ภายในห้องประชุมใหญ่ของบริษัทพัชรลักษณ์ แสงสีขาวนวลจากโคมไฟบนเพดานสาดส่องลงกระทบโต๊ะไม้ขัดเงายาวเหยียดจนสะท้อนเป็นประกายคล้ายกระจก ซึ่งรายล้อมไปด้วยเก้าอี้หนังสีดำสง่างาม ทุกที่นั่งมีผู้บริหารระดับสูงประจำอยู่ครบถ้วนพร้อมเพรียง บรรยากาศภายในห้องนั้นดูเหมือนจะอัดแน่นไปด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็นราวกับกำลังรอคอยบางสิ่ง ทุกเสียงพูดคุยค่อย ๆ แผ่วลงจนกระทั่งเงียบสนิทเมื่อณภัทรก้าวเข้ามาภายในห้องเขานั่งลงตรงตำแหน่งที่ถูกสงวนไว้ให้แก่รองประธาน ทุกสายตาของผู้ที่อยู่ในห้องต่างพุ่งตรงมายังเขาอย่างพร้อมเพรียง บ้างเต็มไปด้วยความสงสัยคลางแคลงใจ บ้างก็ดูเหมือนยังไม่แน่ใจในสถานการณ์ บ้างก็เริ่มฉายแววของการตั้งแง่และไม่พอใจ บรรยากาศภายในห้องเย็นยะเยือกคล้ายกับพายุลูกใหญ่ที่กำลังจะก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆไม่ถึงห้านาทีหลังจากที่การประชุมได้เริ่มต้นขึ้น ทนายประจำบริษัทก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับถือเอกสารสำคัญไว้ในมือ เสียงพลิกหน้ากระดาษที่แผ่วเบาแทบไม่ได้ยินนั้น กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของพายุลูกใหญ่ที่จะถาโถมเข้ามาในไม่ช้า"ผมได้รับคำร้องเรียนพร้อมหลักฐานจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยบางราย ซึ่งเป็นผู้ที่ร้องขอให้มีการตรวจส
ธนากรวางกล่องไม้สีเข้มที่เคยถูกเก็บซ่อนไว้ในมุมลึกสุดของห้องเก็บของเก่าลงเบื้องหน้าดนุ“ลุงเพิ่งเจอมันเมื่อวาน... ไม่รู้ว่ามันอยู่ในนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ชื่อแม่ของหลานเขียนอยู่บนปก”น้ำเสียงของธนากรเรียบขรึม แววตาเคร่งขรึมสงบเยือกเย็น ทว่าในแววตานั้นกลับแฝงบางอย่างที่ดนุมองแล้วเข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดกล่องถูกเปิดออกด้วยความระมัดระวัง ภายในบรรจุสมุดบันทึกปกหนังสีเก่าจาง มีร่องรอยขาดตามขอบกระดาษ บ่งบอกถึงกาลเวลาที่ผ่านพ้นมานานหลายปีดนุชะงักไปเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะหยิบสมุดขึ้นมา เปิดหน้าปกด้วยมือที่เย็นเฉียบ“ถึงลูกชายทั้งสองที่แม่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดู...”เพียงประโยคแรก บรรยากาศทั้งห้องก็เปลี่ยนไปทันที ราวกับทุกสิ่งถูกดึงเข้าสู่ความเงียบอันหนาวเหน็บและว่างเปล่า หัวใจเขาเต้นช้าลง กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากตัวอักษรถูกเขียนด้วยลายมือเรียบง่าย ทว่าทุกคำเปี่ยมด้วยอารมณ์ที่ซ่อนความสั่นไหวไว้ลึกที่สุด ทุกถ้อยคำบนหน้ากระดาษคือเสียงสะอื้นของผู้หญิงคนหนึ่ง—ผู้หญิงที่ให้กำเนิดเขา“แม่ถูกหลอก... วันนั้นแม่คิดแค่ว่าเขาจะพาแม่ไปพักก่อนคลอด... แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปในพริบตา แม่ไม่ได้เห็นหน้าลู
ห้องประชุมสื่อของบริษัทคู่แข่งรายใหญ่ในเครือธุรกิจพัชรลักษณ์อัดแน่นไปด้วยนักข่าวและผู้บริหารระดับสูง แสงแฟลชวูบวาบทุกครั้งที่มีการขยับตัว เสียงซุบซิบตึงเครียดดังกระเพื่อมทั่วห้อง ราวกับคลื่นลมแรงที่ไม่มีใครอาจควบคุมได้บนเวที ตัวแทนของบริษัทกำลังกล่าวถึงทิศทางใหม่ขององค์กร ทว่าเนื้อหาที่แท้จริงของการแถลงข่าว กลับซ่อนอยู่ในสไลด์ถัดไปในมุมมืดของห้องถ่ายทอดสด ดนุนั่งนิ่งสงบ เสื้อเชิ้ตสีเข้มแนบเนื้อกลมกลืนไปกับเงาสลัว ดวงตาคมเย็นเฉียบ ราวนักล่าที่กำลังเฝ้าจับจังหวะโจมตีเหยื่อเสียงคลิกของรีโมตดังก้องกลางความเงียบ สไลด์ถัดไปปรากฏขึ้นบนจอขนาดใหญ่กลางเวที ภาพใบรับรองการเกิดสองใบฉายขึ้นอย่างชัดเจนชื่อแรกคือ “ธันวา” อีกชื่อคือ “ณภัทร” ทั้งสองเกิดในวันเดียวกัน โรงพยาบาลเดียวกัน ลายเซ็นรับรองจากเจ้าหน้าที่คนเดียวกัน และมีชื่อผู้ปกครองเป็นบุคคลเดียวกัน
สวนสาธารณะในย่านเงียบสงบของกรุงเทพฯ ถูกปกคลุมไปด้วยไอเย็นชื้นจากฝนปรอยบางเบา ทางเดินหินทอดยาวใต้แสงไฟสลัวสะท้อนเงาของสองร่างที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าดนุในเสื้อแจ็กเก็ตสีเข้ม ปลายแขนเปียกชื้นไปด้วยละอองฝน เขาก้มหน้าฟังเสียงฝีเท้าของอีกคนที่เดินอยู่เคียงข้าง แววตานิ่งเฉย แต่ภายในกลับวุ่นวายราวคลื่นลมในใจณภัทรในชุดลำลองธรรมดา ดวงตาคมที่เคยเปี่ยมด้วยความมั่นใจ บัดนี้กลับฉายแววอ่อนล้า เสียงถอนหายใจแผ่วเบาของเขาดังปะปนกับเสียงหยดฝนที่ตกกระทบพื้น“บางที... ฉันก็ไม่แน่ใจแล้ว ว่าสิ่งที่ฉันยืนอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นของฉันจริง ๆ หรือเปล่า”ดนุไม่ตอบในทันที เขาเพียงเงยหน้ามองต้นไม้ที่ไหวเอนตามแรงลม ราวกับปล่อยให้ธรรมชาติเป็นพยานของความเงียบที่ห่อหุ้มคำสารภาพนั้นไว้“คนในบ้าน... พวกเขาไม่ได้มองฉันเหมือนเดิมอีกแล้ว ตั้งแต่ข่าวเรื่องสา
ห้องทำงานชั้นใต้ดินของธนากรถูกดัดแปลงให้กลายเป็นศูนย์บัญชาการลับ ผนังแน่นขนัดไปด้วยแผนที่ เส้นเชื่อมโยงของบุคคลสำคัญ และเอกสารลับจำนวนมากที่จัดวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แสงไฟสีขาวเย็นเฉียบส่องลงบนแฟ้มเอกสารเก่าแก่ที่ตั้งอยู่อย่างนิ่งสงบกลางโต๊ะ ราวกับมันคือศูนย์กลางของความลับทั้งมวลธนากรนั่งนิ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ข้างกายคือสมุนคนสนิทที่เพิ่งเดินทางกลับจากโรงพยาบาลในต่างจังหวัด สถานที่ซึ่งชลธิชาเคยให้กำเนิดลูกชายเมื่อหลายปีก่อน“นี่คือทั้งหมดที่คุณต้องการครับ... รวมถึงลายเซ็นของผู้ที่รับรองเอกสารในวันนั้นด้วย” ลูกน้องรายงาน พร้อมกับยื่นแฟ้มหนาให้ธนากรเปิดแฟ้ม มือที่เคยมั่นคงกลับสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อสายตาสะดุดเข้ากับชื่อผู้ลงนาม“อำภา...” เขาพึมพำ ดวงตาเย็นชาฉับพลันกลับเปล่งแววกร้าว ก่อนจะยื่นแฟ้มต่อให้ดนุที่ยืนเงียบอยู่เบื้องหลัง
ห้องพักในปีกหลังของคฤหาสน์พัชรลักษณ์เงียบสงัดเสียจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเอง มีนานั่งขดตัวอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมถึงคาง แต่ร่างกายยังสั่นสะท้านเล็กน้อย ความหนาวเย็นที่แทรกซึมไม่ใช่มาจากอากาศ แต่เป็นความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เกาะกินอยู่ภายในประตูห้องถูกลั่นกลอนจากด้านนอกตั้งแต่เมื่อคืน ฝีมือของอำภา“เธอต้องอยู่เงียบ ๆ จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย"ประโยคนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัว ราวกับบ่วงที่มัดแน่นรอบลำคอตอนนั้นมีนาไม่ได้พูดตอบแม้สักคำ เธอเพียงเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง มองทะลุลูกกรงเหล็กบาง ๆ ที่ขวางกั้นโลกภายนอกไว้กลางดึก... เธอฝันอีกแล้วในความฝัน มีนาเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าเลือนรางเต็มไปด้วยน้ำตา ร่างนั้นถูกลากออกจากห้อง ห้องที่มีเสียงร้องไห้ของเด็กเล็ก ๆ ดังก้องระงม และในนั้น... เธอก็เป็นหนึ่งในเด็กคนนั้น“อย่าเอาลูกฉันไป!”เสียงร้องสั่นสะท้าน เจ็บปวดราวกับจะฉีกหัวใจออกเป็นชิ้น ๆเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ถูกกระชากจากอ้อมแขนของใครบางคน ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะดับวูบลงสู่ความมืด เธอสะดุ้งตื่นพร้อมเหงื่อเย็นที่ชื้นเต็มหน้าผาก และน้ำตาไหลอาบสองแก้ม“แม่...”เสียงแผ่วพึมพำลอดออกจากริมฝีปากท