เสายักษ์ปักตระหง่านท้าทายผู้กล้า สีของมันเข้มเช่นเดียวกันกับผิวส่วนอื่นไม่ผิดเพี้ยน ส่วนปลายโค้งงอเข้าหาสะดือจนเกือบจรดกัน
ทุกการเต้นเร่าของชีพจรในดุ้นแท่งเขื่องไหลผ่านเข้าไปยังแก้มเต่งตึงของเด็กหนุ่ม หลอดเลือดทุกเส้นสูบฉีดอย่างดุเดือดจนได้ยินเสียง เรื่องน่าประหลาดชวนหลงใหลนี้ถูกหลอมรวมเข้ากับความจริงจนเป็นเนื้อเดียวกัน
ลมหายใจระอุลูบไล้อย่างแผ่วเบากับท่อนเอ็นยักษ์ ที่ผงกหัวอยู่ระหว่างขาของชายร่างสูงใหญ่ กลิ่นหอมประหลาดลอยอบอวลเต็มห้องอันคับแคบ
เจ้าท่อนนั้นสั่นเทาเมื่ออาร์เต้เอามันถูไถเบาๆด้วยแก้มนุ่มนิ่ม ลมหายใจของทั้งไต่ระดับความรุนแรงขึ้นตามการแนบชิด
อาร์เต้เงยหน้าขึ้นมองเพื่อดูปฏิกิริยา สายตาของผู้นั่งอยู่เบื้องบนจ้องกลับมาด้วยความพึงพอใจ ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้รับความสนใจ
“นายรู้วิธีเล่นกับมันนี่” เสียงทุ้มลอดผ่านรอยยิ้ม
“ฉันเรียนรู้วิธีพวกนี้มาจากลูกค้า” อาร์เต้ตอบพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “เสียดายที่ร้านห้ามมีอะไรกับลูกค้า ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ต้องมาที่นี่เพื่อหาที่ปลดปล่อยหรอก”
“ที่ทำงานของนายงี่เง่าที่มองเรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องต้องห้าม”
“แต่ก็นะ… ผมพึ่งเข้าทำงานได้ไม่นานด้วยยังไม่อยากโดนไล่ออก อีกอย่างเงินก็ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ”
“เพื่อนของฉันคงชอบนายมาก เขาเป็นคนโลภมากเหมือนนาย”
“พามาให้ผมรู้จักได้นะ”
“นายคงไม่อยากเจอเขาหรอก เชื่อฉันเถอะ… เขาไม่อ่อนโยนเหมือนฉันแน่”
รอยยิ้มอันตรายนั้นปลุกเร้าอะไรบางอย่างในใจของอาร์เต้ เด็กหนุ่มไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการห้ามปราม แต่ดูเหมือนการเชิญชวนเสียมากกว่า
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันคาดหวังอะไรที่มากกว่านี้จากนาย” ชายร่างใหญ่พูดต่อ
เด็กหนุ่มเข้าใจความที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำพูด เขาเชื่อฟังคำพูดของชายแปลกหน้าราวกับถูกฝึกมาเป็นอย่างดี
อาร์เต้ประคองแท่งเนื้อขนาดใหญ่เอาไว้จนแน่น ก่อนจะแลบลิ้นยืดยาวไล่เลียไปตามเส้นเลือดปูดโปน น้ำลายเคลือบเป็นชั้นบางๆจนทั้งท่อนลำฉ่ำวาว
“อา!” ชายร่างยักษ์ผ่อนลมหายใจยืดยาวออกมาเพื่อลดแรงดันภายใน “อย่างนั้นแหละ”
รอยยิ้มมุมปากฉายวาบผ่านใบหน้าหวานใส เด็กหนุ่มพึงพอใจกับการตอบสนองนี้เป็นอย่างมาก หัวใจพลันเต้นรัวจนเก็บอาการไม่อยู่
ของเหลวขาวใสพุ่งทะลักออกมาจากส่วนปลายลงมาถึงฐาน อาร์เต้ตวัดปลายลิ้นสวนขึ้นไปอย่างเชื่องช้า ไม่ปล่อยให้น้ำนั้นหล่นหายไปแม้หยดเดียว
“ซี้ด! อืม” ชายผู้นั่งอ้าขาสูดลมหายใจผ่านไรฟัน ผลัดกับผ่อนลมออกมา “อื้อ”
เมื่อถือจุดยอดของตาน้ำอาร์เต้ก็เผยอริมฝีปาก บรรจงจูบมันราวกับแก้มของเด็ก ก่อนจะค่อยๆกลืนกินด้วยความหิวกระหาย
ส่วนปลายปูดโปนกระทุ้งเข้ากับกระพุ้งแก้ม ลมหายใจของชายทั้งคู่เริ่มติดขัดและหนักหน่วง เสียงอื้ออึงดังระงมทั่วทั้งห้อง
ศีรษะของเด็กหนุ่มสั่นไหวไปตามมุมของแท่งเนื้อใหญ่ เขาดุนดันลิ้นเล่นราวกับว่าสามารถละลายลูกกวาดขนาดใหญ่นี้ได้
เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับของเล่นในปากแล้ว อาร์เต้ก็ลองสอดมันเข้าไปในช่วงลำคอที่เบิกกว้าง เป็นอีกครั้งที่เขาต้องกลั้นหายใจ พยายามกลืนอะไรที่มากกว่าน้ำลายให้ลึกลงไป
ในหัวของเด็กหนุ่มง่วนอยู่กับกลิ่นที่แผ่ซ่านอยู่ในช่องปาก มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ราวกับเจ้าแท่งนี้หลอมรวมเป็นหนึ่งกับเขา และตอนนี้อาร์เต้ก็เริ่มรู้สึกถึงความแข็งที่หว่างขอของตัวเองเช่นกัน
‘แม่ง! อยากโดนไอ้หมอนี่เอาแรงๆว่ะ’
อาร์เต้ปลดปล่อยให้สัญชาตญาณนำพาความคิด เขาคงพูดแบบนี้ออกไปแล้วถ้าปากสามารถเปล่งเสียงอย่างอื่นออกไปได้ ที่นอกเนื้อจาก “อืม! อ่อก! อ้า!”
“อ๊าก!” ชายร่างยักษ์ร้องลั่น เมื่อท่อนใหญ่ยักษ์ของเขาถูกช่วงคอนั้นบีบรัด ลำตัวสะดุ้งบิดเล็กน้อยจากความเสียวซ่าน “ฉันชักชอบนายแล้วล่ะสิ”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีเข้มนั้นค่อยๆเปล่งแสงอ่อนๆผ่านม่านหมอง น่าแปลกแต่ก็สวยงามเช่นกัน
ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อห่อหุ้มความปรารถนาอันพลุ่งพล่านเอาไว้ ศีรษะของอาร์เต้เริ่มโยกแรงขึ้นเมื่อรู้ถึงการกระตุกสั่นภายใน
“ฮะ… ฮึก…” ใบหน้าสีเข้มเหยเกบิดเบี้ยว เขี้ยวซี่งามแยกออกมา “มีไม่กี่คนที่ดูดได้ลึกขนาดนี้ ถึงจะไม่หมดก็เถอะนะ”
‘เพราะรสชาติของมันยังไงล่ะ รสชาติที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน จะเหมือนของหวานก็ไม่ใช่ จะเหมือนของหวานก็ไม่เชิง… ฉันหยุดไม่ได้จริงๆ’
ถึงอยากจะพูดไปแต่อาร์เต้ก็ทำได้เพียงดูดมันแรงมากขึ้นเป็นการตอบกลับ
“นายคิดดังเกินไปแล้ว ฉันได้ยินนะโดยเฉพาะเรื่องพรรค์นี้” ชายร่างใหญ่หัวเราะในลำคอ “แล้วสิ่งที่นายคิดโคตรทำให้ฉันมีอารมณ์เลยว่ะ”
‘มะ… มันใหญ่ขึ้น’ อาร์เต้คิดในขณะที่ช่วงคอของเขาเริ่มตีบตัน ‘กะ… กลิ่นก็ ระ… แรงขึ้นด้วย หอมชะมัด’
เด็กหนุ่มสำลักเล็กน้อยเมื่อชายร่างยักษ์พยายามดันสะโพก แรงสั่นสะเทือนนั้นโอบล้อมรอบแท่งเนื้อส่งไปตรงไปท้องน้อยจบวูบวาบ
“นายจะเหลือพื้นที่เล็กๆไว้ทำไม เร็วเข้าฉันรู้ว่านายทำมันได้” ชายร่างใหญ่ขบเม้มริมฝีปาก “หรืออยากให้ฉันลงมือเอง”
แม้พื้นที่ในช่องปากจะอัดแน่นเต็มไปด้วยท่อนเนื้อขนาดเขื่อง แต่สายตาของอาร์เต้กลับแข็งกร้าวเป็นการท้าทาย ยั่วยุให้อีกฝ่ายใช้กำลัง
เขี้ยวซี่เล็กแสยะจากมุมปาก ร่างสูงใหญ่โน้มตัวเข้าหาอีกฝ่า หน้าท้องหดเกร็งเป็นลอน ฝ่ามือหนาใหญ่จับเข้ากับท้ายทอยของชายตัวเล็กกว่า
ฉับพลันแรงกดจากด้านหลังก็ผลักจนศีรษะของอาร์เต้โน้มไปข้างหน้า ปลายจมูกชนเข้ากับหน้าท้องหยาบกร้าน
ดวงตาของเด็กหนุ่มพร่าเบลอในหัวขาวโพลน สิ่งเดียวที่ทำได้คือผ่อนคลายตัวเองแล้วโอนอ่อนไปตามแรงของอีกฝ่าย
‘บ้าชิบ! หายใจไม่ออก’
“ฮึก… อดทนไว้ ฉันใกล้แล้ว”
ใจหนึ่งอาร์เต้ก็อยากให้ช่วงเวลานี้จบลง แต่อีกใจก็ยังอยากยืดเวลาสุขสันต์นี้ต่อไป
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด