FAZER LOGINเช้าวันจันทร์หลังมื้อค่ำมื้อนั้นหนักหน่วงราวกับมีหมอกหนาทึบเข้าปกคลุมชั้น 32 ลลินพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวให้เป็นปกติ เธอจดจ่ออยู่กับตารางงานและเอกสารตรงหน้า บังคับตัวเองไม่ให้สบตาภาคินโดยตรง และตอบคำถามของเขาด้วยประโยคที่สั้นและเป็นทางการที่สุดเท่าที่จะทำได้
เธอกำลังสร้างกำแพงของตัวเองขึ้นมาใหม่อีกครั้ง...สูงและหนากว่าเดิม
ภาคินรับรู้ได้ถึงระยะห่างนั้น แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่สายตาคมกริบคู่นั้นมักจะจับจ้องมาที่แผ่นหลังของเธอบ่อยครั้ง ราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปถึงความสับสนวุ่นวายที่เธอซ่อนไว้
ความน่าอึดอัดดำเนินไปจนกระทั่งช่วงค่ำของวัน เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ระบบเครือข่ายหลักของบริษัทเกิดล่มกะทันหัน ส่งผลกระทบต่อข้อมูลสำคัญที่ต้องใช้ในการเจรจากับนักลงทุนต่างชาติในวันรุ่งขึ้น
ทั้งชั้นผู้บริหารจึงตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน
ลลินต้องทำงานร่วมกับภาคินอย่างใกล้ชิดเพื่อประสานงานกับฝ่ายเทคนิคและรวบรวมข้อมูลสำรองทั้งหมด พวกเขาวิ่งวุ่นอยู่ในห้องทำงานของภาคินจนเวลาล่วงเลยไปเกือบสี่ทุ่ม ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ กำแพงที่เธอพยายามสร้างขึ้นมาก็ค่อยๆ ถูกทลายลงด้วยความเป็นมืออาชีพที่ต้องมาก่อน
ในที่สุด...วิกฤตก็คลี่คลายลงได้สำเร็จ
“ขอบคุณมากคุณลลิน ถ้าไม่ได้คุณคืนนี้คงแย่แน่” ภาคินพูดขึ้น ขณะที่เอนหลังพิงเก้าอี้ทำงานอย่างเหนื่อยอ่อน
“เป็นหน้าที่ค่ะ” เธอตอบ พลางเก็บเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะให้เข้าที่
“กลับบ้านเถอะ ดึกมากแล้ว เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ลินกลับเองได้” เธอปฏิเสธทันที
“นี่ไม่ใช่การขอความเห็น” เขายืนขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดแต่ไม่คุกคาม “มันดึกและอันตรายเกินไป”
ลลินรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเถียง เธอจึงได้แต่พยักหน้ารับและเดินตามเขาไปยังลิฟต์ส่วนตัวของผู้บริหาร
บานประตูลิฟต์สเตนเลสปิดลง กักขังคนสองคนไว้ในกล่องสี่เหลี่ยมที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ ของทั้งคู่ ลลินเลือกที่จะยืนชิดผนังอีกด้าน พยายามเว้นระยะห่างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอมองตัวเลขดิจิทัลสีแดงที่ค่อยๆ ลดระดับลง ช้า...จนน่าใจหาย
ทันใดนั้นเอง!
ลิฟต์ก็กระตุกอย่างรุนแรงจนลลินเซถลาไปข้างหน้า ตามมาด้วยเสียงโลหะบดขยี้ที่ดังน่ากลัว แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง
ความมืดและความเงียบเข้าปกคลุมในชั่วพริบตา
“โอ๊ย!” ลินร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจและความเจ็บจากข้อเท้าที่พลิกเล็กน้อย
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า!” เสียงทุ้มของภาคินดังขึ้นในความมืด เขาอยู่ใกล้กว่าที่เธอคิด
ไม่กี่วินาทีต่อมา ไฟฉุกเฉินสีส้มสลัวก็สว่างขึ้น เผยให้เห็นว่าลิฟต์หยุดนิ่งสนิทอยู่ระหว่างชั้น ลินกำลังพยุงตัวเองกับผนัง ส่วนภาคินขยับเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ผมไม่เป็นไร...แต่คุณ” เขามองลงไปที่ข้อเท้าของเธอ
“แค่ข้อเท้าพลิกนิดหน่อยค่ะ” เธอบอก ปฏิเสธความเจ็บปวดและความกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
ภาคินขมวดคิ้ว เขากดปุ่มสัญญาณฉุกเฉินย้ำๆ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เขาลองใช้อินเตอร์คอม แต่ก็เงียบสนิทเช่นกัน เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา...ไม่มีสัญญาณ
“ดูเหมือนว่าเราจะติดอยู่ที่นี่สักพัก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด ความเยือกเย็นของเขาช่วยลดทอนความหวาดกลัวของลินไปได้บ้าง
เขาถอดเสื้อสูทของตัวเองออกแล้วปูลงบนพื้นลิฟต์ “นั่งลงก่อน ข้อเท้าคุณอาจจะบวมได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ลินยืนได้”
“อย่าดื้อสิลิน” เขาเรียกชื่อเล่นของเธอเป็นครั้งแรก น้ำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย “นั่งลง”
สุดท้ายลินก็ยอมแพ้และค่อยๆ นั่งลงบนเสื้อสูทของเขาอย่างเสียไม่ได้ บรรยากาศในลิฟต์ที่แคบและอับทึบเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงแสงสีส้มสลัวที่สาดส่องใบหน้าของคนทั้งคู่
“คุณกลัวที่แคบเหรอ” เขาถามขึ้น ทำลายความเงียบ
“นิดหน่อยค่ะ” เธอยอมรับ
ภาคินจึงทรุดตัวลงนั่งพิงผนังลิฟต์ฝั่งตรงข้าม ไม่ใกล้เกินไป แต่ก็ไม่ไกลจนรู้สึกห่างเหิน “หายใจเข้าลึกๆ เดี๋ยวทีมช่างก็คงมา”
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ความเงียบเริ่มทำงานกับความรู้สึกของคนทั้งคู่ ลินกอดเข่าตัวเองแน่น พยายามไม่คิดถึงสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้
“กำแพงของคุณ...” ภาคินพูดขึ้นเบาๆ “มันสูงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ลินชะงัก เธอหันไปมองเขาในแสงสลัว “คุณหมายความว่ายังไงคะ”
“หลังจากคืนนั้น...คุณก็สร้างมันขึ้นมาอีกครั้ง” เขาไม่ได้พูดถึงมื้อค่ำตรงๆ แต่เธอก็รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร “ผมแค่อยากรู้ว่า...ทำไม”
ลินเงียบไปนาน เธอไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรโดยไม่เปิดเผยความลับของตัวเอง “ฉันเคยไว้ใจคนง่ายๆ ค่ะ” ในที่สุดเธอก็ตอบออกมาเสียงเบา “จนกระทั่งโลกสอนให้รู้ว่าความไว้ใจเป็นสิ่งที่มีราคาแพง และบางครั้ง...มันก็อาจจะทำลายชีวิตเราได้”
ภาคินมองเธอด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป...มีความเข้าใจอยู่ในนั้น “ในโลกธุรกิจก็เหมือนกัน” เขาพูด “บางครั้งคนที่ดูเหมือนเพื่อนสนิทที่สุด ก็คือคนที่เราต้องระวังมากที่สุด”
คำพูดของเขาแทงใจดำอีกครั้ง มันเหมือนจิ๊กซอว์อีกชิ้นที่เขาโยนมาให้เธอ เหมือนเขาพยายามจะบอกใบ้อะไรบางอย่างกับเธอตลอดเวลา
“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงคะ...ว่าใครคือคนที่ไว้ใจได้” เธอถามออกไปโดยไม่รู้ตัว มันเป็นคำถามจากก้นบึ้งของหัวใจ
ภาคินจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ แสงสีส้มสะท้อนอยู่ในนั้นทำให้มันดูอบอุ่นและลึกซึ้งอย่างน่าประหลาด “บางที...อาจจะต้องใช้หัวใจมอง ไม่ใช่แค่สายตา”
แล้วเขาก็ค่อยๆ ขยับเข้ามาหาเธอช้าๆ จนกระทั่งเข่าของพวกเขาเกือบจะชนกัน เขายื่นมือออกมา...แตะลงบนแก้มของเธออย่างแผ่วเบา นิ้วโป้งของเขาเกลี่ยหยดเหงื่อที่ข้างขมับของเธอออกไป
“คุณตัวเย็นหมดแล้ว”
สัมผัสของเขาทำให้ร่างกายของลินสะท้าน เธอควรจะปัดมือของเขาทิ้ง ควรจะถอยหนี แต่ร่างกายของเธอกลับไม่ยอมขยับ แรงดึงดูดที่เคยเกิดขึ้นในร้านอาหารคืนนั้นหวนกลับมารุนแรงกว่าเดิมนับร้อยเท่าในพื้นที่ปิดตายแห่งนี้
เขาค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ กลิ่นโคโลญจน์จางๆ ของเขากำลังทำให้เธอขาดสติ ทุกอย่างรอบตัวเลือนหายไป เหลือเพียงใบหน้าคมคายที่อยู่ห่างจากเธอไม่ถึงคืบ
ดวงตาของเขาดำดิ่งราวกับจะสูบวิญญาณของเธอเข้าไป...แล้วเขาก็โน้มลงมา
ครืด...โครม!
ทันใดนั้น ลิฟต์ก็กระตุกอย่างแรงอีกครั้ง! แสงไฟหลักสว่างวาบขึ้นจนแสบตา ก่อนที่ลิฟต์จะค่อยๆ เคลื่อนตัวลงอย่างช้าๆ
เสียงจากโลกภายนอกทำลายภวังค์ของคนทั้งคู่จนหมดสิ้น
ภาคินชักมือกลับอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนผงะออกจากกันราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ลินรีบหันหน้าหนี หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ส่วนภาคินก็ไอออกมาเบาๆ เพื่อแก้เก้อ
ติ๊ง!
ประตูลิฟต์เลื่อนเปิดออกที่ชั้นล่างสุด เผยให้เห็นใบหน้าที่แตกตื่นของหัวหน้าทีมช่างและพนักงานรักษาความปลอดภัย
“ท่านประธาน! คุณลิน! เป็นอะไรไหมครับ!”
“เราไม่เป็นไร” ภาคินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม กลับสู่โหมด CEO อย่างรวดเร็ว เขาหันไปช่วยพยุงลินให้ลุกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด
ทั้งสองคนเดินออกมาจากตึกโดยไม่ได้พูดอะไรกันอีก บรรยากาศในรถระหว่างทางกลับบ้านเงียบกริบยิ่งกว่าครั้งก่อน มันไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด แต่เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยเสียงของเหตุการณ์ที่ ‘เกือบ’ จะเกิดขึ้น
เมื่อถึงหน้าคอนโด ลินรีบเปิดประตูลงจากรถ
“เดี๋ยว...” ภาคินเรียกไว้
เธอหยุด แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง
“พรุ่งนี้...ทายาที่ข้อเท้าด้วย” เขาพูดได้เพียงเท่านั้น
ลินพยักหน้ารับเบาๆ แล้วรีบเดินเข้าคอนโดไปทันที
คืนนั้น...เธอยืนพิงประตูห้องอยู่นานสองนาน ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองอย่างเผลอไผล
เหตุการณ์ในลิฟต์มันไม่ใช่แค่อุบัติเหตุ แต่มันคือการพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุด...ชัดเจนจนน่ากลัว
เธอไม่ได้แค่เกลียดเขาอีกต่อไปแล้ว...และนั่นคือสิ่งที่อันตรายที่สุด
เรื่องราวความรัก การแก้แค้น และการให้อภัยของลลินกับภาคินได้เดินทางมาถึงบทสรุปที่สมบูรณ์และงดงามแล้วในตอนที่ 26 ที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความแค้นและความไม่ไว้วางใจ...พวกเขาได้ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและอันตรายมากมาย จนกระทั่งสามารถเปิดโปงความจริงในอดีตและนำความยุติธรรมกลับคืนมาได้สำเร็จ ในท้ายที่สุด ทั้งสองก็ได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในอ้อมแขนของกันและกัน ปิดฉากสงครามที่ยาวนานและเริ่มต้น ‘ชีวิตคู่’ ที่เต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจในฐานะคนที่เท่าเทียมกัน เรื่องราวของ “Under His Command — ใต้คำสั่งของบอส” ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วครับ แต่เพื่อเป็นการส่งท้ายการเดินทางที่ยาวนานของพวกเขา ผมขอมอบภาพสุดท้าย...ซึ่งเป็นบทส่งท้ายของเรื่องราวทั้งหมดนี้ครับ บทส่งท้าย (Epilogue) ห้าปีต่อมา... สายลมทะเลอุ่นๆ พัดโชยมาปะทะใบหน้าของลลินอย่างแผ่วเบา เธอยืนอยู่ที่ระเบียงของ ‘ศูนย์พลังงานยั่งยืนอานนท์-วิทยา’ ในจังหวัดระยอง...สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเผยความจริงทั้งหมด บัดนี้...ศูนย์วิจัยเล็กๆ ได้เติบโตและขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นสถาบันวิจัยด้านพลังงานสะอาดชั้นแนวหน้าของประเทศ วันนี้เป็
กาลเวลา...คือแม่น้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับ มันพัดพาเอาความเจ็บปวดและความขัดแย้งให้จางหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงตะกอนแห่งความทรงจำและบทเรียนอันล้ำค่า หนึ่งปีต่อมา... สายลมเย็นๆ ของต้นฤดูหนาวในกรุงเทพฯ พัดโชยมาเบาๆ แต่ภายในห้องประชุมใหญ่ของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความอบอุ่นและความสำเร็จ ลลินในชุดสูทสีขาวสะอาดตากำลังยืนอยู่บนเวทีเบื้องหน้ากลุ่มนักศึกษาและนักลงทุนหลายสิบคน เธอไม่ได้ยืนอยู่ในเงาของใครอีกต่อไปแล้ว...แต่กำลังส่องสว่างด้วยแสงสว่างในตัวเอง ในฐานะผู้อำนวยการบริหาร...ผู้หญิงที่ได้สานต่อความฝันของพ่อให้กลายเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม “...และนี่คือตัวอย่างเพียงส่วนหนึ่งของนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากฝีมือของนักเรียนทุนรุ่นแรกของเราค่ะ” เธอพูดพลางผายมือไปยังผลงานที่จัดแสดงอยู่รอบๆ ห้อง “จากโครงการแผงโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กสำหรับชุมชนห่างไกล...ไปจนถึงแอปพลิเคชันที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ...ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่า...เมล็ดพันธุ์แห่งความอัจฉริยะที่พ่อของดิฉันได้หว่านไว้เมื่อสิบสองปีก่อน...บัดนี้ได้เติบโตและผลิดอก
หนึ่งเดือนหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริหารครั้งประวัติศาสตร์...พายุลูกใหญ่ที่เคยพัดถล่มพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์ ได้สงบลงแล้ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และท้องฟ้าที่สดใสและปลอดโปร่งกว่าเดิม คุณกิตติและพรรคพวกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย สมุดบัญชีลับเล่มนั้นได้กลายเป็นหลักฐานชิ้นเอกที่มัดตัวพวกเขาจนดิ้นไม่หลุด และเรื่องราวทั้งหมดก็ได้กลายเป็นตำนานบทใหม่ของวงการธุรกิจไทย...เรื่องราวของ CEO หนุ่มผู้กล้าหาญที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรม...และผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนหยัดเคียงข้างเขาอย่างไม่เกรงกลัว สำหรับโลกภายนอก...มันคือบทสรุปที่สวยงาม แต่สำหรับลลินและภาคิน...มันคือการเริ่มต้นของบทใหม่ในชีวิตจริง ลลินก้าวเข้ามาในที่ทำงานแห่งใหม่ของเธอ...สำนักงานของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ มันไม่ได้ตั้งอยู่ในตึกพีรพัฒน์ฯ แต่เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นที่ถูกรีโนเวทใหม่ทั้งหมดในย่านเมืองเก่าที่เงียบสงบ ภาคินทุ่มเทงบประมาณมหาศาลเพื่อเนรมิตที่นี่ให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์และความหวังอย่างแท้จริง ที่นี่...คืออาณาจักรของเธอ เธอไม่ได้เดินเข้ามา
รุ่งอรุณของวันใหม่หลังจากพายุที่โหมกระหน่ำได้พัดผ่านไปนั้น...สงบสุขและงดงามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลลินตื่นขึ้นมาในห้องนอนที่บ้านของภาคิน ไม่ใช่ในฐานะผู้ลี้ภัยหรือพันธมิตรในสงครามอีกต่อไป แต่ในฐานะคนรัก...ผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ค้นพบความสงบสุขเป็นครั้งแรกในรอบสิบสองปี แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาในห้องดูเหมือนจะอบอุ่นกว่าทุกวัน และอากาศที่เธอสูดเข้าไปก็ปราศจากความหนักอึ้งของความแค้นและความกังวล สงครามได้จบลงแล้ว...และพวกเขาคือผู้ชนะ เธอกับภาคินใช้เวลาในช่วงเช้าอันเงียบสงบนั้นเหมือนกับคู่รักธรรมดาทั่วไป พวกเขาทำอาหารเช้าง่ายๆ ด้วยกันในครัวที่โปร่งโล่ง บทสนทนาไม่ได้เกี่ยวกับแผนการลับหรือการวิเคราะห์ศัตรูอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องสัพเพเหระ...เรื่องที่ว่าใครจะล้างจาน...เรื่องแผนการที่จะหาเวลาว่างไปดูหนังด้วยกัน...มันคือความธรรมดาสามัญที่แสนจะมีค่า “ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ...ว่ามันจบลงแล้วจริงๆ” ลินพูดขึ้นเบาๆ ขณะที่นั่งจิบกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ในครัว มองแผ่นหลังกว้างของภาคินที่กำลังยืนล้างจานอยู่ ภาคินหันมายิ้มให้เธอ...เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโล่งอกอย่างแท้จริง “ผมก็เหมือนกัน” เขาวางจาน
เก้าโมงเช้า...ใจกลางกรุงเทพมหานคร...บนชั้น 33 ของตึกพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์...ห้องประชุมคณะกรรมการบริหารที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด บัดนี้กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของสงครามเย็นที่พร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ กรรมการบริหารแต่ละคนทยอยเดินทางมาถึงด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป กลุ่มที่เป็นพันธมิตรของภาคินมีแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลและไม่แน่นอน ในขณะที่กลุ่มที่เป็นคนของคุณกิตติกลับมีรอยยิ้มที่พึงพอใจประดับอยู่บนใบหน้า พวกเขารู้ดีว่าวันนี้...คือวันที่พวกเขาจะทำการ ‘เปลี่ยนขั้ว’ อำนาจครั้งใหญ่ และที่หัวโต๊ะ...ในตำแหน่งของประธาน...คุณกิตตินั่งรออยู่ด้วยความสงบเยือกเย็น เขาสวมชุดสูทผ้าไหมอิตาลีราคาแพง ดูน่าเกรงขามและเปี่ยมไปด้วยบารมีของผู้อาวุโสที่กำลังจะทวงคืนความยิ่งใหญ่...เขาคือผู้ชนะที่รอเวลาประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการเท่านั้น ในขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยการมาถึงของตัวละครหลัก...บานประตูไม้สักขนาดใหญ่ของห้องประชุมก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง! ทุกสายตาหันไปมองเป็นจุดเดียวกัน... ภาคิน พีรพัฒน์ ก้าวเข้ามาในห้อง...สง่างามและน่าเกรงขามในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มตัวเก่งของเขา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะ
ท้องฟ้าเบื้องล่างค่อยๆ เปลี่ยนจากสีดำสนิทเป็นสีน้ำเงินเข้ม แล้วเจือด้วยสีส้มของแสงอรุณที่ขอบฟ้า เครื่องบินส่วนตัวขนาดเล็กกำลังบินตัดผ่านหมู่เมฆ มุ่งหน้าจากทิศเหนือกลับสู่ใจกลางของพายุ...กรุงเทพมหานคร ภายในห้องโดยสารที่เล็กและเงียบสงบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังครางเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ลลินและภาคินไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่ความเงียบนั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความตึงเครียดเหมือนครั้งก่อนๆ...แต่เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยการทำงานร่วมกันอย่างเข้าขาราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน ภาคินกำลังใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัยที่สุดในการติดต่อกับเครือข่ายพันธมิตรของเขาในกรุงเทพฯ น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น เด็ดขาด และเต็มไปด้วยอำนาจ เขาไม่ได้อยู่ในสถานะของผู้ที่กำลังจะถูกถอดถอน แต่เป็นเหมือนแม่ทัพที่กำลังบัญชาการรบจากแดนไกล “คุณอาฉัตรชัยครับ” เขาพูดกับปลายสาย “พรุ่งนี้เช้า...ผมไม่ต้องการให้คุณอาโต้แย้งญัตติของคุณกิตติ แต่ผมต้องการให้คุณอา ‘ตั้งคำถาม’...ตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ตั้งคำถามถึงหลักฐาน และที่สำคัญที่สุด...ตั้งคำถามถึง ‘แรงจูงใจ’ ที่แท้จริงของคุณกิตติในการทำเรื่องนี้...เราต้องทำ







