ราตรีเริ่มคลุมท้องฟ้าเป็นเวทียิ่งใหญ่ให้ดวงจันทร์เปิดตัว เหล่าดวงดาวกะพริบแสงอ่อนแรงรอยลโฉมไฟกลมใหญ่ ช่วงเวลาน่าอิดโรยเช่นนี้ถือเป็นการจบวันของใครหลายคน ในขณะที่บางคนกลับเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นการดำเนินชีวิต
‘Amor’ เป็นบารโฮสต์มีสไตล์เด่นชัดตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง ที่นี่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเท่าไหร่นัก แต่ลูกค้าส่วนใหญ่กระเป๋าหนักและมีอิทธิพลพอสมควร
แม้พนักงานทั้งหมดจะเป็นผู้ชายแต่ก็สามารถรับลูกค้าได้ไม่จำกัดเพศ ขอแค่มีเงินมาโยนทิ้ง… หว่างขาของพวกเขาจะมีอะไรติดอยู่ เด็กที่นี่ก็ไม่มีเกี่ยง
เรื่องชนชั้นในองค์กรเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับให้ได้หากอยากเหยียบเข้ามาทำงานที่อมอร์ ทุกคนที่อยากเป็นดาวรุ่งต้องทำยอดให้สูงเพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับ และมีสิทธิพิเศษกว่าพนักงานคนอื่น
ต่ำสุดถูกจัดให้เป็น ‘ดักแด้’ บางคนก็สามารถออกมาโบยบินได้ ส่วนบางคนก็นอนเน่าอยู่ในรังเหม็นอับ พวกนี้อาจเป็นเด็กหน้าใหม่ที่พึ่งอยากเข้าวงการ ไม่ก็เป็นพวกหน้าเก่าที่ไม่ค่อยได้ลูกค้า น้ำเปล่าถือเป็นสวัสดิการดีที่สุดแล้วสำหรับพวกดักแด้
ต่อมาก็ ‘ผีเสื้อ’ พวกนี้จะมีลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ทำยอดเข้าร้านได้ทุกวัน ถึงจะไม่ได้เป็นที่รักของผู้จัดการร้าน แต่ก็มั่นใจได้ว่าจะได้โดนกระแนะกระแหน
ส่วนระดับสูงนั้นจะถูกเรียกว่า ‘ทรินิตี้แองเจิ้ล’ มีทั้งหมดสามคน และในสามคนนี้ก็แบ่งอันดับแยกย่อยอีกที โดยการจัดอันดับนั้นจะถูกคำนวณใหม่ทุกๆสามเดือน
เพชรยอดมงกุฎของที่นี่จะได้รับฉายา ‘มิดไนท์วิง’ หรือ ‘ปีกแห่งค่ำคืน’ เป็นผู้ที่โบยบินเหนือท้องฟ้ายามราตรี แม้จะไม่ได้มีปีกไว้กระพือได้จริง แต่มันก็เอาไว้อีโก้ตอนเดินเฉิดฉายในร้าน
นอกจากจะเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในร้านแล้ว เหล่าเทพบุตรทั้งสามจะได้อภิสิทธิ์อื่นอีก เช่นสามารถเลือกลูกค้าเองได้ ซึ่งหากไม่กลัวยอดตก สามารถปฏิเสธลูกค้าที่จ่ายเยอะกว่าเพื่อความสบายใจของตัวเองได้ หรือมีห้องส่วนตัวเพื่อความสะดวกสบาย แต่ก็ยังต้องใช้ร่วมกันสามคนอยู่ดี
และผู้ที่ครอบครองตำแหน่งสูงสุดในดินแดนเล็กๆนี้ก็คือมิว เขายึดมันเอาไว้หลายสมัยแล้ว และหากการจัดอันดับในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างไม่มีอะไรผิดพลาด ชายหนุ่มก็จะกลายเป็นพนักงานคนที่เป็นมิดไนท์วิงครบปี ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่นานที่สุดตั้งแต่ร้านเปิด
ถึงจะกดดันแต่มิวก็ภูมิใจกับงานและผลตอบแทนที่อมอร์มาก มิวได้รู้จักแขกระดับสูงหลายคนที่ยินดีจะรับเขาไปดูแลโดยไม่ต้องทำงาน แต่ชายหนุ่มเลือกจะปฏิเสธ เขาไม่ชอบการผูกมัดและอีกอย่างมิวมีปัญหาใหญ่ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้
เกือบสองปีก่อนมิวพบว่าอยู่ดีๆอาวุธสังหารกลางลำตัวของเขาก็หยคดทำงานเสียดื้อๆ จากกล้ามเนื้อทรงพลัง กลายเป็นชิ้นเนื้อด้านชาไร้ความรู้สึก ไม่ว่าจะกระตุ้นด้วยวิธีไหนก็ไม่มีท่าที่จะฟื้นคืนชีพ
หมอไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ยาหลายขนานจากการแพทย์แผนปัจจุบันหรือแผนโบราณก็สามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือได้ ขนาดจะกระดิกด้วยตัวเองก็ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
แน่นอนว่าปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นใจในความเป็นชายแบบนี้ มิวไม่สามารถเล่าให้ใครฟัง แม้กระทั่งเจษรุ่นพี่ที่ทำงานคนสนิทผู้ครอบครองอันดับสอง ‘ซันเซ็ตวิง’ ก็ไม่รู้ถึงปัญหาหนักอกนี้
ทั้งสองมักแลกเปลี่ยนทุกเรื่องในห้องแต่งตัว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้าเพื่อใช้ในการรับมือ หรือเรื่องส่วนตัวทั่วไป ถึงขั้นแก้ผ้าต่อหน้ากันเพื่อตรวจสอบความสวยงามก็เคยมาแล้ว
อาจเพราะว่าการเป็นโฮสต์นั้นใช้ทั้งพลังงานและเวลา การสานสัมพันธ์กับบุคคลอื่นจากโลกภายนอกจึงกลายเป็นเรื่องลำบาก
“เมื่อคืนผมฝันแปลกอีกแล้วว่ะพี่” มิวเอนหลังบนโซฟากำมะหยี่ เฝ้ามองด้านหลังของรุ่นพี่ที่แต่งหน้าอยู่ตรงโต๊ะเครื่องสำอาง
“ไอ้ที่วิ่งในสวนสาธารณะอะไรนั่นเหรอ?” เจษเหลือบมองผ่านกระจกบานใหญ่
“ใช่! คืนที่สามแล้ว” มิวบุ้ยปากไม่สบอารมณ์ “แต่วันนี้แปลก… เหมือนจริงมาก ในฝันผมเอาหัวโขกกับตัวอะไรสักอย่าง สะดุ้งตื่นมาหัวยังโนอยู่เลย”
ว่าพลางมิวก็ลูบท้ายทอยของตัวเอง เขาพบว่าที่บวมอยู่ลดขนาดไปเยอะแล้ว แต่พอลองกดไปก็ยังเจ็บแปลบอยู่นิดหน่อย
“นอนดิ้นแล้วหัวไปโขกกับเตียงหรือเปล่า?”
มิวเอะใจเมื่อได้ยินคำทักท้วงจากผู้เป็นพี่ชายร่วมอาชีพ “พี่เคยฝันเรื่องเดิมๆติดๆกันไหม?”
“เคยนะ ฝันว่าได้เอากับลูกค้าคนเดิมๆ ในฝันเจ้แกเขียนเช็คมาให้สิบล้าน เสียดายตอนตื่นน่าจะเอาเช็คติดมือมาด้วย”
“ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผมกับพี่ใครฝันแปลกกว่ากัน”
“ฝันมันก็คือฝันหรือเปล่าไอ้มิว คนเราพอหมกมุ่นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากๆก็เก็บเอาไปฝันแบบนี้แหละ”
“วิ่งเนี้ยนะ ผมก็ไปวิ่งเป็นประจำอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นจะฝันเลย”
“อาจจะเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก อะไรพวกนั้นหรือเปล่า” เจษเอี้ยวตัวหันมามองมิว “พี่มีลูกค้าที่เป็นจิตแพทย์อยู่ ติดต่อให้เอาไหม? แต่ห้ามแย่งลูกค้าพี่นะ… คนนี้กระเป๋าหนัก”
“ลูกค้าที่เป็นหมอผมก็เยอะ หมอทำคลอดยังมีเลย พี่จะไปใช้บริการไหมล่ะ… ผมไม่หวง”
“ไว้หาเมียได้ก่อนแล้วค่อยเอาแล้วกันนะ ตอนนี้แค่คนคุยด้วยยังแทบไม่มีเลย” เจษตัดพ้อ
“เอ้อ! แต่ในฝันรอบนี้ผมเจอกับไอ้คนที่สะกดรอยตามผมแล้วด้วยนะ มันเหมือนคนหรือปีศาจอะไรสักอย่าง”
“งั้นพี่ว่าเปลี่ยนไปเป็นหมอผีดีกว่า”
มิวทำหน้ามุ่ย
เจษพูดต่อ “เอาจริงๆนะมิว พี่ว่าความฝันมันก็คือความฝันว่ะ ปีศาจในความฝันอะไรนั่นมันเพ้อเจ้อ”
“เพ้อเจ้อเหรอ?”
มิวขึ้นเสียงสูงพลางเหลือบตามองไปยังเครื่องรางของขลังที่วางเต็มโต๊ะของเจษ ครึ่งหนึ่งเป็นรูปปั้นจากสารพัดวัดหลากหลายศาสนา เหลือส่วนน้อยเป็นเครื่องสำอาง
“หยุดเลย! รู้นะว่าจะพูดว่าอะไร” เจษเอี้ยวตัวหันหลังกลับมาจ้องเด็กหนุ่มหน้าตาทะเล้น “มันไม่เหมือนกัน พวกนี้เขาเรียกว่าที่พึ่งทางจิตใจ เจอลูกค้าเขาจะได้รักจะได้เมตตา อาชีพอย่างเราแค่รูปร่างหน้าตาดีมันไม่พอหรือเปล่าวะ มันก็ต้องพึ่งดวงด้วย”
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“พี่รู้แล้วกันว่ามิวจะพูดอะไร”
“พี่เจษนี่… อวดฉลาดอีกเนอะ”
“ไอ้มิว! อย่างน้อยพี่ก็มีความฉลาดให้อวด ไม่ได้อวดโง่เหมือนแกก็แล้วกัน”
“ผมไม่โง่นะ ไอ้อาร์เต้โน่น!” เมื่อพูดถึงชื่อน้องเล็กที่สุดในห้องมิวก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ว่าแต่วันนี้อาร์เต้ไม่มาทำงานอีกแล้วเหรอ จะครบอาทิตย์แล้วนะ”
“นั่นสิ! อีกไม่นานจะตัดยอดแล้ว”
“เมื่อวานผมลองโทรไปหาก็ไม่รับสาย กะว่าเลิกงานจะลองแวะไปดูมันหน่อย”
“ยังไงก็ฝากดูมันหน่อยแล้วกัน เมื่อวานพี่พึ่งคุยกับพี่เป็นเอกมา ขืนมันยังหยุดจนทำยอดรอบนี้ไม่ได้ เดือนหน้าปีกหลุดแล้วต้องไปยืนเต้นรูดเสากับพวกผีเสื้อไม่รู้ด้วย”
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด