กลิ่นเหล้าจาง ๆ ลอยอยู่ในห้องวีไอพีของบาร์ลิโอจิน แสงจากโคมบนผนังลอดผ้าม่านมาตกลงบนโซฟาหนังและโต๊ะกระจก ห้องสลัวเงียบเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งมีนานั่งชิดผนัง แผ่นหลังแนบกับพื้นไม้ที่เย็นกว่าปกติ มือสองข้างกำชายกระโปรงไว้หลวม ๆ คล้ายจะยึดไว้กับอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ปล่อยวางไปเองโดยไม่รู้ตัวความเงียบทำให้เสียงหายใจของดนุดังชัด เธอไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่ก็หันไปมองเขาอยู่ดีเขานั่งอีกฟากหนึ่ง แขนพาดพนักโซฟา ดวงตาไม่มองเธอตรง ๆ แต่ก็ไม่ได้หลบ แววตานิ่งเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะเกินจะเล่า และไม่แน่ใจว่า...ควรเล่าไหม"ตอนเด็ก ฉันไม่เคยกลัวใคร"เสียงเขาเบาราวกับแค่คิดออกมาดัง ๆ"ยกเว้นแม่ตัวเอง"เขาพูดช้า ๆ ดวงตาไม่ไหวติง มือข้างลำตัวขยับเล็กน้อยเหมือนจะหาที่วาง มีนามองเขาเงียบ ๆ เธอไม่เข้าใจทั้งหมด แต่รู้ว่า...คำพวกนี้คงไม่เคยถูกพูดกับใคร"เธอเล่นพนันจนหมดตัวทุกคืน แล้วกลับมาลงกับฉัน ทั้งตบ ทั้งเตะ บางทีก็ใช้สายไฟตี บางคืนเมาหนักก็คว้าขวดหรืออะไรก็ได้ที่ใกล้มือ บางทีจับหัวฉันโขกกับโต๊ะ จนฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตื่นเพราะเจ็บ...หรือเพราะยังไม่ตาย"เขาไม่สบตาเธอ แต่นิ้วมือที่เกร็งอยู่บนขอบโซฟาบอกว่าร่
@มหาลัย Sเช้าวันที่สดใส ควรเป็นวันที่เธอควรจะมีความสุข อารมณ์ดีกับการได้เจอเพื่อนในคณะ ทว่ากับมีนานั่นไม่ใช่เลย สิ่งที่เธอเห็นได้รับรู้เมื่อคืน ทำเอาเธอนอนไม่หลับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เหมือนดั่งมีดแหลมพุ่งปักเข้าตรงกลางใจของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียงพูดคุยเฮฮาของเพื่อนร่วมมหาลัยไม่ได้ทำให้เธอสดชื่นขึ้นเลยสักนิด เธอรู้สึกว่าวันนี้เงียบกว่าทุกวัน หรือบางที...อาจเป็นเพียงเธอที่รู้สึกเช่นนั้นคนเดียว มีนาเดินหลบสายตาผู้คน ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่สาดลอดต้นไม้ ความรู้สึกในใจเธอปั่นป่วนจนแม้แสงอุ่นของวันใหม่ก็ไม่อาจปลอบโยนได้เธอพยายามหลีกเลี่ยงดนุ พยายามไม่เดินผ่านเส้นทางที่เขาอาจรออยู่ ไม่แม้แต่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าเขาจะส่งข้อความมาอีกหรือเปล่าทว่าสุดท้ายแล้ว...เธอก็หนีไม่พ้นเสียงประตูรถที่เปิดออกดังเบา ๆ ข้างตัวเธอ เงาร่างสูงในชุดดำก้าวลงจากรถหรู สีหน้าเรียงนิ่ง ทว่าแววตากลับแน่วแน่จนไม่อาจเบือนหน้าหนี"ขึ้นรถ" เขาเอ่ยเรียบ ๆ ไม่มีน้ำเสียงข่มขู่ ไม่มีความอ่อนโยนใดๆ ในเสียงนั้น ทว่าเด็ดขาดจนเธอไม่อาจปฏิเสธได้เธออยากจะปฏิเสธ อยากจะเดินหนี อยากจะพูดว่าหมดสิ้นแล้วกับความไว้ใจทั้งหมด
เสียงลมหายใจสะเปะสะปะของเธอผสานเข้ากับเสียงฝีเท้าบนพื้นเปียกชื้น ร่างกายของมีนาเปียกโชกจากฝนที่ตกไม่ลืมหูลืมตา แต่ไม่มีหยดใดหนาวได้เท่ากับสิ่งที่สั่นอยู่ข้างในหัวใจเธอไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งมาถึงไหน สองขาเจ็บระบม รองเท้าข้างหนึ่งหักบิดผิดรูป เลือดไหลช้า ๆ จากส้นเท้าที่ถลอก เจ็บแค่ไหน...เธอก็ไม่ยอมเปล่งเสียง ทำได้เพียงแค่เม้มริมฝีปากไว้แน่น ข่มกลั้นความเจ็บมือที่สั่นระริกดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แบบร่างที่ดนุเคยส่งให้ตอนทำงานกลุ่มร่วมกัน แบบที่เธอเคยยิ้มตอนเห็นลายมือเขาเล็ก ๆ ตรงมุมกระดาษเธอเคยคิดว่าเขาให้มันกับเธอด้วยความไว้ใจ ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อ่อนโยนและลึกซึ้ง ทว่าค่ำคืนนี้…ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปดวงตาของเธอหยุดลงตรงมุมล่างกระดาษ สัญลักษณ์เล็กจิ๋วที่เธอไม่เคยมองมาก่อน วงกลมสีเข้มที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาเส้นแบบอย่างแนบเนียน ตัวอักษรสองตัวที่ไม่มีวันลืมได้NSเธอเบิกตา ริมฝีปากขยับอย่างไร้เสียง ราวกับสมองไม่อาจยอมรับสิ่งที่เห็น"...ไม่จริง..."เสียงนั้นเบาเหมือนคำอธิษฐานของคนที่อยากเชื่อว่าโลกนี้ยังมีบางอย่างให้พึ่งพิงเธอขยำกระดาษในมือจนยับยู่ยี่ น้ำตาเริ่มเอ่อขึ
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของมีนากระทบพื้นคอนกรีตอย่างระมัดระวัง ขณะเธอค่อย ๆ ย่องลึกเข้าไปในตัวอาคารเก่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นสนิมและฝุ่นหนา ความชื้นสะสมเกาะหนึบตามผนัง กลิ่นอับแปลกประหลาดคล้ายคราบเลือดเก่าแทรกปนมากับกลิ่นน้ำมันที่แห้งกรังจนเกาะติดอยู่กับอากาศเธอไม่รู้ว่าทำไมถึงเดินตามเขามา ไม่รู้ว่าอะไรผลักดันให้เธอขับรถตามรถคันนั้นในคืนนั้นมา แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดคือ...เธอไม่อาจห้ามหัวใจตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย"ทำไมต้องมาที่แบบนี้ด้วยนะ..." เธอพึมพำกับตัวเอง เสียงเบากลืนหายไปกับลมหายใจดวงตาของเธอกวาดมองไปรอบโกดัง ทุกอย่างเงียบจนน่าประหลาด เงาแสงจากโคมไฟเพดานที่กระพริบวูบวาบซ้ำ ๆ ราวกับร่างกายของโกดังกำลังหายใจอย่างเชื่องช้า เสียงคลื่นลมจากแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลเคล้ากับเสียงเหล็กเสียดสีกันแผ่ว ๆ จากลมที่ลอดผ่าน ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น เหมือนทุกความลับที่ถูกกลบฝังไว้กำลังจะค่อย ๆ ถูกเปิดออกแล้วเธอก็เห็นเขาดนุ ในชุดดำสนิท สวมฮู้ดคลุมศีรษะ กำลังยืนอยู่ตรงกลางโกดังอย่างมั่นคง ท่ามกลางเงาแสงสีเทา เส้นกรามของเขาขบแน่น แววตาเรียบเฉย แต่กลับกดทับด้วยแรงคุกรุ่นบางอย่างเขากำลังเจรจาก
สายฝนพรำลงมาไม่ขาดสาย ราวกับฟากฟ้ากำลังพรั่งพรูความเศร้าที่อัดแน่นในอกออกมาอย่างเงียบงัน เสียงหยาดฝนกระทบพื้นซีเมนต์เปียกชื้นดังก้องในความว่างเปล่า ประสานกับลมที่พัดกรูเอากลิ่นสนิมจากรางน้ำเก่าและกลิ่นฝนหม่นเศร้ามาห่มคลุมอากาศให้เย็นเยียบยิ่งขึ้นบนถนนสายแคบในย่านที่เงียบเกินไปสำหรับค่ำคืนนี้ หญิงสาวก้าวเดินฝ่าสายฝนด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงนัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังจะเดินไปทางไหน หรือกำลังหนีจากอะไรแต่ในความเงียบที่ปกคลุมเมือง...เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนมีใครบางคนกำลังเดินตามเธอมาเสียงฝีเท้าแผ่วเบา แต่มั่นคง ไม่เร็วไม่ช้า ไม่ใกล้ไม่ไกล ราวกับตั้งใจย่ำอยู่ในช่องว่างระหว่างความกลัวกับความเงียบ เหมือนจะบอกให้รู้ว่าไม่ต้องวิ่งหนี...เพราะไม่มีวันหลุดพ้นหัวใจของมีนาเต้นถี่รัว เสียงดังนั้นก้องสะท้อนอยู่ในอก เธอกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก สองมือที่กำกระเป๋าแน่นเริ่มสั่นไหว ลมหายใจหอบสั้นราวกับถูกบีบรัดจากภายในและโดยไม่หันหลังกลับไปมอง เธอก็รู้...คนคนนั้น...กำลังจะถึงตัวเธอเบี่ยงร่างหักเลี้ยวเข้าซอยแคบระหว่างอาคารที่สูงชิดจนอากาศแทบไม่ไหลผ่าน ไฟจากถนนใหญ่เลือนหายอยู่เบื้องหลัง เหลือเพียงเงามืดแทรกต
บ้านหลังใหญ่ที่เคยอบอวลด้วยเสียงหัวเราะและแสงไฟ บัดนี้กลับเงียบงันราวกับไร้ชีวิต ทุกมุมมืดเย็นชืดเหมือนถูกกลืนไปกับราตรีที่ไม่มีแสงดาว และในความเงียบนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น แผ่วเบา แต่เย็นชา ราวกับคมมีดที่แทงทะลุเข้าไปในหัวใจสำหรับมีนา... เสียงนั้นไม่ใช่แค่คำตำหนิ แต่มันคือความเจ็บที่สะสมมาทั้งชีวิต มันไม่ตะโกน แต่กระแทกใจเธอจนแทบยืนไม่อยู่ และในวินาทีนั้น หัวใจของเธอเหมือนแตกร้าวเป็นเสี่ยงเล็ก ๆ ทุกชิ้นส่วนกระจายออก โดยไม่มีใครพยายามจะประสานกลับมาเลยสักครั้ง“นังลูกไม่ดี... ทำตัวต่ำ ๆ ไม่ต่างจากแม่แกเลย ไร้หัวสมอง ไม่มีความคิด ใฝ่ต่ำที่สุด...”น้ำเสียงราบเรียบ ไม่ตะโกน ไม่กระโชก แต่กลับเจ็บลึก ราวกับคมมีดที่ถูกลับมาอย่างดีและค่อย ๆ กรีดลงกลางใจภาพในโทรศัพท์ถูกยื่นมาตรงหน้า ภาพที่เธอกับดนุยืนอยู่เคียงกันในห้องทำงาน ไม่มีคำพูด ไม่มีการแตะต้อง มีเพียงระยะห่างที่ใกล้เกินไปในสายตาของผู้เป็นพ่อ และนั่น... เพียงพอจะกลายเป็นหลักฐานสำหรับเขา... เธอกำลังลดตัวลงไป ก้าวเข้าไปอยู่ในเกมที่เธอไม่ควรเข้าไปใกล้ กลายเป็นหมากตัวหนึ่งในกระดานของใครบางคน เพื่อแลกกับบางสิ่งที่เขาเชื่อว่า “ไม่ควรถูกไขว
แสงไฟจากเพดานสูงส่งลำแสงสีขาวทะลุม่านฝุ่นจางในอากาศ กระทบลงบนโมเดลโลหะขนาดครึ่งโต๊ะเรียนซึ่งยังต่อไม่เสร็จ สายไฟบางเส้นสั่นไหวตามแรงสั่นสะเทือนที่ไม่มีผู้ใดสังเกต กลิ่นควันบัดกรีผสมกลิ่นกาแฟเย็นที่ถูกวางทิ้งไว้ริมโต๊ะลอยคละคลุ้งไปทั่วห้องบนเวทีใจกลางฮอลล์ ณภัทรยืนสง่าภายใต้สูทเรียบง่าย ข้างกายเขาคือวินัย พ่อของมีนา ท่าทีเงียบสงัด ไร้รอยยิ้มและแววตาสะท้อนความคิดใด ๆ“โครงงานปีนี้เราไม่มองแค่ว่าใครทำได้ดีที่สุด แต่เลือกคนที่กล้าคิดต่างจนเปลี่ยนโลกได้จริง” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น เปล่งออกด้วยจังหวะมั่นคงเหมือนผ่านการฝึกฝน ทุกถ้อยคำหล่อหลอมจากริมฝีปากด้วยน้ำหนักที่หนักแน่นยิ่งเสียงปรบมือเบา ๆ ดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง แต่สำหรับมีนา โลกทั้งใบกลับเงียบกว่าที่เคย เธอยืนนิ่ง ปลายนิ้วแนบแฟ้มแน่นแนบอก เพราะรู้ดีว่า…ไม่เคยมีถ้อยคำใดจากพ่อที่จะกล่าวถึงเธอเลยชื่อทีมจากมหาวิทยาลัย S ปรากฏบนหน้าจอขนาดใหญ่ ชื่อหัวหน้าทีมโดดเด่นอยู่บรรทัดแรก “ดนุ ศิระเวช” เธอขมวดคิ้วหนักหน่วง ไม่ใช่ด้วยความประหลาดใจ แต่มั่นใจว่าไม่ได้สมัครเอง แล้วชื่อของเธอก็ตามมาเป็นลำดับถัดไป “มีนา วินัยพงศ์”เธอยังคงนิ่ง สายตาปล่อ
เกือบเที่ยงคืน ข้อความจากดนุก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ของมีนา ไม่ต้องเปิดดูชื่อ เธอก็รู้ว่าเป็นเขา สองบรรทัดสั้น ๆ ที่ทำให้เธอหยุดนิ้วไว้กลางอากาศ ราวกับข้อความนั้นพูดออกมาได้ด้วยตัวเอง"คืนนี้มาที่สนามแข่งฝั่งตะวันตก แถวตลิ่งชันได้มั้ย ผมไม่ได้ขออะไรมาก... แค่อยากให้คุณมาเห็นผมในอีกแบบ"ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำขอร้อง ไม่มีแม้แต่เหตุผลให้ไว้ใจ แต่เพราะเป็นเขา... เธอจึงตัดสินใจไป—สนามแข่งอยู่ใต้สะพานขนาดใหญ่ ด้านล่างเป็นลานคอนกรีตโล่งที่เต็มไปด้วยรอยยางไหม้และคราบน้ำมันเก่า ๆ เสียงล้อรถเสียดกับพื้นดังสะท้อนอยู่ในอากาศเหมือนประกาศให้รู้ว่านี่คืออีกโลกหนึ่งไม่มีป้าย ไม่มีไฟมาตรฐาน มีเพียงแสงไฟสปอร์ตไลต์ที่สาดเป็นจุด ๆ สว่างบ้าง มืดบ้าง ราวกับฉากในหนังที่เลือกเปิดเผยแค่บางมุมของเรื่องกลุ่มวัยรุ่นในเสื้อแจ็กเก็ตหนังยืนจับกลุ่มกัน บ้างหัวเราะ บ้างส่งเสียงเชียร์ เสียงเครื่องยนต์คำรามสนั่นเป็นจังหวะ ควันไอเสียเจือกลิ่นยางเบรกไหม้และน้ำมันลอยคละคลุ้งในอากาศ ไฟหน้ารถสาดส่องตัดผ่านความมืดเป็นสายสว่างสลับกับเงา ให้บรรยากาศโดยรอบดูสั่นไหวและอันตรายอย่างน่าหลงใหลมีนาเดินเข้าไปช้า ๆ ชุดนักศึกษาที
ห้องสมุดยามเย็นเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงแอร์ที่แผ่วเบากับแสงไฟขุ่นมัวที่เริ่มจางลงตามเวลามีนานั่งอยู่ในมุมลึกสุดของห้อง ใกล้ชั้นหนังสือที่แทบไม่มีใครเดินผ่าน โต๊ะไม้ตรงนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นที่หลบซ่อนตัวจากโลกภายนอกได้ชั่วคราวหนังสือเรียนคณิตเปิดอยู่ตรงหน้า แต่เธอไม่ได้อ่านจริงจัง มือแค่พลิกหน้ากระดาษช้า ๆ ขณะที่สายตาเหม่อลอยไปไกลไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจบทเรียน แต่เพราะหัวใจยังไม่สงบพอจะรับอะไรเข้ามาได้ เธอแค่อยากอยู่คนเดียว ไม่ต้องเจอ ไม่ต้องพูด และไม่ต้องรู้สึกเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังใกล้เข้ามา เธอชะงัก เงยหน้าขึ้นอย่างระแวดระวัง เงาทอดผ่านหน้าโต๊ะ บดบังแสงไฟเหนือศีรษะดนุยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีคำทัก ไม่มีรอยยิ้ม สายตาของเขานิ่งสงบแต่แน่วแน่ จนเธอไม่แน่ใจว่าเขามาเพราะตั้งใจหรือบังเอิญ“มีอะไร?” เธอถามเรียบ ๆ ไม่หลบสายตา“เปล่า เดินผ่านมา แล้วเจอเธอ” เขาตอบเหมือนมันเป็นเรื่องปกติเธอกลับไปมองหนังสือ พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่ภายในใจกลับปั่นป่วน ราวกับทุกอย่างที่พยายามซ่อนไว้ถูกเขาเปิดออกหมดแล้วเขาเดินอ้อมมาฝั่งตรงข้ามโต๊ะ หยิบแว่นตาของเธอขึ้นมาหมุนเล่นด้วยปลายนิ้ว“ขอคืนเถอะ อย่ามาเล่นแบ