LOGINลิขิตรัก 6
สัตว์อสูร
บรรยาย: จิวฮวา
“ตาเจ้าแล้วสาวน้อย…” ชายด้านข้างเอ่ยบอกข้าหลังจากการต่อสู้เมื่อกี้จบลง นับเป็นการประลองที่น่ายกย่องยิ่งนัก ชายผู้นั้นต่อสู้กระทั่งสู้ต่อไม่ไหว ร่างกายสะบักสะบอม ขณะที่ร่างของเขากำลังถูกยกออกไป สายตาสีเทาหม่นหันมาสบตาข้าโดยบังเอิญ ดวงตานั้นสร้างความแปลกใจให้แก่นางจนอดขมวดคิ้วไม่ได้
ดวงตาของคนสิ้นหวัง…
“หมายเลข 13” เสียงประกาศลั่นอีกรอบทำให้ข้าตื่นจากภวังค์ ลุกขึ้นยืนอย่างจำใจ
“ถ้ารู้ว่าสู้ไม่ไหวหันมามองข้าทันที” ชายชุดเหลืองบอก ข้าใช้หางตาไปมองเห็นแต่ดวงตาระยิบระยับคล้ายกำลังรอชมเรื่องน่าตื่นเต้น หากห่วงใยกันจริง ทำไมไม่เอาป้ายเฮงซวยนี่ไปถือแล้วสู้แทนข้าเองเลยล่ะ
“อะ เอ่อ เจ้าหมายเลข 13 ใช่หรือไม่” ผู้ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้ตัดสินเอ่ยถามข้าคล้ายไม่แน่ใจตอนที่ข้าเดินออกมาด้านหน้าลานประลอง
“ใช่”
ฮือฮา
เสียงตกใจจากผู้คนดังขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็ว่าข้าบ้าที่เอาชีวิตตัวเองมาทิ้งไว้ที่นี่ บ้างก็ว่าสติฟั่นเฟือน เสียงซุบซิบจากผู้คนในห้องโถงดังจนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนข้าเริ่มรู้สึกลำคาน
“อะแฮ่ม ๆ เนื่องจากในลานประลองของเราไม่มีกฎห้ามสตรีต่อสู้ ฉะนั้นเจ้าเข้าร่วมลานประลองได้ !!” เสียงประกาศจากชายคนเดิม นั่นทำให้เสียงซุบซิบเมื่อสักครู่หยุดลง แต่ก็ยังได้ยินคำดูถูกตามสายลม
ข้าเดินมาตรงกลางลานประลองกะจะไม่ต่อสู้ แค่หลบและแสร้งบาดเจ็บแค่นี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา ข้าคิดก่อนจะมองไปด้านหน้าตรงประตูเหล็ก ต้องบอกว่าแค่ประตูก็ใหญ่กว่าตัวข้าสักสิบเท่าได้ ประตูเปิดออกเห็นสัตว์อสูรด้านใน
นี่ไม่ใช่ตัวเมื่อกี้
กรรภ์ ! มันขู่ดังลั่น
เสียงพูดคุยในตอนแรกเงียบกริบในทันที ข้าหันไปมองรอบๆบนแท่นคนดู ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ บางคนสั่นด้วยความกลัว ดูเหมือนมันจะทำให้คนในห้องนี้กลัวไม่มากก็น้อยล่ะซินะ
รูปร่างของมันใหญ่โต สูงกว่าสักสามสี่เท่าได้ ลำตัวมีขนปกคลุม ขนสีเทาฟ้า ดวงตาสีแดงฉานดูดุร้าย มีเขี้ยวสองข้างไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันแหลมคมมากแค่ไหน ดูไปดูมาคล้ายหมาป่าหรือจิ้งจอกเหมือนกันนะ
ครืดด ครืดด
เสียงโซ่ที่ผูกคอของเจ้าสัตว์อสูรกระทบพื้นทำให้ข้าหรี่ตามอง คอเจ้านี่เป็นแผลเหมือนโดนโซ่บาดขนาดใหญ่ ให้เดาคงมาจากที่มันพยายามจะหนีหรือขัดขืน มันค่อยๆเดินตรงมาที่ข้า แววตาหิวกระหายคล้ายกำลังจ้องตะครุบเหยื่อ แต่ทำไมข้ากลับมองว่ามันกำลังพยายามแสดงกันนะ
กรรภ์ !
มันหยุดและขู่อยู่ตรงหน้า สายตาบอกประมาณว่าเจ้าจงรีบๆยอมแพ้ไปซะ ผิดกับขาทั้งสี่ของมันที่สั่นจนแยกไม่ออกว่ามาจากอาการบาดเจ็บหรืออะไรกันแน่ ทำให้ข้าตัดสินใจทำบางอย่าง
ตึก ตึก
นั่นนางจะทำอะไร !
ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
ขะ ข้า ทนดูไม่ได้
เสียงผู้คนรอบๆไม่ได้ทำให้ข้าหยุดเดิน แววตาของมันจ้องมองการกระทำของข้านิ่งๆ ทว่าหวาดระแวงไม่น้อย
และสุดท้าย
ตุ้บ !
จู่ๆมันทรุดตัวลงตรงหน้า
“โอ๋ๆ เป็นเด็กดีนะเด็กน้อย” ข้ายกมือลูบหัวของมันเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้ สัตว์อสูรตัวนี้หงอยลงจนสัมผัสได้ มันมองข้าตาปรอย เสมือนสุนัขผู้ซื่อสัตย์ หากถามว่าทำไมตอนแรกข้าถึงไม่กลัวมัน อาจเป็นเพราะสายตาของมันล่ะมั้ง สายตาลุกลี้ลุกลนแต่พยายามทำเก๋า เป็นสัตว์ที่โกหกไม่เก่งจริงๆ
ข้าไม่รู้หรอกนะทำไมมันถึงปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ หากเป็นเพราะข้าคือราชินีปีศาจก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตอนนี้ข้ากลายเป็นมนุษย์ธรรมดาไปแล้ว แต่ข้าไม่คิดให้เสียเวลาหรอก สัตว์อสูรตัวนี้น่ารักจะตายไป ว่าแล้วก็ยีขนฟูๆมันเล่น
“แบบนี้เรียกว่าข้าชนะหรือไม่เจ้าคะ ?” หันไปถามผู้ตัดสินเสียงดังเนื่องจากอยู่ห่างประมาณ 3 ผิง (1 ผิง = 3.3 เมตร) แต่เขากลับอ้ำอึ้ง ตาตะลึงมองค้าง
“เอ่อ….”
“เจ้าชนะแล้วสาวน้อย” ชายชุดเหลืองโผล่มาจากไหนไม่รู้เดินมาในลานประลอง หยุดใกล้ๆ ไม่มีความหวาดกลัวเหมือนคนอื่นอยู่เลย ผู้ตัดสินที่ตั้งสติได้รีบคุกเข่าเคารพ
“นายท่าน !”
“บอกคนของเรา ให้สืบว่าผู้ใดให้นำสัตว์อสูรตัวนี้ออกมา !!!” ตาคมกริบบอกเสียงเข้ม อ้าว ตัวนี้ไม่ใช่สัตว์สำหรับประลองหรอกหรือ
“เจ้าทำดีมาก” เขาหันมาพูดกับข้าแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ
“เรื่องที่กล่าวเมื่อกี้…”
“เรามีเรื่องต้องคุยกันแล้วแม่นาง” สายตาเคร่งเครียดเอ่ยบอก แถมยังเรียก ‘แม่นาง’ ไม่ใช่ ‘สาวน้อย’ อย่างเคย นั่นทำให้ข้าพอจะเดาได้ว่าเขาเริ่มจริงจังแล้ว
“แล้วสัตว์อสูรตัวนี้ล่ะ” ข้ามองมัน ซึ่งมันก็เหมือนจะรู้ว่าข้าคิดอันใดจึงส่งสายตาออดอ้อนมาให้
หงิง หงิง
“ให้มันไปพักก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน”
“สัตว์อสูรตัวนี้ไม่ใช่สัตว์สำหรับประลอง มันดุร้ายกว่ามาก” เขาเอ่ยบอกทันทีหลังจากเรามานั่งห้องด้านใน ในห้องมีเพียงเขาและนางสองคน ข้านึกภาพตามสัตว์ดุร้ายที่ว่านั้นก่อนหน้านี้มันหมอบอยู่ตรงเท้าให้ลูบขนนุ่มๆมันเล่นอย่างสบายใจ
ดุร้ายตรงไหน ? แค่คิดแต่ไม่ได้เอ่ยออกไป
“นั่นทำให้ข้าแปลกใจ ทำไมอสูรนักล่าอย่างมันถึงยอมจำนนต่อเจ้า” เขาพูดต่อ
“ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“แต่ตอนนี้ข้าสงสัยยิ่งกว่าเจ้าได้สร้างศัตรูที่ใดหรือไม่”
“ข้าพึ่งขึ้น เอ่อ ข้าเข้ามาเมืองนี้เพียงแค่วันเดียว ไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหน…” นางคิดตามที่พูด เว้นเสียแต่…
“หรือว่า…”
“หรือว่าอันใด”
“ข้าไปมีเรื่องกับคนผู้หนึ่งมาเจ้าค่ะ” นางพูดก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ยกเว้นเรื่องที่นางใช้ดาบรับการโจมตีของข้ารับใช้ชายผู้นั้น
“เจ้าจะบอกว่าผู้ที่เจ้ามีเรื่องคือคุณชายเฉิน ” เขาเลิกคิ้วถาม
“คุณชายเฉิน?”
“ก็จากที่เจ้าเล่าผู้ที่มีนิสัยเช่นนั้นเห็นทีจะมีแต่ เฉินจินเทียน ผู้นั้น”
“เขาแค้นข้าถึงขนาดปล่อยสัตว์อสูรตัวที่ดุร้ายกว่ามาเพื่อทำร้ายข้าเลยหรือ” เอ่ยสรุปหลังพอจับใจความได้
“ข้าก็ไม่แน่ใจ จากนิสัยของคุณชายเฉินถึงแม้จะอันธพาลแต่ข้าก็ไม่เคยเห็นเขารังแกผู้ใดลับหลังเช่นนี้”
“แล้วจะเป็นผู้ใดเล่า” เอาตามจริงข้าหาได้โกรธเคืองผู้ที่ทำแบบนี้แล้วล่ะ โกรธไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น แก้แค้นหรือก็ไม่ใช่ทางและข้าก็ยังไม่ได้บาดเจ็บอันใด
“หากเป็นอีกผู้หนึ่งก็ไม่แน่” ชายชุดเหลืองพูดเป็นปริศนา
อีกด้าน
“หึๆ เยือนแคว้นเฟิงครานี้เห็นทีมิเปล่าประโยชน์ เจ้าว่าหรือไม่เฟยหลง” สุรเสียงหนึ่งบนลานประลองเอ่ยขึ้นหลังจากการต่อสู้ได้จบลง เขาไม่เคยเห็นการต่อสู้ของแคว้นใดที่สัตว์อสูรยอมสยบให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งที่ยังมิได้ต่อสู้ นับว่าหญิงผู้นั้นน่าสนใจทีเดียว
“พะย่ะค่ะ” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นเรียบๆ เขาไม่สนใจการต่อสู้นี้อยู่แล้ว ที่มาก็เพื่อสอดส่องแคว้นใกล้เคียงหลังจากผลัดเปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ แต่ชายผู้รักสนุกด้านข้างกลับลากเขามาชมการต่อสู้ มันก็เหมือนๆกันหมดหากแต่หญิงภายใต้ผ้าคลุมผู้นี้แตกต่าง…
“คิดอันใดอยู่ อย่าบอกนะว่าสนใจสาวน้อยผ้าคลุมนั่น” ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าหลางเอ่ยหยอกเย้าผู้ที่เป็นเหมือนสหายและควบตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้น
“กระหม่อมมิสนผู้ใดนอกจากเหมยฟาง” เสียงทุ้มเอ่ยหนักแน่น เหมยฟางที่ว่าคือคู่หมั้นของตนที่กำลังหมั้นหมายกันในอีกมิช้า
“หึๆ เจิ้นจะรอดู”
“ช้าก่อน”
“มีอะไรหรือสาวน้อย” เฟิงหวง เป็นชายในชุดเหลืองผู้นั้น ดูแล้วเขาน่าจะอายุเยอะกว่าข้าสัก 2-3 ปี อายุข้าก็อาจประมาณ 18 ปีของโลกมนุษย์ เขาบอกว่าอยากรับผิดชอบที่ปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น อีกอย่างนี่เป็นชื่อเสียงของหอสุขสรรค์ที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยผิดพลาด ทั้งที่ข้าปฏิเสธไม่ติดใจเอาความอันใดแต่เขากลับยืนยันจะหาตัวผู้ก่อเหตุมาให้ได้
“ชายชาวยุทธที่แขนขาดผู้นั้นอยู่ไหนหรือ” หันซ้ายขวาเมื่อเดินออกมาจากห้องไม่พบชายผู้นั้นเลย นางรู้สึกตงิดใจบางอย่างกับคนผู้นั้น
“หืมม เจ้าสนใจ?” เขาเลิกคิ้วถาม
“ข้าแค่มีเรื่องอยากคุยกับเขา”
ตอนพิเศษ 33 ปีผ่านไป“พี่ชาย รอข้าด้วย!” อู่ชิงตะโกนเรียกพี่ชายที่ใช้วิชาตัวเบาดีดตัวไปตรงนั้นที ตรงนี้ที ไม่รอเขาสักนิด“ข้าบอกแล้วว่าอย่ากินเยอะ” อู่หลงเหล่ตามองน้องชายหอบแฮ่กๆ“ฮึย ใครให้พ่อครัวทำขนมอร่อยกันเล่า!”“รีบเถิด ประเดี๋ยวพี่สาวซือเป่าและพี่ชายหลิงหยุนตามเราทัน” อู่หลงพูดถึงซือเป่า สัตว์อสูรของท่านแม่ที่บัดนี้สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว กับหลิงหยุนจ่าฝูงหมาป่าคู่พันธะของนาง ตอนนี้พวกเรากำลังเล่นวิ่งไล่จับกันอยู่ โดยสถานที่ย่อมเป็นป่าของจริงนอกเมืองอยู่แล้ว ใครจะเล่นแบบเด็กๆกัน“แฮ่ก พี่ชายข้าจา อุ้บ อ้วกกกก” หน้าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กขมวดคิ้วมองน้องชายอาเจียนเอาเป็นเอาตาย เจ้าเด็กนี่รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องออกมาด้านนอก ยังเห็นแก่กินมาจนเต็มท้อง“แฮ่กๆ…”“ดีขึ้นหรือไม่” แม้คนพี่จะเย็นชา แต่ก็เป็นห่วงน้องชายไม่น้อย“อื้อ ไปกันต่อเถอะ” อู่ชิงเช็ดปากไม่ใส่ใจ แม้จะเสียดายขนมที่พึ่งกินก็ตาม จากนั้นทั้งคู่ก็ดีดตัวใช้วิชาตัวเบาที่พ่อพร่ำสอนเ
ตอนพิเศษ 2บุตรชายตัวแสบ แม้หน้าตาของบุตรทั้งสองจะเหมือนกัน แต่นิสัยกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อู่หลงคนโตจะเป็นเด็กเงียบขรึม ชอบสังเกตคล้ายกำลังคิด วิเคราะห์อยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งนี้ดีหรือไม่ดีแล้วค่อยทำ อีกทั้งยังมากแผนการ เล่นเอาเขาหัวหมุนสุดก็คนพี่นี่แหล่ะ เพราะเดาใจไม่ออก รับมือได้ยาก ส่วนอู่ชิงคนน้องจะเป็นคนตรงๆ หิวก็ร้อง อยากให้พ่ออุ้มก็ร้องถึงขนาดเคยร้องดีดดิ้นเพราะแย่งนมแม่กับพี่ชายก็เคยมาแล้ว จนจิวฮวาต้องให้บุตรชายทั้งสองกินคนละเต้า เขาสงสารจิวฮวายิ่งนักต้องรับมือกับตัวแสบทั้งสอง นึกสัญญากับตัวเองในใจว่าจะช่วยนางเลี้ยงลูกๆให้ดี และเพราะทั้งคู่แตกต่างกันเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อแม่ต้องปรับตัวให้ดี แต่โชคยังดีพวกเขาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายง่ายกับผีนะซิ ตีกันอีกแล้ว“ปะ!” อู่หลงคนพี่ร้องเรียกคนเป็นพ่อคล้ายจะฟ้องว่าน้องทำตัวเกเร“แอะ!” ส่วนคนน้องก็ดีดดิ้น จนเท้าอวบไปโดนคนพี่เพราะอึ
ตอนพิเศษ 1สิ่งสำคัญ“ฮึก แงงง ปะ ปะ”“พ่อมาแล้วอู่ชิง เป็นอะไร หืม” เสียงร้องลั่นของบุตรชายวัยเกือบหนึ่งขวบดังขึ้น คนเป็นพ่อรีบรุดมาดูบุตรชายแทบจะทันที ส่วนภรรยาของเขาดูโรงเตี๊ยมอยู่ นี่ก็ผ่านมาเกือบปีแล้วตั้งแต่วันที่บุตรชายทั้งสองคลอดออกมา ท่านพ่อท่านแม่ของเขาแวะมาดูหน้าหลานชายตั้งแต่เด็กๆพึ่งคลอดได้ไม่กี่วัน พร้อมของรับขวัญหลานอีกมากมาย จนไม่มีที่เก็บ หลักๆก็เป็นพวกหีบทองคำ เพชรนิลจินดา และโฉนดที่ดิน มากมายเสียจนท่านพ่อตากับจิวฮวาทำหน้าลำบากใจ ปู่กับย่าของเด็กๆมาที่แคว้นเฟิงแห่งนี้ร่วมเดือน แต่ด้วยงานที่ต้องสะสางจึงไม่อาจทิ้งจวนมานานกว่านี้ได้กว่าจะทำใจจากหลานชายที่นับวันยิ่งตัวอวบอ้วน เล่นเอาเขากับจิวฮวาถึงกับต้องเอ่ยรับปากว่าจะพาบุตรชายไปเยี่ยมพวกท่านบ่อยๆ นี่ก็ไปพึ่งกลับมา ส่วนใหญ่จะไปเดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้ง เดิมทีท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาพูดคุยถึงเรื่องแต่งงานกับท่านพ่อตาไปบ้างแล้ว ทว่าท่านพ่อตากลับบอกว่าขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจิวฮวา ซึ่งนางก็บอกว่ายังไม่พร้อมเพราะเด็กๆย
ลิขิตรัก 49บทส่งท้ายจิวฮวา...นางยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ ดวงตาของนางยังคงงดงาม ทว่าภายในกลับมีความเหนื่อยล้าแฝงอยู่ ร่างบางที่เคยคุ้นบัดนี้ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ท้องของนางใหญ่ขึ้นมากจนน่าใจหาย ภายในนั้นมีบุตรสาวหรือชายของเขาหลับใหลอยู่จิวฮวาเองก็ชะงักค้างไปเช่นกัน นางไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับเขาอีกครั้งเร็วขนาดนี้ ความรู้สึกหลายอย่างตีตื้นขึ้นมาในอก ทั้งดีใจ ตกใจ สับสน และ...เจ็บปวด มือบางกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ความเงียบเข้าครอบงำทั้งสองครู่หนึ่ง“เจ้า...” เฟยหลงเอ่ยเสียงแหบพร่า “ข้า...ข้าในที่สุดก็พบเจ้าแล้ว”“นะ นายหญิง...” หลินจูมองทั้งสองด้วยแววตาสับสน จิวฮวากะพริบตาช้าๆ หัวใจเต้นแรง แม้พยายามห้ามมันแล้วก็ตาม“ท่านมาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงของนางราบเรียบ ไม่ได้อธิบายหรือตอบสิ่งใดกับสาวใช้ตัวน้อย พยายามไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา เฟยหลงก้าวเข้ามาใกล้ นัยน์ตาของเขามีทั้งความอ่อนโยนและความเจ็บปวด“ข้าตามหาเจ้า ตามหามาตลอดหลายเดือน” จิวฮวายังคงนิ่ง ทว่ามือที่ก
ลิขิตรัก 48ปลายทางหัวใจ “เอาล่ะ ข้าจะขอแนะนำใครบางคน” เฟิงหวงประกาศเสียงดัง วันนี้เป็นวันแรกที่จิวฮวาได้เข้ามาสอนเหล่าผู้คุ้มกัน เบื้องหน้าเป็นชายที่มีอายุในช่วง 18-50 ปี ทุกคนต่างมองหญิงสาวหนึ่งเดียวในสนามฝึกด้วยสายตาแตกต่างกันไป“ทักทายทุกคน ข้าจิวฮวา ต่อไปนี้จะเป็นผู้ฝึกให้พวกท่าน หวังว่าจะไม่มีใครดูถูกข้าที่เป็นเพียงสตรีแถมยังตั้งครรภ์เช่นนี้”“เอ่อ ข้าขอภัยที่ถาม จะไม่เป็นอันตรายหรือขอรับ” หน่วยกล้าตายคนหนึ่ง เขาเป็นชายวัยกลางคนที่กล้ายกมือถาม สายตาเขามีความลังเล ไม่มั่นใจ จิวฮวายิ้มมุมปากภายใต้ผ้าคลุม น้ำเสียงตอบกลับไม่ได้เต็มไปด้วยความไม่ชอบใจแต่อย่างใดที่โดนถามเช่นนี้“ขอบคุณที่เป็นห่วง พอดีบุตรชายข้าแข็งแรงยิ่งนัก แค่การขยับร่างกายนิดหน่อยไม่ทำให้เป็นอันตรายหรอก” จิวฮวากล่าวน้ำเสียงจริงจังเลียนแบบคำพูดบุตรชายที่กล่าวว่าพวกเขาแข็งแรง ซึ่งนางเชื่อว่าเขาแข็งแรงดั่งที่พูดจริงๆ บุตรชายที่มีสายเลือดปีศาจราชวงศ์ จะอ่อนแอได้อย่างไร พอนางพูดจบภายในครรภ์รู้สึกถึงการเต้นตึก
ลิขิตรัก 47ตามหา3 เดือนผ่านไปแคว้นเฟิงภายในโรงเตี๊ยมที่กลายเป็นที่โด่งดัง หญิงสาวร่างบาง แม้อายุครรภ์จะน้อยแต่ท้องกลับป่องอย่างเห็นได้ชัดนั่งอยู่หลังโต๊ะด้านใน จิวฮวากำลังอ่านสรุปของที่หมดไปและต้องซื้อเข้ามาของโรงเตี๊ยม ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ นางพยายามทำตนให้ยุ่งเข้าไว้เพื่อไม่ให้จิตใจหวนนึกถึงใครบางคน“นายหญิง คุณชายเฉินมาขอพบขอรับ” ฮุ่ยเฉินที่เปลี่ยนคำเรียกมาเป็นนายหญิงเอ่ยบอกร่างที่ง่วนอยู่กับเอกสารในมือ โรงเตี๊ยมมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างมหาศาล ทั้งมาเข้าพัก ดื่มด่ำกับอาหารและเลือกซื้อของฝาก ทุกคนทำงานกันแทบไม่พัก แต่ไม่มีใครบ่นเลยสักคน กลับกันต่างรู้สึกดีใจ เนื่องจากนายหญิงได้ให้สิ่งที่เรียกว่าโบนัสตามผลประกอบการ ยิ่งมีลูกค้ามากเท่าไหร่ นั่นทำให้ทุกคนดีใจขึ้นมากเท่านั้น เพราะนั่นหมายถึงรายได้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วยช่วงนี้อิงหลิวต้องดูบัญชีของร้านอย่างเต็มตัว นายหญิงได้เลื่อนขั้นให้อิงหลิวเป็นผู้จัดการบัญชี เขาเป็นผู้จัดการร้าน โดยมีเหล่าเด็กๆทั้งสามคอยช่วยเห







