LOGINลิขิตรัก 8
เทพเซียน
ยามจื่อ (23.00 - 24.59 น.)
“ฝั่งนั้นมีกี่ตัว” ข้าสวมชุดสีดำทะมัดทะแมง พร้อมผ้าคาดผืนบาง เหลือเฉพาะดวงตา มองไปมาเหมือนนักฆ่าไม่มีผิด
“2 ตัวขอรับ” ฮุ่ยเฉินที่แต่งตัวไม่ต่างจากข้าเอ่ยบอก ตอนนี้บาดแผลเขาสมานกันดีแล้ว เหลือเพียงรอยขีดข่วนจากกรงเล็บที่แขนนั่นนิดหน่อย พละกำลังก็เหมือนจะฟื้นตัวแล้วด้วย ข้าคงลืมบอกอีกอย่างสินะ เลือดของข้าหน่ะ นอกจากจะรักษาบาดแผลแล้วยังฟื้นฟูพลังตบะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ เพราะข้าเกลียดความวุ่นวาย
“จัดการ” ข้าบอกเขาเสียงเรียบก่อนที่ตัวเองจะปรี่ตัวเข้าไปจัดการอีกฝั่งที่มี 5 ตัว ลักษณะของมันแตกต่างจากซือเป่าลิบลับ เหมือนสัตว์อสูรกายมากกว่าเป็นสัตว์อสูร มันมองมาอย่างหิวโหยแต่ก่อนที่มันจะกระโจนใส่ ข้าชิงเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาก่อนจะฟันไปที่ลำตัวของมันจนเลือดสีดำคล้ำสาดกระเด็นเปื้อนชุดข้าและนี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เลือกหยิบชุดสีนี้มาใส่
ตัวแล้วตัวเล่าที่ข้าฟาดฟันใส่มัน เสมือนกำลังเริงระบำเพลิงดาบ ท่ามกลางซากศพ ดวงตาข้าไร้ความปราณี ไร้ซึ่งแสงใดๆมีเพียงความมืดมิดจากแสงรัตติกาล แต่ตอนที่ข้ากำลังฟาดฟันตัวสุดท้ายกลับมีอีกตัวไม่รู้มาจากไหนโผล่ด้านหลัง มันหมายจะจู่โจมฉีกรั้งร่างกายข้า
ทว่ากลับโดนซือเป่าน้อยซึ่งบัดนี้ไม่น้อยกำลังใช้กรงเล็บฉีกร่างมันแทน ข้ารู้อยู่แล้วแหล่ะว่าต้องเป็นเช่นนี้
หึ แอบตามมาสินะเจ้าหมาน้อย
“อะ อุ้บบบบ” ข้ายกมือปิดปากเด็กชายผอมแห้งที่สูงประมาณอก ทำตัวลับๆล่อๆและกำลังจะส่งเสียงร้อง
“ชู่วว คนอื่นอยู่ไหน” ทำเสียงเพื่อบ่งบอกไม่ให้ส่งเสียงใดๆให้สัตว์อสูรมันแห่มา
“ตะ ตรงนั้นขอรับ” เด็กนั่นพูดเสียงสั่นก่อนจะชี้ไปตรงบ้านเล็กๆหลังนึง
“แล้วเจ้าออกมาทำไม”
“สัตว์อสูรมันวนเวียนรอบๆ ข้าเลยจะไปตามคนมาช่วย” เจ้าเด็กนี่พูดอย่างกล้าหาร แม้นดวงตาจะเต็มไปด้วยความกลัว แข้งขาจะสั่นแต่กลับเลือกที่จะทำอะไรมากกว่านั่งรอให้ผู้อื่นมาช่วย
“แล้วทำไมออกมาคนเดียว” ข้ายังซักถามเนื่องจากมองไปตอนนี้ก็ยังเห็นพวกมันเดินวนเวียนแถวนั้นอย่างเจ้าเด็กตัวเล็กนี่พูด จะออกไปช่วยตอนนี้ก็เกรงว่าพวกมันจะแห่มามากเกินไปจนทำให้คนในนั้นพลอยโดนลูกหลงไปด้วย
“ข้าบอกให้น้องๆ ดูแลคนอื่นๆ ก่อนที่ข้าจะออกมาคนเดียวขอรับ” เด็กนี่คงไม่อยากให้เด็กคนอื่นได้รับอันตราย ถึงได้เอาตัวเองมาเสี่ยงคนเดียว ทั้งๆที่ดึกป่านนี้ไม่รู้จะพบผู้คนหรือไม่ นับเป็นการเดิมพันชีวิตเลยก็ว่าได้
อยากถามฮุ่ยเฉินจริงๆว่าเลี้ยงดูเจ้าเด็กพวกนี้มาอย่างไรถึงได้กล้าหารและเสียสละเช่นนี้
“เอาล่ะ ข้ามาเพื่อช่วยพวกเจ้า กลับไปบอกผู้คนข้างในว่าหากมีเสียงอันใดห้ามออกมาเป็นอันขาด !”
“เอ่อ ขะ ขอรับ ตะ แต่…”
“แต่อันใด?”
“พี่ฮุ่ยเฉินออกไปตามคนมาช่วยตั้งแต่พลบค่ำ เขาจะปลอดภัยดีหรือไม่ขอรับ” เด็กชายตัวน้อยถามด้วยสายตาเป็นห่วงขณะเดียวกันก็มองตาแป๋วเพื่อรอคำตอบอย่างมีความหวัง
“อืม ปลอดภัยดี”
“ท่านพี่ จิงหลี่กลัว ฮื่อๆ” เด็กอายุ 9 หนาว ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ชุดเก่าๆกลายเป็นสีดำจากเลือดที่สาดกระเด็นใส่ ภายในบ้านเล็กๆหลังนี้เต็มไปด้วยกลิ่นคราวเลือดจนน่าสะอิดสะเอือนแทบหายไม่ออก
ใครก็ได้ช่วยด้วย
นางเห็นสัตว์อสูรพวกนั้นฉีกร่างเพื่อนๆและกินคนในหมู่บ้านของนางต่อหน้าต่อตา สัตว์อสูรตัวใหญ่ หน้าตาน่ากลัว พวกมันกินคนจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก คิดมาถึงร่างเล็กๆที่ผอมแห้งเนื่องจากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอก็สั่นไปด้วยความกลัว
“ใจเย็นๆ หลี่เอ๋อร์ พี่ใหญ่และพี่ฮุ่ยเฉินต้องตามคนมาช่วยเราได้แน่” ร่างเด็กชายซึ่งอายุเยอะกว่าประมาณ 2-3 ปีเอ่ยปลอบ เขาก็กลัวไม่ต่างจากจิงหลี่ แต่ด้วยอายุที่เยอะกว่า เขาต้องเป็นที่พึ่งให้เด็กคนอื่น
ซึ่งพวกเขาทุกคนล้วนเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ ตั้งแต่จำความก็ได้คนในหมู่บ้านและพี่ฮุ่ยเฉินช่วยเลี้ยงดู ถึงแม้พี่ฮุ่ยเฉินและผู้อาวุโสไม่เคยบอกเกี่ยวกับท่านพ่อท่านแม่ พวกเด็กทุกคนก็พอเดาออก พลางมองออกไปทางช่องเล็กๆ เห็นสัตว์อสูรยังเดินวนเวียนอยู่
อยากแก้แค้นให้ท่านพ่อ ท่านแม่และคนในหมู่บ้านยิ่งนัก แต่ข้ามันอ่อนแอเกินไป เด็กชายคิดอย่างเศร้าใจ
แต่เดี๋ยวนะ นั่นอะไรหน่ะ !
จู่ๆ สายตาพลันมองเห็นภาพตรงหน้าจากช่องไม้เล็กๆ ปรากฏร่างนิรนามผู้หนึ่งสวมชุดดำปิดหน้าตา เคลื่อนย้ายว่องไวกำลังฆ่าสัตว์อสูรทีละตัว คล้ายเทพเซียนร่ายรำอย่างที่พี่ฮุ่ยเฉินเคยเล่านิทานให้ฟัง ใจเด็กชายสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้น
“ทุกคนมีคนช่วยเราแล้ว !!” แต่แล้วเสียงของเด็กชายที่พวกเขาเรียกว่าพี่ใหญ่พลันดังขึ้น
“พี่ใหญ่กลับมาหาหลี่เอ๋อร์แล้ว !!!” เสียงแหลมเล็กที่สั่นกลัวในคราแรกร้องขึ้น พร้อมวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย
“พี่สาวผู้นั้นบอกว่าหากได้ยินเสียงอันใดห้ามออกไปเด็ดขาด” เด็กชายผู้ถูกเรียกกอดผู้เป็นน้องพร้อมเอ่ยบอกเกือบยี่สิบชีวิตที่เบียดเสียดกันอยู่ในบ้านเก่า ถึงจะสงสัยแต่สายตาทุกคนกลับมามีความหวังอีกครั้ง
อะ อึก ร่างกายมนุษย์มีขีดจำกัด ข้าบ่นในใจ อ่อนล้าเต็มทน แต่พอเหลือบมองไปยังบ้านไม้ที่มีมากกว่าสิบชีวิตอยู่ในนั้น มันทำให้ข้ายอมแพ้ไม่ได้
ฮุ่ยเฉินถึงไหนแล้วนะ ฮุ่ยเฉินยังไม่รู้ว่าข้ารุดหน้ามาก่อน ข้าจึงให้ซือเป่าไปพาเขามาเนื่องจากพวกเราแยกกันคนล่ะทาง
โฮกกกกก !!
“ดูเหมือนจะแห่กันมาอีกสินะ” ฟันร่างพวกมันตัวแล้วตัวเล่าจนมิอาจนับได้ เลือดมากมายสาดกระเด็นโดนตัวจนน่าขยะแขยง กลิ่นคาวเลือดก็รุนแรงจนน่าแทบอาเจียน
ยังมิจบอีกหรือ…
วูบบบบ !
จู่ๆ รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่อยู่ตรงไหนสักแห่งกำลังมองมา ข้าหันไปมองทางทิศทางที่สัมผัสได้ มิตรหรือศัตรูกันนะ
แควกกก
“อะ อึก” ด้วยความใจลอยทำให้โดนกรงเล็บแหลมคมของสัตว์อสูรตัวหนึ่งเข้าบริเวณแขนขวา จิวฮวาลองเพ่งสมาธิไปที่บาดแผลเพื่อไม่ให้เสียเลือกมากเกินไป ไม่นานแผลที่หากเป็นคนปกติเลือดต้องไหลออกมา กลับค่อยๆสมานเป็นปกติเสมือนมิมีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร เล่นเอาเสียพลังไปไม่น้อย
ฉับ !
“ขอโทษขอรับแม่นางที่ข้ามาช้า !” ข้าต่อสู้ตัวแล้วตัวเล่าจนกระทั่งเหลือเพียงมิกี่ตัว ฮุ่ยเฉินและซือเป่าเข้ามาพอดีและร่วมสู้กับข้า ร่างกายโผล่พ้นจากชุดของฮุ่ยเฉินมีรอยกรงเล็บปะปราย และแผลเก่าที่มีเลือดไหลซึมออกมาจากการใช้พละกำลัง แต่เขากลับยืนหยัดต่อสู้ไม่ถอย
“มิเป็นไรเจ้าจัดการตัวที่เหลือ ข้าจะไปช่วยคนที่อยู่ในนั้น” ข้าบอกเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปส่งสายตาให้ซือเป่าอยู่ที่นี่คอยช่วยเหลือเขา
“ขอรับ”
ตึก ตึก
“พวกเจ้ามิมีใครเป็นอันใดใช่หรือไม่” ข้าเดินเข้ามาภายในเป็นที่แคบ ด้านในมีคนประมาณ 20 คน นั่งขดกันเป็นกลุ่มๆ เสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวมีรอยแผลแต่เท่าที่สังเกตไม่มีผู้ใดอาการสาหัส ข้ามองดูพวกเขาอย่างเศร้าใจ เด็กอายุเพียงเท่านี้และผู้สูงวัยเพียง 2-3 คน ต้องมาเผชิญเรื่องที่โหดร้ายแทบเอาชีวิตไม่รอด อีกทั้งไม่รู้ว่าอัดกันได้อย่างไรในบ้านเล็กๆแห่งนี้ แต่พอมองไปรอบๆที่ส่วนใหญ่ผู้รอดชีวิตเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ร่างกายผอมโซที่อายุยังไม่ถึง 15 หนาวเลยเข้าใจ
“แม่นางมาช่วยพวกเรารึ” เสียงสั่นๆเนื่องจากยังหวาดกลัวโพล่งขึ้น ดูแล้วน่าจะอาวุโสสุด
“เจ้าค่ะท่านตา แต่อันที่จริงฮุ่ยเฉินเป็นคนขอร้องข้า”
“พี่ฮุ่ยเฉิน !!!” เมื่อเด็กๆได้ยินชื่อพี่ชายจึงร้องออกมาด้วยความดีใจ
“เอาล่ะทุกคน ยังลุกกันไหวหรือไม่” ข้าเอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงที่ดังแซ่ของพวกเด็กๆ
“พวกข้ายังไหวกันขอรับพี่สาว” เด็กที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่เอ่ยตอบแทนทุกคน ข้าสำรวจรอบๆเมื่อเห็นทุกคนยังพอเดินได้ จึงเบาใจไปเปราะหนึ่ง
“งั้นตามข้ามา”
โฮกกกกกกก !
“พี่ใหญ่หลี่เอ๋อร์กลัว” เด็กตัวน้อยจูงมือผู้ที่ถูกเรียกพลางเอ่ยบอกอย่างกลัวๆเมื่อได้ยินเสียงร้องของสัตว์อสูร ดวงหน้าน่ารักทว่ามอมแมมมีน้ำตาคลออย่างน่าสงสาร
“จุ๊ๆ ใจเย็นๆ พี่ฮุ่ยเฉินและพี่สาวต้องปกป้องเราได้แน่” เด็กชายปลอบน้องสาวจนข้าอดเอ็นดูมิได้ ฮุ่ยเฉินเคยเล่าว่าเด็กพวกนี้ไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือด แต่สิ่งที่ข้าเห็นกลับเป็นความรักของพี่น้องที่ผูกพันยิ่งกว่าสายเลือด
“แม่นางเราควรรีบออกไป ก่อนที่พวกมันจะแห่กันมามากขึ้น” ข้าที่กำลังพาทุกคนทยอยออกจากที่ซ่อนทางด้านหลัง ฮุ่ยเฉินก็วิ่งเข้ามาเอ่ยอย่างรีบร้อน เนื้อตัวเขาเปราะเปื้อนไปด้วยเลือดของสัตว์อสูรด้านหลังมีซือเป่าที่ปกติมักมีขนยาวสะอาด บัดนี้ชโลมไปด้วยเลือด สภาพไม่ต่างกันตามมาติดๆ
“พี่ฮุ่ยเฉิน…” เด็กตัวเล็กแก้มป่องที่แทนตัวเองว่าหลี่เออร์ร้องออกมาอย่างดีใจที่เห็นพี่ชาย แถมยังไม่กลัวเลือดผิดกับเมื่อกี้ สงสัยเด็กน้อยคงหลงดีใจจนลืมนึกถึงสภาพของฮุ่ยเฉินไปแล้วล่ะมั้ง
“เยอะเลยหรือ” ข้าถามสีหน้าเต็มไปด้วยความเครียดขึ้นมาทันควัน
“ข้าจัดการกับตัวสุดท้ายเมื่อกี้ แฮ่ก จู่ๆมันคำรามเสียงลั่นก่อนจะตาย ข้าเดาว่าไม่นานพวกมันต้องแห่ตามเสียงร้องมาแน่” เสียงเหนื่อยหอบเอ่ยออกมาพร้อมคาดเดาสถานการณ์
“งั้นเจ้าพาทุกคนไป ข้าจะล่อพวกมันไปอีกทางเอง” ข้ามองสภาพของฮุ่ยเฉิยที่ร่างกายพึ่งจะฟื้นตัวและตอนนี้ดูเหมือนเขาจะอ่อนล้าเต็มทน ก่อนจะตัดสินใจรับหน้าที่เสี่ยงตายนี้เอง
“ข้าขอปฏิเสธ ข้าจะเป็นคนไปล่อพวกมันเอง” จู่ๆฮุ่ยเฉินที่มักจะทำตามคำสั่งข้ากลับขัดขืนขึ้นทันที
“เจ้าจะไปในสภาพนี้หรือ เจ้ามองดูเด็กพวกนั้นสิ พวกเขารอกลับไปพร้อมเจ้าอยู่นะ” เกลี้ยกล่อมเขาพร้อมมองไปที่เด็กตัวเล็กๆที่ส่งสายตาเหมือนรอคอยพี่ชายแสนดีกลับไปพร้อมกันอยู่
“แต่ว่า…”
“เจ้าอย่าได้ลังเล นี่คือการตัดสินใจของข้า มิต้องกังวล” บอกเสียงราบเรียบทว่าแฝงไปด้วยความกดดันผ่านสายตา
“เจ้าด้วยซือเป่า คุ้มกันพวกเขา !” ข้าเอ่ยสั่งเจ้าสัตว์อสูรที่กำลังร้องประท้วงหงิงๆอยู่ด้านหลังฮุ่ยเฉิน ซึ่งบัดนี้มันย่อขนาดตัวลงมาเท่าลูกสุนัขเพื่อไม่ให้คนอื่นตกใจแต่จะน่ารักน่าเอ็นดูกว่านี้ ถ้าไม่มีเลือดสีดำคล้ำเปื้อนขนสวยๆของมัน
“สักวันข้าจะต้องตอบแทนท่านให้จงได้ !!” เขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจบอกกับข้าด้วยสายตาแน่วแน่ อยากบอกเหลือเกินว่าไม่ต้องทำสายตาเหมือนข้าเป็นนางฟ้านางสวรรค์หรอก ที่ข้าช่วยเพราะข้าอยากช่วย ไม่ต้องการให้ใครมาทนแทนคุณ คิดในใจก่อนจะมุ่งหน้าไปทางป่าลึกที่ที่มีกลิ่นสาปคละคลุ้งจนน่าสะอิดสะเอียนและถ้าข้าเดาไม่ผิดที่แห่งนั้นเป็นอาณาเขตติดกับแคว้นต้าซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่สุด
ตอนพิเศษ 33 ปีผ่านไป“พี่ชาย รอข้าด้วย!” อู่ชิงตะโกนเรียกพี่ชายที่ใช้วิชาตัวเบาดีดตัวไปตรงนั้นที ตรงนี้ที ไม่รอเขาสักนิด“ข้าบอกแล้วว่าอย่ากินเยอะ” อู่หลงเหล่ตามองน้องชายหอบแฮ่กๆ“ฮึย ใครให้พ่อครัวทำขนมอร่อยกันเล่า!”“รีบเถิด ประเดี๋ยวพี่สาวซือเป่าและพี่ชายหลิงหยุนตามเราทัน” อู่หลงพูดถึงซือเป่า สัตว์อสูรของท่านแม่ที่บัดนี้สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว กับหลิงหยุนจ่าฝูงหมาป่าคู่พันธะของนาง ตอนนี้พวกเรากำลังเล่นวิ่งไล่จับกันอยู่ โดยสถานที่ย่อมเป็นป่าของจริงนอกเมืองอยู่แล้ว ใครจะเล่นแบบเด็กๆกัน“แฮ่ก พี่ชายข้าจา อุ้บ อ้วกกกก” หน้าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กขมวดคิ้วมองน้องชายอาเจียนเอาเป็นเอาตาย เจ้าเด็กนี่รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องออกมาด้านนอก ยังเห็นแก่กินมาจนเต็มท้อง“แฮ่กๆ…”“ดีขึ้นหรือไม่” แม้คนพี่จะเย็นชา แต่ก็เป็นห่วงน้องชายไม่น้อย“อื้อ ไปกันต่อเถอะ” อู่ชิงเช็ดปากไม่ใส่ใจ แม้จะเสียดายขนมที่พึ่งกินก็ตาม จากนั้นทั้งคู่ก็ดีดตัวใช้วิชาตัวเบาที่พ่อพร่ำสอนเ
ตอนพิเศษ 2บุตรชายตัวแสบ แม้หน้าตาของบุตรทั้งสองจะเหมือนกัน แต่นิสัยกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อู่หลงคนโตจะเป็นเด็กเงียบขรึม ชอบสังเกตคล้ายกำลังคิด วิเคราะห์อยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งนี้ดีหรือไม่ดีแล้วค่อยทำ อีกทั้งยังมากแผนการ เล่นเอาเขาหัวหมุนสุดก็คนพี่นี่แหล่ะ เพราะเดาใจไม่ออก รับมือได้ยาก ส่วนอู่ชิงคนน้องจะเป็นคนตรงๆ หิวก็ร้อง อยากให้พ่ออุ้มก็ร้องถึงขนาดเคยร้องดีดดิ้นเพราะแย่งนมแม่กับพี่ชายก็เคยมาแล้ว จนจิวฮวาต้องให้บุตรชายทั้งสองกินคนละเต้า เขาสงสารจิวฮวายิ่งนักต้องรับมือกับตัวแสบทั้งสอง นึกสัญญากับตัวเองในใจว่าจะช่วยนางเลี้ยงลูกๆให้ดี และเพราะทั้งคู่แตกต่างกันเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อแม่ต้องปรับตัวให้ดี แต่โชคยังดีพวกเขาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายง่ายกับผีนะซิ ตีกันอีกแล้ว“ปะ!” อู่หลงคนพี่ร้องเรียกคนเป็นพ่อคล้ายจะฟ้องว่าน้องทำตัวเกเร“แอะ!” ส่วนคนน้องก็ดีดดิ้น จนเท้าอวบไปโดนคนพี่เพราะอึ
ตอนพิเศษ 1สิ่งสำคัญ“ฮึก แงงง ปะ ปะ”“พ่อมาแล้วอู่ชิง เป็นอะไร หืม” เสียงร้องลั่นของบุตรชายวัยเกือบหนึ่งขวบดังขึ้น คนเป็นพ่อรีบรุดมาดูบุตรชายแทบจะทันที ส่วนภรรยาของเขาดูโรงเตี๊ยมอยู่ นี่ก็ผ่านมาเกือบปีแล้วตั้งแต่วันที่บุตรชายทั้งสองคลอดออกมา ท่านพ่อท่านแม่ของเขาแวะมาดูหน้าหลานชายตั้งแต่เด็กๆพึ่งคลอดได้ไม่กี่วัน พร้อมของรับขวัญหลานอีกมากมาย จนไม่มีที่เก็บ หลักๆก็เป็นพวกหีบทองคำ เพชรนิลจินดา และโฉนดที่ดิน มากมายเสียจนท่านพ่อตากับจิวฮวาทำหน้าลำบากใจ ปู่กับย่าของเด็กๆมาที่แคว้นเฟิงแห่งนี้ร่วมเดือน แต่ด้วยงานที่ต้องสะสางจึงไม่อาจทิ้งจวนมานานกว่านี้ได้กว่าจะทำใจจากหลานชายที่นับวันยิ่งตัวอวบอ้วน เล่นเอาเขากับจิวฮวาถึงกับต้องเอ่ยรับปากว่าจะพาบุตรชายไปเยี่ยมพวกท่านบ่อยๆ นี่ก็ไปพึ่งกลับมา ส่วนใหญ่จะไปเดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้ง เดิมทีท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาพูดคุยถึงเรื่องแต่งงานกับท่านพ่อตาไปบ้างแล้ว ทว่าท่านพ่อตากลับบอกว่าขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจิวฮวา ซึ่งนางก็บอกว่ายังไม่พร้อมเพราะเด็กๆย
ลิขิตรัก 49บทส่งท้ายจิวฮวา...นางยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ ดวงตาของนางยังคงงดงาม ทว่าภายในกลับมีความเหนื่อยล้าแฝงอยู่ ร่างบางที่เคยคุ้นบัดนี้ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ท้องของนางใหญ่ขึ้นมากจนน่าใจหาย ภายในนั้นมีบุตรสาวหรือชายของเขาหลับใหลอยู่จิวฮวาเองก็ชะงักค้างไปเช่นกัน นางไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับเขาอีกครั้งเร็วขนาดนี้ ความรู้สึกหลายอย่างตีตื้นขึ้นมาในอก ทั้งดีใจ ตกใจ สับสน และ...เจ็บปวด มือบางกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ความเงียบเข้าครอบงำทั้งสองครู่หนึ่ง“เจ้า...” เฟยหลงเอ่ยเสียงแหบพร่า “ข้า...ข้าในที่สุดก็พบเจ้าแล้ว”“นะ นายหญิง...” หลินจูมองทั้งสองด้วยแววตาสับสน จิวฮวากะพริบตาช้าๆ หัวใจเต้นแรง แม้พยายามห้ามมันแล้วก็ตาม“ท่านมาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงของนางราบเรียบ ไม่ได้อธิบายหรือตอบสิ่งใดกับสาวใช้ตัวน้อย พยายามไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา เฟยหลงก้าวเข้ามาใกล้ นัยน์ตาของเขามีทั้งความอ่อนโยนและความเจ็บปวด“ข้าตามหาเจ้า ตามหามาตลอดหลายเดือน” จิวฮวายังคงนิ่ง ทว่ามือที่ก
ลิขิตรัก 48ปลายทางหัวใจ “เอาล่ะ ข้าจะขอแนะนำใครบางคน” เฟิงหวงประกาศเสียงดัง วันนี้เป็นวันแรกที่จิวฮวาได้เข้ามาสอนเหล่าผู้คุ้มกัน เบื้องหน้าเป็นชายที่มีอายุในช่วง 18-50 ปี ทุกคนต่างมองหญิงสาวหนึ่งเดียวในสนามฝึกด้วยสายตาแตกต่างกันไป“ทักทายทุกคน ข้าจิวฮวา ต่อไปนี้จะเป็นผู้ฝึกให้พวกท่าน หวังว่าจะไม่มีใครดูถูกข้าที่เป็นเพียงสตรีแถมยังตั้งครรภ์เช่นนี้”“เอ่อ ข้าขอภัยที่ถาม จะไม่เป็นอันตรายหรือขอรับ” หน่วยกล้าตายคนหนึ่ง เขาเป็นชายวัยกลางคนที่กล้ายกมือถาม สายตาเขามีความลังเล ไม่มั่นใจ จิวฮวายิ้มมุมปากภายใต้ผ้าคลุม น้ำเสียงตอบกลับไม่ได้เต็มไปด้วยความไม่ชอบใจแต่อย่างใดที่โดนถามเช่นนี้“ขอบคุณที่เป็นห่วง พอดีบุตรชายข้าแข็งแรงยิ่งนัก แค่การขยับร่างกายนิดหน่อยไม่ทำให้เป็นอันตรายหรอก” จิวฮวากล่าวน้ำเสียงจริงจังเลียนแบบคำพูดบุตรชายที่กล่าวว่าพวกเขาแข็งแรง ซึ่งนางเชื่อว่าเขาแข็งแรงดั่งที่พูดจริงๆ บุตรชายที่มีสายเลือดปีศาจราชวงศ์ จะอ่อนแอได้อย่างไร พอนางพูดจบภายในครรภ์รู้สึกถึงการเต้นตึก
ลิขิตรัก 47ตามหา3 เดือนผ่านไปแคว้นเฟิงภายในโรงเตี๊ยมที่กลายเป็นที่โด่งดัง หญิงสาวร่างบาง แม้อายุครรภ์จะน้อยแต่ท้องกลับป่องอย่างเห็นได้ชัดนั่งอยู่หลังโต๊ะด้านใน จิวฮวากำลังอ่านสรุปของที่หมดไปและต้องซื้อเข้ามาของโรงเตี๊ยม ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ นางพยายามทำตนให้ยุ่งเข้าไว้เพื่อไม่ให้จิตใจหวนนึกถึงใครบางคน“นายหญิง คุณชายเฉินมาขอพบขอรับ” ฮุ่ยเฉินที่เปลี่ยนคำเรียกมาเป็นนายหญิงเอ่ยบอกร่างที่ง่วนอยู่กับเอกสารในมือ โรงเตี๊ยมมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างมหาศาล ทั้งมาเข้าพัก ดื่มด่ำกับอาหารและเลือกซื้อของฝาก ทุกคนทำงานกันแทบไม่พัก แต่ไม่มีใครบ่นเลยสักคน กลับกันต่างรู้สึกดีใจ เนื่องจากนายหญิงได้ให้สิ่งที่เรียกว่าโบนัสตามผลประกอบการ ยิ่งมีลูกค้ามากเท่าไหร่ นั่นทำให้ทุกคนดีใจขึ้นมากเท่านั้น เพราะนั่นหมายถึงรายได้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วยช่วงนี้อิงหลิวต้องดูบัญชีของร้านอย่างเต็มตัว นายหญิงได้เลื่อนขั้นให้อิงหลิวเป็นผู้จัดการบัญชี เขาเป็นผู้จัดการร้าน โดยมีเหล่าเด็กๆทั้งสามคอยช่วยเห







