าภายในใจเขาเจ็บปวดแค่ไหน
“ข้าจะช่วยเจ้า” แม้เราไม่รู้จักกันก็ตาม อีกอย่างการแข่งขันนี้ผู้ชนะจะได้เงินเป็นรางวัล ข้ามิได้ลำบากอันใด ยินดีจะมอบให้เขาหากเงินจำนวนนี้สามารถช่วยได้อีกหลายชีวิต
“ช่วย เจ้าจะช่วยข้าจริงหรือ…” เขาเงยหน้ามองข้า สายตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ทว่ากลับประกายทอความหวัง
“แต่ก่อนอื่นเจ้าควรรักษาแขน” ข้ามองแขนที่ขาดตั้งแต่ช่วงไหล่ มีผ้าพันอยู่
“แขนข้ารักษาได้เพียงเท่านี้” เขาเอ่ยแต่สายตากลับไม่แสดงความเสียใจ
“ใครบอกเจ้า”
“ท่านหมอที่รักษาข้า”
“หากเสียแขนไปแล้วเจ้าจะใช้แขนข้างเดียวปกป้องผู้คนในหมู่บ้านงั้นสิ…” ข้าถามหยั่งเชิง จากที่เขาเล่าหมู่บ้านเขาโดนสัตว์อสูรบุก ซึ่งข้าว่ามันไม่จบเพียงแค่ครั้งเดียวแน่ สัตว์อสูรจมูกจะไวเป็นพิเศษ หากมันได้ทิ้งกลิ่นเอาไว้แล้ว มันจะคิดว่าตรงนั้นเป็นอาณาเขตล่าของมัน
“ต่อให้เสียแขนอีกข้าง ข้าก็จะปกป้องทุกคนให้จงได้ !!” เขาเอ่ยอย่างมุ่งมั่น ดวงตาสีเทาฉายแววเด็ดเดี่ยวอย่างน่าชื่นชม แบบนี้ค่อยน่าสนใจหน่อย
“ถ้าข้าบอกว่าสามารถทำให้แขนเจ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ล่ะ…” นางถามพร้อมทำหน้าหยั่งเชิง นางมาโลกมนุษย์ด้วยกายหยาบที่เป็นมนุษย์ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ซ่อนทีเด็ดอะไรเอาไว้
“เจ้า !!!” เขาตะลึงจนพูดไม่ออก แววตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หากข้าหาสนใจไม่ ชายผู้นี้มีจิตที่กล้าแกร่ง อีกทั้งสิ่งที่เขาทำก็เป็นเรื่องน่าชื่นชม
“หลังจากนี้หากเกิดอันใดขึ้น ห้ามสงสัย ห้ามบอกใครแม้แต่ผู้เดียว !”
ยามโหย่ว (17.00 - 18.59 น.)
“เจ้าหายไปไหนมาหรือจิวฮวา พ่อกับเถ้าแก่เหรินตามหาเสียนาน” เมื่อข้ากลับมาถึงโรงเตี๊ยม ท่านพ่อบุญธรรมและท่านตารีบออกมารับด้วยสีหน้าโล่งใจจนข้ารู้สึกผิดเพราะหายไปนาน
“ข้าเดินเล่นจนเพลินไปหน่อย ขออภัยเจ้าค่ะ” ข้าก้มตัวลงอย่างรู้สึกผิด
“เจ้าปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว” สำรวจตัวบุตรสาวเมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติจึงถอนหายใจ
“ไปๆ งั้นเราเข้าไปข้างในกันดีกว่า” ก่อนที่เถ้าแก่เหรินจะนำทางเข้าไปพักในโรงเตี๊ยม
1 เดือนต่อมา
“ข้าจะตามหาเขาที่ไหนดี…” พึมพำคนเดียวอย่างเหม่อลอย ข้าอยู่แคว้นเฟิงได้เดือนกว่าแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะหาคนรักพบ หรือเขาจะไม่ได้อยู่ที่แคว้นนี้
“โฮ่ง ๆ”
“ว่าไงซือเป่าน้อย” ซือเป่า เป็นชื่อที่หมายถึงความสุข มันคือสัตว์อสูรคล้ายหมาป่าในลานประลองครานั้นในคราบหมาน้อย เมื่อเดือนก่อนตอนที่กำลังจะกลับ ข้าแวะไปหามันเพื่อล่ำลา แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นสายตาอ้อนวอนและพร้อมท่าทางเหงาหงอยพลอยให้ผู้พบเห็นรู้สึกสงสาร จนเฟิงหวงตัดสินใจยกมันให้ข้าถือเป็นรางวัลสำหรับการประลองอีกอย่าง ในตอนแรกค่อนข้างลำบากใจเนื่องจากมันตัวโตเกินไป แต่เฟิงหวงกลับสื่อจิตคุยกับข้าบอกว่ามันเป็นสัตว์อสูรชั้นสูง สามารถย่อส่วนร่างกายได้ นั่นทำให้ข้าตกลงแทบจะทันที
ข้ามองมันเห่าพร้อมแลบลิ้นอย่างน่ารัก
“โฮ่งๆ”
“อยากปลอบเหรอ ข้าไม่เป็นอันใดหรอกหน่า” หลังจากอยู่ด้วยกันนางพบว่าแท้จริงแล้วซือเป่าน้อยเป็นตัวเมีย ปกติเวลามีเรื่องไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข ข้าก็จะมาระบายให้มันฟัง ซึ่งมันก็เป็นผู้ฟังที่ดี ในบางครั้งก็มีเห่าโต้ตอบ คล้ายปลอบใจเหมือนตอนนี้
นับจากวันนั้นข้าก็ช่วยท่านพ่อและท่านตาบริหารโรงเตี๊ยมจนกระทั่งกิจการรุ่งเรือง ตอนแรกท่านพ่อบุญธรรมจะซื้อโรงเตี๊ยมแห่งใหม่เพื่อใช้เป็นพื้นที่ขายสินค้าหลัก แต่ท่านตากลับไม่เห็นด้วย บอกให้ใช้โรงเตี๊ยมนี้แทนการซื้อใหม่ อีกอย่างเงินมีจำกัด ซึ่งสินค้าหลักๆจะเป็นพวกผ้าไหมจากต่างแคว้น ข้าเลยแนะนำให้เปิดเป็นโรงเตี๊ยมขายอาหารหวานคาวและแหล่งซื้อผ้าไหมสำหรับสตรี ฉะนั้นโรงเตี๊ยมแห่งนี้จึงดึงดูดได้ทั้งชายและหญิง
“คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ แฮ่กๆ ” อิงหลิว สาวใช้วิ่งเข้าในห้องอย่างร้อนรน นางเป็นคนที่ท่านพ่อบุญธรรมมอบให้ เป็นเด็กสาวอายุประมาณ 15 หนาว ท่านพ่อพบเห็นอิงหลิวซึ่งเป็นเด็กกำพร้าเร่ขายมันโถว สวมชุดด้วยเนื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ จึงชักชวนมาทำงานด้วย อิงหลิวจึงตัดสินใจมาทันที
วันแรกที่ข้าเห็นนางมอมแมมมาก เนื้อตัวเปรอะเปื้อนดิน บดบังความงามของสาวแรกแย้ม ซึ่งเมื่ออาบน้ำแต่งตัวดีๆ นับว่าสาวใช้คนใหม่ผู้นี้น่าตาดีทีเดียว ผิวขาว ตาโต แก้มป่อง ร่างบอบบางอ้อนแอ้น นับว่าท่านพ่อคิดถูกจริงๆที่นำนางมา เพราะหากไม่เช่นนั้นแล้ว นางอาจโดนชายใจทรามดักฉุดเป็นแน่
ระยะเวลาหนึ่งเดือนทำให้ข้ารู้ว่าจิตใจมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึง บางคนมีสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ลับหลังสามารถนำมีดมาแทงเราได้ง่ายๆ ในทางกลับกันบางคนเป็นคนโผงผางแต่กลับซื่อตรงต่อความรู้สึก ซึ่งมันทำให้ข้ากลายเป็นคนไว้ใจคนยาก จะว่ามองโลกในแง่ร้ายก็ไม่แปลกเพราะมันเป็นทางเดียวที่สามารถปกป้องข้าได้จากคนประเภทนี้
“เฟิงหวงหรือ” ข้าถามเพราะเขาเป็นคนเดียวที่เทียวไปเทียวมาหาข้า ตอนแรกที่เขามาโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ท่านพ่อและท่านตาแปลกใจมาก เพราะเฟิงหวงค่อนข้างเป็นที่รู้จัก แต่ในทางดีทางร้ายข้าไม่รู้ เขามักมาบอกข่าวเกี่ยวกับตัวคนร้ายตอนนั้น ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้ที่ทำร้ายข้าไม่ใช่ใครหากเป็นหญิงสาวที่ข้าไม่เคยรู้จักอีกทั้งหน้ายังไม่เคยเห็น แต่กลับมาทำร้ายเพียงเพราะชายที่นางรักนั้นมาสนใจข้า แรงรักของหญิงสาวช่างน่ากลัวจริงๆ
“มะ มิใช่เจ้าค่ะ ตัวเขาโชกเลือดด้วยเจ้าค่ะ ยืนยันจะพบคุณหนูท่าเดียว” อิงหลิวร่ายยาวหลังจากเริ่มหายเหนื่อย
“เดี๋ยวข้าออกไป” ข้าครุ่นคิดว่ามีผู้ใดที่มีธุระกับข้าอีกหรือไม่ หรือว่า
“ฮุ่ยเฉิน !!” ข้าปรี่เข้าไปพยุงร่างของชายที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด แขนข้างขวาที่ครั้งนึงเคยขาดบัดนี้มีรอยกรงเล็บแหลมคมกรีดเป็นทางยาว ร่างกายสะบักสะบอมไม่ต่างจากลานประลองครานั้น
“ดะ ได้โปรดแม่นาง ชะ ช่วยพวกเขาด้วย…” เขามองหน้าข้าที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมผืนบางอย่างเว้าวอนไม่แม้แต่จะสนใจบาดแผลของตน ฮุ่ยเฉินคุกเข่าขอร้องด้วยเสียงอันสั่นเทา หยดเลือดมากมายไหลออกมาเปื้อนเป็นทาง
“เจ้าต้องรักษาแผลก่อน อิงหลิว !!!” ข้าไม่รับปากเพราะยังว่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะหันไปเรียกสาวใช้ที่มองอย่างสั่นกลัว
“จะ เจ้าค่ะคุณหนู” นางคงไม่เคยเห็นเลือดมากมายขนาดนี้มาก่อน แต่ก็รีบวิ่งออกไปทันทีโดยไม่ต้องอธิบาย
“พะ พวกเขาไม่เหลือใคร นะ นอกจาก แค่ก ๆ ข้า” เขากระอักออกมาเป็นเลือด พยายามพูดให้จบและก่อนที่เขาจะสลบด้วยพิษบาดแผลนี้ ข้าตัดสินใจดึงปิ่นปักผมออกแล้วกรีดแขนตัวเอง
“เจ้าดื่มนี่ก่อน” ข้ายื่นแขนที่มีเลือดตัวเองไหลออกมาเป็นทางแล้วยื่นให้เขาดื่ม ร่างกายข้าเป็นมนุษย์ก็จริง แต่สายเลือดที่ไหลเวียนในร่างข้าเป็นเลือดผสมระหว่างปีศาจและเทพ ซึ่งเลือดของเทพนั้นมีพลังในการรักษาบาดแผลทุกชนิด ด้วยการมีสายเลือดเทพเพียงครึ่งเดียวจึงต้องใช้เวลารักษาพอสมควร
“ขอบคุณแม่นาง…” เขาดื่มมันอย่างไม่รอช้า ไม่นานเลือดของเขาหยุดไหลและบาดแผลเล็กน้อยตามใบหน้าสมานตัวอย่างรวดเร็ว หากแต่บาดแผลเหวอะหวะจากกรงเล็บนั้นคงต้องใช้เวลา
เพราะข้าเคยบอกเขาในวันนั้นห้ามสงสัยหรือบอกใคร แม้กระทั่งหน้าข้าก็ไม่เคยให้ใครเห็นนอกจากท่านพ่อบุญธรรม ท่านตาเหรินและอิงหลิว เขาจึงไม่เคยถามหรือสงสัยตั้งแต่วันนั้น
“เรื่องทั้งหมดเป็นอย่างไรหรือ” ข้าถามเมื่อพาเขามาห้องโถงสำหรับแขกส่วนตัว สายตาสำรวจร่างกายเขาที่ดูดีขึ้นกว่าตอนแรกนิดหน่อย โดยมีอิงหลิวที่ข้าเหลือบเห็นว่านางมองบาดแผลที่ค่อยๆสมานกันอย่างอึ้งๆ แต่ก็ไม่ได้ซักถามอันใด เพราะนางรู้ดีว่าข้าไม่ชอบคนขี้สงสัยมากนัก นางจึงนั่งพันผ้าสะอาดที่บาดแผลหลังจากใส่ยาเรียบร้อยแล้วเงียบๆ
“สัตว์อสูรมันบุกและฆ่าผู้คนในหมู่บ้าน ข้าพยายามต่อสู้สุดกำลังแต่จำนวนมันมากเกินไปจนต้านไม่ไหว” เขาเอ่ยด้วยความแค้นใจ
“ตอนนี้คนอื่นที่เหลือปลอดภัยใช่หรือไม่” ข้าพอเดาสถานการณ์ออกแล้วล่ะ กรงเล็บสัตว์อสูรพวกนั้นเด่นหราเสียขนาดนั้น
“ข้าพาพวกเขาไปที่หลบภัยและกำลังจะไปแจ้งทางการเพื่อให้ส่งกองกำลังมาช่วยแต่เส้นทางนั้นมีพวกมันอยู่มากเกินไป ข้าเลยรุดหน้ามาอีกทางแต่กลับถูกพวกมันโจมตีจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด” ดวงหน้าคมเข้มเอ่ยบอก สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด คงเสียใจจากเหตุการณ์ที่ต้องเห็นพวกพ้องถูกฆ่าตายไปต่อหน้า
“ข้าจะช่วยพวกเขาแต่ก่อนอื่นเจ้าไม่แจ้งทางการก่อนหรือ” ข้าถามเพราะยิ่งมีคนเยอะ การอพยพและช่วยเหลือผู้คนย่อมง่ายกว่า
“ข้าส่งสารแจ้งเหตุการณ์คร่าวๆไปแล้ว ไม่รู้ยามใดเขาจึงจะส่งกองกำลังมา แต่หากนานกว่านี้ข้าเกรงว่า…”
“สัตว์อสูรพวกนั้นจะหาชาวบ้านพบ” ข้าต่อประโยคจนจบ ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาพูด สัตว์อสูรพวกนั้นกินมนุษย์เป็นอาหาร มันคงไม่ปล่อยเหยื่อให้รอด หากพวกมันหาชาวบ้านพบเข้าละก็ ทุกคนคง…
“ข้าจะไปช่วยพวกเขา เจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อม” ลุกขึ้นก่อนจะบอก เขาจึงมองข้าภายใต้ผ้าคลุมอย่างขอบคุณและซึ้งใจ ข้าไม่เคยคิดจะให้ใครมาเคารพหรือเสื่อมใสหรอกนะ ข้าไม่เคยคิดว่าจะต้องต่อสู้เพื่อมนุษย์ที่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ แต่สัญชาตญาณบอกว่าข้าต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะเหลือเวลาไม่มากแล้ว
ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ประสบการณ์การต่อสู้ของข้านับว่ายังน้อยนักหากเทียบกับปีศาจตนอื่น แต่สำหรับมนุษย์นั้นไม่ใช่ทุกคนที่จะแข็งแกร่ง เขาต้องการการช่วยเหลือ ทั้งๆที่ใจข้ามันร่ำร้องบอกว่านี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของการมาที่นี่ ทว่าความรู้สึกกลับบอกให้ข้ารีบไปช่วยพวกเขา
“ขอบคุณจริงๆแม่นาง ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนนอกจากชีวิตข้า” ข้ามองเขาที่ก้มหัวให้ด้วยสายตาเรียบๆ ระหว่างหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ข้าเคยแวะไปเปิดโรงทานที่หมู่บ้านของเขา ผู้คนที่นั่นค่อนข้างลำบากอย่างที่เขาเคยเล่าและที่สำคัญส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้สูงวัยจนข้าแปลกใจยิ่งนักว่าหลายร้อยชีวิตที่หมู่บ้านเป็นอยู่กันอย่างไร เด็กอายุ 3 -14 หนาว ร่างกายผอมแห้งไม่สมวัย สวมเสื้อผ้าขาดๆจนแทบเรียกว่าเหมือนใส่กันมาทั้งปี ส่วนผู้สูงวัยก็เจ็บออดๆแอดๆจนคิดว่ายารักษาน่าจะมีไม่เพียงพอ
พวกเขากินเพียงมันโถวประทังชีวิตในแต่ละวัน ซึ่งจากได้ยินมานานๆจะมีโรงทานมาเปิดที หันมามองภายในเมืองหลวงแห่งนี้ ผู้คนสัญจรไปมาส่วนใหญ่ล้วนแต่งตัวหรูหรา ทานอาหารดีๆ จนเหลือทิ้ง มีเครื่องประดับตามร่างกายเหมือนใส่มาอวดเพื่อบ่งบอกฐานะและยศศักดิ์
แตกต่างกันเกินไป
“เจ้าไม่ต้องมอบชีวิตให้ข้า แต่จงมีชิวิตอยู่และปกป้องพวกเขา !” และหากมีโอกาสข้าจะขอเปลี่ยนแปลงความแตกต่างนี้เอง ข้าสัญญา!!!
ตอนพิเศษ 33 ปีผ่านไป“พี่ชาย รอข้าด้วย!” อู่ชิงตะโกนเรียกพี่ชายที่ใช้วิชาตัวเบาดีดตัวไปตรงนั้นที ตรงนี้ที ไม่รอเขาสักนิด“ข้าบอกแล้วว่าอย่ากินเยอะ” อู่หลงเหล่ตามองน้องชายหอบแฮ่กๆ“ฮึย ใครให้พ่อครัวทำขนมอร่อยกันเล่า!”“รีบเถิด ประเดี๋ยวพี่สาวซือเป่าและพี่ชายหลิงหยุนตามเราทัน” อู่หลงพูดถึงซือเป่า สัตว์อสูรของท่านแม่ที่บัดนี้สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว กับหลิงหยุนจ่าฝูงหมาป่าคู่พันธะของนาง ตอนนี้พวกเรากำลังเล่นวิ่งไล่จับกันอยู่ โดยสถานที่ย่อมเป็นป่าของจริงนอกเมืองอยู่แล้ว ใครจะเล่นแบบเด็กๆกัน“แฮ่ก พี่ชายข้าจา อุ้บ อ้วกกกก” หน้าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กขมวดคิ้วมองน้องชายอาเจียนเอาเป็นเอาตาย เจ้าเด็กนี่รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องออกมาด้านนอก ยังเห็นแก่กินมาจนเต็มท้อง“แฮ่กๆ…”“ดีขึ้นหรือไม่” แม้คนพี่จะเย็นชา แต่ก็เป็นห่วงน้องชายไม่น้อย“อื้อ ไปกันต่อเถอะ” อู่ชิงเช็ดปากไม่ใส่ใจ แม้จะเสียดายขนมที่พึ่งกินก็ตาม จากนั้นทั้งคู่ก็ดีดตัวใช้วิชาตัวเบาที่พ่อพร่ำสอนเ
ตอนพิเศษ 2บุตรชายตัวแสบ แม้หน้าตาของบุตรทั้งสองจะเหมือนกัน แต่นิสัยกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อู่หลงคนโตจะเป็นเด็กเงียบขรึม ชอบสังเกตคล้ายกำลังคิด วิเคราะห์อยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งนี้ดีหรือไม่ดีแล้วค่อยทำ อีกทั้งยังมากแผนการ เล่นเอาเขาหัวหมุนสุดก็คนพี่นี่แหล่ะ เพราะเดาใจไม่ออก รับมือได้ยาก ส่วนอู่ชิงคนน้องจะเป็นคนตรงๆ หิวก็ร้อง อยากให้พ่ออุ้มก็ร้องถึงขนาดเคยร้องดีดดิ้นเพราะแย่งนมแม่กับพี่ชายก็เคยมาแล้ว จนจิวฮวาต้องให้บุตรชายทั้งสองกินคนละเต้า เขาสงสารจิวฮวายิ่งนักต้องรับมือกับตัวแสบทั้งสอง นึกสัญญากับตัวเองในใจว่าจะช่วยนางเลี้ยงลูกๆให้ดี และเพราะทั้งคู่แตกต่างกันเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อแม่ต้องปรับตัวให้ดี แต่โชคยังดีพวกเขาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายง่ายกับผีนะซิ ตีกันอีกแล้ว“ปะ!” อู่หลงคนพี่ร้องเรียกคนเป็นพ่อคล้ายจะฟ้องว่าน้องทำตัวเกเร“แอะ!” ส่วนคนน้องก็ดีดดิ้น จนเท้าอวบไปโดนคนพี่เพราะอึ
ตอนพิเศษ 1สิ่งสำคัญ“ฮึก แงงง ปะ ปะ”“พ่อมาแล้วอู่ชิง เป็นอะไร หืม” เสียงร้องลั่นของบุตรชายวัยเกือบหนึ่งขวบดังขึ้น คนเป็นพ่อรีบรุดมาดูบุตรชายแทบจะทันที ส่วนภรรยาของเขาดูโรงเตี๊ยมอยู่ นี่ก็ผ่านมาเกือบปีแล้วตั้งแต่วันที่บุตรชายทั้งสองคลอดออกมา ท่านพ่อท่านแม่ของเขาแวะมาดูหน้าหลานชายตั้งแต่เด็กๆพึ่งคลอดได้ไม่กี่วัน พร้อมของรับขวัญหลานอีกมากมาย จนไม่มีที่เก็บ หลักๆก็เป็นพวกหีบทองคำ เพชรนิลจินดา และโฉนดที่ดิน มากมายเสียจนท่านพ่อตากับจิวฮวาทำหน้าลำบากใจ ปู่กับย่าของเด็กๆมาที่แคว้นเฟิงแห่งนี้ร่วมเดือน แต่ด้วยงานที่ต้องสะสางจึงไม่อาจทิ้งจวนมานานกว่านี้ได้กว่าจะทำใจจากหลานชายที่นับวันยิ่งตัวอวบอ้วน เล่นเอาเขากับจิวฮวาถึงกับต้องเอ่ยรับปากว่าจะพาบุตรชายไปเยี่ยมพวกท่านบ่อยๆ นี่ก็ไปพึ่งกลับมา ส่วนใหญ่จะไปเดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้ง เดิมทีท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาพูดคุยถึงเรื่องแต่งงานกับท่านพ่อตาไปบ้างแล้ว ทว่าท่านพ่อตากลับบอกว่าขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจิวฮวา ซึ่งนางก็บอกว่ายังไม่พร้อมเพราะเด็กๆย
ลิขิตรัก 49บทส่งท้ายจิวฮวา...นางยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ ดวงตาของนางยังคงงดงาม ทว่าภายในกลับมีความเหนื่อยล้าแฝงอยู่ ร่างบางที่เคยคุ้นบัดนี้ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ท้องของนางใหญ่ขึ้นมากจนน่าใจหาย ภายในนั้นมีบุตรสาวหรือชายของเขาหลับใหลอยู่จิวฮวาเองก็ชะงักค้างไปเช่นกัน นางไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับเขาอีกครั้งเร็วขนาดนี้ ความรู้สึกหลายอย่างตีตื้นขึ้นมาในอก ทั้งดีใจ ตกใจ สับสน และ...เจ็บปวด มือบางกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ความเงียบเข้าครอบงำทั้งสองครู่หนึ่ง“เจ้า...” เฟยหลงเอ่ยเสียงแหบพร่า “ข้า...ข้าในที่สุดก็พบเจ้าแล้ว”“นะ นายหญิง...” หลินจูมองทั้งสองด้วยแววตาสับสน จิวฮวากะพริบตาช้าๆ หัวใจเต้นแรง แม้พยายามห้ามมันแล้วก็ตาม“ท่านมาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงของนางราบเรียบ ไม่ได้อธิบายหรือตอบสิ่งใดกับสาวใช้ตัวน้อย พยายามไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา เฟยหลงก้าวเข้ามาใกล้ นัยน์ตาของเขามีทั้งความอ่อนโยนและความเจ็บปวด“ข้าตามหาเจ้า ตามหามาตลอดหลายเดือน” จิวฮวายังคงนิ่ง ทว่ามือที่ก
ลิขิตรัก 48ปลายทางหัวใจ “เอาล่ะ ข้าจะขอแนะนำใครบางคน” เฟิงหวงประกาศเสียงดัง วันนี้เป็นวันแรกที่จิวฮวาได้เข้ามาสอนเหล่าผู้คุ้มกัน เบื้องหน้าเป็นชายที่มีอายุในช่วง 18-50 ปี ทุกคนต่างมองหญิงสาวหนึ่งเดียวในสนามฝึกด้วยสายตาแตกต่างกันไป“ทักทายทุกคน ข้าจิวฮวา ต่อไปนี้จะเป็นผู้ฝึกให้พวกท่าน หวังว่าจะไม่มีใครดูถูกข้าที่เป็นเพียงสตรีแถมยังตั้งครรภ์เช่นนี้”“เอ่อ ข้าขอภัยที่ถาม จะไม่เป็นอันตรายหรือขอรับ” หน่วยกล้าตายคนหนึ่ง เขาเป็นชายวัยกลางคนที่กล้ายกมือถาม สายตาเขามีความลังเล ไม่มั่นใจ จิวฮวายิ้มมุมปากภายใต้ผ้าคลุม น้ำเสียงตอบกลับไม่ได้เต็มไปด้วยความไม่ชอบใจแต่อย่างใดที่โดนถามเช่นนี้“ขอบคุณที่เป็นห่วง พอดีบุตรชายข้าแข็งแรงยิ่งนัก แค่การขยับร่างกายนิดหน่อยไม่ทำให้เป็นอันตรายหรอก” จิวฮวากล่าวน้ำเสียงจริงจังเลียนแบบคำพูดบุตรชายที่กล่าวว่าพวกเขาแข็งแรง ซึ่งนางเชื่อว่าเขาแข็งแรงดั่งที่พูดจริงๆ บุตรชายที่มีสายเลือดปีศาจราชวงศ์ จะอ่อนแอได้อย่างไร พอนางพูดจบภายในครรภ์รู้สึกถึงการเต้นตึก
ลิขิตรัก 47ตามหา3 เดือนผ่านไปแคว้นเฟิงภายในโรงเตี๊ยมที่กลายเป็นที่โด่งดัง หญิงสาวร่างบาง แม้อายุครรภ์จะน้อยแต่ท้องกลับป่องอย่างเห็นได้ชัดนั่งอยู่หลังโต๊ะด้านใน จิวฮวากำลังอ่านสรุปของที่หมดไปและต้องซื้อเข้ามาของโรงเตี๊ยม ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ นางพยายามทำตนให้ยุ่งเข้าไว้เพื่อไม่ให้จิตใจหวนนึกถึงใครบางคน“นายหญิง คุณชายเฉินมาขอพบขอรับ” ฮุ่ยเฉินที่เปลี่ยนคำเรียกมาเป็นนายหญิงเอ่ยบอกร่างที่ง่วนอยู่กับเอกสารในมือ โรงเตี๊ยมมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างมหาศาล ทั้งมาเข้าพัก ดื่มด่ำกับอาหารและเลือกซื้อของฝาก ทุกคนทำงานกันแทบไม่พัก แต่ไม่มีใครบ่นเลยสักคน กลับกันต่างรู้สึกดีใจ เนื่องจากนายหญิงได้ให้สิ่งที่เรียกว่าโบนัสตามผลประกอบการ ยิ่งมีลูกค้ามากเท่าไหร่ นั่นทำให้ทุกคนดีใจขึ้นมากเท่านั้น เพราะนั่นหมายถึงรายได้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วยช่วงนี้อิงหลิวต้องดูบัญชีของร้านอย่างเต็มตัว นายหญิงได้เลื่อนขั้นให้อิงหลิวเป็นผู้จัดการบัญชี เขาเป็นผู้จัดการร้าน โดยมีเหล่าเด็กๆทั้งสามคอยช่วยเห







