แม็กซิมอนรออีกหนึ่งชั่วโมง ลูซินด้าจึงพาเขาเข้าพบซีโนฮอฟ เอไลโต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแห่งนี้ แล้วยังเป็นหนึ่งในสภาปกครองอันประกอบไปด้วยสมาชิกผู้เรืองปัญญาจากหลายสาขา การทหาร กฎหมาย วิศวกรรม นวัตกรรม อวกาศ ภาษาศาสตร์ และอื่น ๆ แม้ซีโนฮอฟเป็นหัวหน้าใหญ่ในกลุ่มสาขาวิจัยทางการแพทย์ แต่เนื่องจากเคสเอชโอวันและทอยซิตี้เป็นเคสพิเศษ หน่วยทหารจึงมีเอี่ยว
ชั้นผู้บริหารอยู่สูงขึ้นไปอีก และกว่าจะผ่านเข้าแผนกยังต้องสแกนม่านตาผ่านระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ทว่าเมื่อเข้ามายังห้องทำงานของซีโนฮอฟกลับพบเพียงร่างโฮโลแกรม นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ใช้วิธีเข้าประชุมผ่านการสื่อสารทางไกล
ร่างโฮโลแกรมซีโนฮอฟยืนอยู่หลังโต๊ะทำงาน พอเขาหันมาเห็นแม็กซิมอนจึงผายมือให้นั่ง ลูซินด้านั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ ในมือถือแท็บเล็ตพร้อมจดรายละเอียด
“ลูบอกว่าคุณมีเรื่องสำคัญที่ต้องพบผมโดยเฉพาะ”
“ครับ” แม็กซิมอนกล่าว ซีโนฮอฟมีนัยน์ตาเรียวคมและแทบจะชิดกลืนไปกับคิ้ว ใบหน้าจึงเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หากนับตามอายุ แม็กซิมอนแก่กว่าเพียงยี่สิบปี แต่ลักษณะทางกายภาพของซีโนออฟอ่อนเยาว์กว่า ที่น่า
รอยเท้าบนพื้นทรายลากยาวไปตามตรอกจากนั้นเลือนหายไปกลายเป็นรอยล้อรถแทนที่ เขาหยุดอยู่ตรงนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วจำไม่ได้ แต่ร่องรอยของสองคนนั้นมีเพียงแค่นี้ เสียงย่ำเท้าของอีกคนตามมาด้านหลัง“เธอคิดว่าพวกมันไม่เห็นกล้องเหรอ เธอคิดว่าพวกมันไม่มีทางไม่รู้ว่าพวกเธออยู่ไหนเหรอ” เทสซ่าไม่ตอบ เธอแค่วางมือบนไหล่เขาเพื่อปลอบใจการเริ่มต้นใหม่ขรุขระตั้งแต่วินาทีแรก เสียงน้ำฝนดังเป็นจังหวะช้า ๆ ก่อนจะตกรัวลงมาเป็นห่าใหญ่ น้ำจากเบื้องบนกระทบศีรษะเพียงนิดหน่อย เพราะเทสซ่ายื่นแขนกางร่มบังให้ ไม่นานทรายไหลมากองรวมกัน ร่องรอยทั้งหมดไม่เหลืออีกแล้ว เขาปาดละอองน้ำฝนและเหงื่อที่คลุกเคล้าเป็นน้ำเดียวกันออกจากแก้ม แดดร้อนอบอ้าวมาหลายวัน คืนนี้ฝนจึงตกหนัก“พวกเขาอาจหายไปในราซา มีคนหายไปเสมอ สองสามคนต่ออาทิตย์ ส่วนใหญ่เป็นพวกเร่ร่อนไม่มีชิป ไม่มีที่นอน” เสียงเทสซ่าสั่น “เข้าข้างในเถอะไมเคิล พวกเรามีเรื่องให้ถกเยอะแยะ”เขาไม่ขยับ พวกเขาถกกันมาหลายรอบแล้ว และสุดท้ายก็จบลงที่ความว่างเปล่า“เรมีบอกว่าพวกนายจะอยู่ที่นี่”เข
“ไม่หรอก ยากอยู่” ฟีบี้เถียง “เรื่องปล้นชิปก็น่าคิดนะ ขนาดเจ้าของบาร์ยังเตือนเลยว่าอย่าไปไหนเปลี่ยว ๆ ตามลำพัง”“แต่ถ้าปล้นก็ไม่น่าต้องเอาตัวไป” อเล็กซ์ว่า “หรือทั้งสองอย่าง”“จะว่าไป ฉันฝัน...” มินนี่แทรกขึ้น โคดี้กับฟีบี้พร้อมใจกันถอนหายใจยาว “ฉันพูดจริงนะ” เด็กสาวยืนกราน แววตาหาได้ล่องลอยอย่างเมื่อก่อนไม่ “ฉันคิดว่าเป็นฝีมือเบ็กกี้ เบ็กกี้พยายามติดต่อฉัน หลายคืนมานี้ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองนอนนิ่งอยู่บนเตียง ขยับไม่ได้ เห็นดวงไฟสว่างจ้า อึดอัดมากเลย...”“เดี๋ยวนะ” ไมเคิลกับเรมีร้องออกมาพร้อมกัน ตกใจด้วยกันทั้งคู่“คือ ฉะ...ฉันก็เห็นอะไรคล้าย ๆ แบบนี้ ดวงไฟและความอึดอัดแบบ...” เรมีพยายามอธิบาย ดวงตาสีน้ำตาลชำเลืองมองไมเคิลเหมือนจะถามว่า ใช่หรือเปล่า เขาพยักหน้าหงึก ๆ น่าตลกที่ทั้งสองเป็นรูมเมทกัน แต่ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยเพราะต่างคิดว่ามันเป็นแค่ฝัน ถึงแม้จะฝันติดต่อกันมาสองสามวันแล้วก็ตามคนทั้งโต๊ะเริ่มสนใจฟังมินนี่ขึ้นม
“ดีนะที่อเล็กซ์เลี้ยงเบียร์เมื่อกี้”เขาชะงักมือที่กำลังจะหยิบเบคอน “หา” นึกว่าเทสซ่ายกเบียร์ของเธอให้เขาเสียอีก (แน่นอนว่าพอเธอส่งให้ เขาไม่คิดถามว่าเลี้ยงหรือไม่สักนิด ให้คือให้)เรมียักไหล่ “อาคุสะกับอเล็กซ์เพิ่งชนะเควสประจำวันไป สองคนนั้นเลยมีเงินอื้อเลย”“หนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยชิปกับคูปองเสบียงราคา ถ้าหารสองก็จะคนละหกพัน!” ไมเคิลกล่าวเหมือนท่องจำ (“หกพันสองร้อยสิบนะ อันที่จริง” เรมีแก้) “แม่ง” ว่าแล้วก็หยิบเนื้อสันในลงในตะกร้าทันที ไม่เข้าใจเลย ทั้งที่ตัวเองวิ่งเร็วและมีพละกำลังเหนือคนอื่น แต่ก็ยังไม่สามารถหยิบธงโง่ ๆ ได้ นี่สินะที่ปาสคาลบอกว่ากลยุทธ์ที่ดีนั้นสำคัญ“มันราคาสามร้อยกว่าเลยนะ” อีกฝ่ายเตือนเขายักไหล่ “พรุ่งนี้ไปเล่นเควส อย่างน้อยก็ได้มาอีกสองร้อยห้าสิบ แล้วเวลาที่เหลือฉันจะทำงานล้างจานอย่างเดียว”เรมีฟังแล้วทำท่าคิดคำนวณในหัว “โอเค นายจะได้ชิปประมาณหกร้อยถึงเจ็ดร้อย แล้วเรื่องอเล็กซิสกับเบ็กกี้ล่ะ พวกเราจะมีเวลาสืบไหม&rdq
อากาศข้างนอกร้อนอบอ้าว แต่ข้างในระอุยิ่งกว่า บลูไม่ละสายตาไปจากดวงตาสองสีที่กำลังจับจ้องการเคลื่อนไหว จนกระทั่งเธอหลับตา ริมฝีปากเผยอก่อนครางออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสุขสุดยอด บลูครางในลำคอกระหึ่มด้วยความรู้สึกเดียวกันก่อนเอนตัวลงนอนทับร่างเปลือยเปล่า กลิ่นหอมจากตัวเดสซิเรทำให้เขานึกสงสัยว่าเธออาบน้ำมันหอมระเหยสกัดจากดอกไม้ทุกชนิดบนโลกหรืออย่างไร มือของเขาจับปลายผมสีทองไล่วนตรงเนินอก ฟังเสียงลมหายใจเข้าออกและจังหวะหัวใจที่เต้นช้าลง ยายบ้านี่ไม่ต่างจากม้าพยศที่ต้องการให้ครูฝึกอย่างเขาคอยปราบอยู่ตลอดไม่นานเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล เขาลุกขึ้นปล่อยให้เธอนอนพักอยู่บนโซฟา “นึกยังไงถึงตัดผมสั้นข้างเดียว” แล้วใช้เท้าจิกเสื้อผ้าขึ้นมาสวมทีละชิ้น “ฮื้อ?”“ถ้ามันไม่เวิร์ค ก็ยังเหลืออีกข้างที่ยาวไง”นั่นสินะ ถ้าออกจากปากคนอื่นคงฟังดูงี่เง่า แต่เมื่อออกจากปากเดสซิเร มันฟังดูสมเหตุสมผลได้อย่างน่าเหลือเชื่อ “ลุกเถอะ เจ้าเพียซมาแล้ว” เขาโกยเสื้อผ้าของเธอแล้วโยนใส่ หญิงสาวทำเสียงจิ๊จ๊ะเสียงฝีเท้าดังตึงตังใกล้ขึ้นทุกที เขากดดันเดสซิเรด้วยการจ้องอยู่อย่างนั้นจนเธอค่อย ๆ ลุกขึ้น สวมเสื้อผ้าอย่างเชื่องช้า
“เขาก็เป็นแบบนี้” เดสซิเรยักไหล่ ไม่ใส่ใจคำพูดของบลู “แต่เด็กคนนั้นน่ารักดีนะ ฉันชอบ ถึงจะดูนิ่ง ๆ ไปหน่อยก็เถอะ เฮ้อ อยู่กับพวกนายไม่มีใครมีเซ้นส์เลย ไปผูกมิตรดีกว่า” เธอเดินเหมือนเต้นรำแล้วออกไปอีกคน บลูเกาหัวยิก ๆ“เอมอนช่วยเด็กคนนั้นเพราะต้องการตอบแทน” ริงโก้เป็นฝ่ายเริ่มเล่า บลูอยากจะขอบคุณเขาสักร้อยรอบ “พวกเราปะกับกลุ่มเมลิสซ่าเข้าให้ นายก็รู้จักน้องตัวเอง พอเป็นผู้หญิง หมอนั่นก็ทำตัวสุภาพบุรุษ อีพวกนั้นร้ายจะตาย เล่นก็แรง เด็กคนนั้นช่วยเตือนให้ตอนจะถูกเล่นงาน พวกเราเลยเอาชนะเมลิซซ่าได้”“ร้องเตือน? โง่ชะมัด” บลูกอดอก โดยปกติแล้ว ไม่มีใครวิ่งทื่อ ๆ หรือล้มหุ่นยนต์เพื่อเคลียร์เอาธงหรอก แต่ละทีมล้วนต้องสกัดอีกทีมไม่ให้เข้าถึงธงได้ง่าย ๆ ด้วย “เด็กใหม่”“ใช่” ริงโก้เล่าต่อ “เธอไม่รู้เรื่องหยิบธง ไม่รู้เรื่องสกัดขา ไม่รู้เรื่องอะไรเลย สู้กับหุ่นอย่างเดียว แต่เพราะแบบนี้เอมอนเลยอยากตอบแทน”“ใจสู้ใช้ได้นะ” โอลิแวนเสริม แต่เมื่อเจอสายตาแฟนหนุ่มก็รีบท
เนื่องจากมติเอกฉันท์ว่าบรูโน่ต้องออกไป เย็นวันนั้นบลูกับเดสซิเรจึงเดินจ้ำอ้าวไปยังห้องหมายเลขสี่ของชั้นสอง หากมองเผิน ๆ คงดูเหมือนตึกบ้านเช่าทั่วไป ทั้งประตูไม้และกำแพงฉาบปูนเปลือย แต่พวกเขาใช้เวลาสองปีกว่าจะมีชิปพอซื้อตึกเป็นของตัวเอง แต่มันก็แลกกลับชีวิตของเพื่อน จากกลุ่มนับสิบคน เหลือสี่ จนมีเดสซิเรและโอลิแวนเข้ามาเพิ่ม ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ใช้สแกนนิ้วมือ รวมทั้งกลอนประตูก็ใช้วิธีนี้ ทันทีที่มาถึงจุดหมาย เขาเคาะประตู มีเสียงตะโกนออกมาดังลั่นว่า “ไม่จ่ายโว้ย ไม่มี ไม่มี เข้าใจกันบ้างสิวะ” มุมปากของผู้ที่อยู่เหนือกว่ากระตุกเป็นรอยยิ้ม ใช่ ถึงต้องใช้วิธีสแกนนิ้วแต่เพราะพวกบลูเป็นเจ้าของตึก ดังนั้นในหกคนนี้จึงมีสิทธิเข้าห้องไหนก็ได้เมื่อเห็นพ้องกัน และเมื่อนั้นระบบจะปลดคำสั่งสแกนนิ้วของห้องนั้นออกไป กลายเป็นห้องว่าง วิธีนี้นำมาใช้กับเวลาเลิกสัญญาเช่า เพียงบิดลูกบิดแล้วเปิด พวกเขาก็เข้าถึงตัวผู้เช่าจอมเบี้ยวหนี้บรูโน่ก้มตัวลง ท่าทีผิดจากน้ำเสียงตอนแรก “ได้โปรดเถอะบลู ฉันไม่มีชิปให้นายเลย”เขาส่ายหน้า “สองเดือนแล้วบรูโน่ ไม่มีข้อแม้
“อื้อ เขตราซาจึงถูกปิด” พวกเขาเดินเข้าไปในซูเปอร์ “นี่ไง เราซื้อข้าวกันที่นี่ เธอน่าจะเห็นว่ามีร้านอาหารอยู่บ้าง แต่ชิปแค่นี้คงไม่เหมาะกินอะไรแบบนั้น ยิ่งดึก ข้าวกล่องจะลดราคา ระบบก็คล้าย ๆ ...ที่พวกเราจากมา” เขาหัวเราะเบา ๆ นิวโฮปหรือ แทบลืมไปแล้วว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร “เธอเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือเปล่า”“เปล่า”“งั้นก็แปลก”“ทำไมเหรอ” อเล็กซิสขมวดคิ้ว เธอชอบหยุดเดินเพื่อซัก บลูจึงเร่งให้เลือกของ“ได้ยินว่ารักษาตัวอยู่กับเฒ่าทรอยเป็นวัน ๆ...”“สี่วัน”“นั่นแหละ”ด้านในซูเปอร์เหมือนร้านค้าปกติ มีแผนกของแห้ง เนื้อสัตว์ อาหารสำเร็จรูป ของใช้ บลูหยิบขนมปังแถวลงตะกร้า อเล็กซิสถืออีกตะกร้า พอเห็นราคาของแล้วไม่กล้าหยิบ “ทำไมถึงว่าแปลก” เด็กสาวยังซักบลูหยิบเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ลงตะกร้ามากมาย “เพราะไอ้เฒ่าทรอยนะสิ...”“ทำไมล่ะ เขาดูแลฉันดีมาก”ชายหนุ่มส่ายหัวกับความไม่รู้ของเด็ก “นั
“เธอร้องทั้งคืน เทส ฉันไม่ได้นอนเลย ไม่ไหวจริง ๆ” คำพูดของเบลินดาวนเวียนอยู่ในหัว จนกระทั่ง “เทสซ่า” ไมเคิลปลุกเธอตื่นจากภวังค์สถานการณ์ตรงหน้าตอนนี้สาหัส หุ่นยนต์สามตัวยืนจังก้าขวางทางราวกับเป็นผู้พิทักษ์สมบัติ มีสติสิยัยบ้า หญิงสาวด่าตัวเอง พยายามอย่างยิ่งที่จะเพ่งสายตาไปยังส่วนหัว มวลพลังก่อตัวภายในเหมือนพายุในทะเล เทสซ่าปลดปล่อยมันออกไป เสียงสร้างแรงสะเทือนเคลื่อนตัวเป็นเส้นคล้ายใบมีดตัดศีรษะหุ่นเหล็กขาดออกจากกัน รอยยิ้มปรากฏเพียงครู่เดียว เพราะภาพโนเอลฉายขึ้นมา...หากฉันทำได้มากกว่านี้ หากตอนนั้นควบคุมมันได้ดีกว่านี้ เธอถอนหายใจ เทสซ่าถือว่าตัวเองพัฒนาไปมากหากเทียบกับแบนชีที่เบนชอบล้อเลียน ทว่าดีใจได้ไม่ทันไร กระสุนปริศนาเกือบแฉลบบาดกระพุ้งแก้ม โชคดีสองชั้นเมื่อเรมีไหวตัวทัน ทำตัวเป็นเกราะคุ้มกันห่ากระสุนจากอีกทีม ไมเคิลเหวี่ยงหุ่นที่ยังทำงานอยู่ใส่กลุ่มนั้นเป็นการเอาคืน หางตาของเธอเหลือบเห็นโคดี้วิ่งจ้ำอ้าวใกล้ถึงธง“นายไม่เป็นไรนะ” เธอถามเพื่อนหัวโมฮอว์กเขาส่ายหัว “อย่าเหม่อสิ” ออกปากเตือนแล้วรีบวิ่งตามโคดี้ไปทั้งที่เสื้อขาด เทสซ่าหงุดหงิดที่ตัวเองคงสมาธิไว้ไม่ได้ คิดได้เช่นน
เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเหลือบตาขึ้น “อื้อ”“ฉันหมายถึง...” หางตาเด็กหนุ่มเห็นเงาคนแอบฟังอยู่ และคนคนนั้นเป็นผู้หญิง จึงเดินออกมาให้ห่างเพื่อไม่ให้อยู่ในรัศมีที่ได้ยิน “ไม่ใช่เพราะว่าเธอคือคนคนเดียวที่นายเหลืออยู่อะไรแบบนั้นนะ” นี่คือสิ่งที่เขากังวล...เขากลัวว่าอเล็กซ์จะยึดอเล็กซิสแบบที่เขายึด“ไม่ใช่แบบนั้น” ครั้งนี้แววตาของเขาแน่วแน่ ไม่มีลังเล ไมเคิลพยักพเยิดไปทางขวา อเล็กซ์ขยับปากเป็นคำว่า คิตแคต แล้วยักไหล่ไม่ให้สนใจ ไมเคิลจึงขยับเท้าให้เกิดเสียง เงานั้นหายไปเหมือนรีบหลบเขาถอนหายใจ ลังเลที่จะวางมือบนไหล่ชายหนุ่ม แต่สุดท้ายก็วาง “ที่นายสงสัยฉันกับเธอ ไม่มีอะไรนะ ก่อนหน้านั้นฉันไม่ได้คิดกับอเล็กซิสมากกว่าเพื่อน แต่เพราะพวกเราสนิทกันเรื่อย ๆ มันเหมือนมีบางสิ่งที่ดึงดูดฉันให้เข้าไปหาเธอ เธอเป็นคนอบอุ่นมาก”แก้มของชายหนุ่มกระตุกนิดหนึ่ง “อาคุสะบอกว่านายกับเธอมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น มันมากกว่าเพื่อน” ชายหนุ่มว่า“ฉันไม่รู้หรอกว่าอาคุสะจะเห็นอะไร” เขาส่ายหัว
ความโกลาหลชั่วครู่หยุดลง “กลุ่มบีทุกคนปลอดภัย ที่พวกผมดึงมือดีมาไว้ที่กลุ่มเอก็เพราะการปะทะกับหุ่นยนต์นั้นหนักหนากว่ามาก และเมื่อถึงเรดโซน เมื่อนั้นก็จะไม่มีกลุ่มเอและบี แต่จะเป็นกลุ่มเดียวกัน ผมขอให้พวกคุณเข้าใจเหตุผลด้วย ขอให้นึกถึงเพื่อนที่หายตัวไปเข้าไว้ พวกเรามาที่นี่เพื่อหาเหตุผลว่าทำไม พวกเขาถูกจับตัวไป”เมื่อกี้กลุ่มบียังรายงานอยู่เลยว่าเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเรดโซน แผนการไม่ได้ดำเนินไปตามที่วางไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พวกเขาไม่ชี้แจง ทว่าคำพูดของกลีเมื่อครู่ทำให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่ บางส่วนปล่อยให้หน่วยพยาบาลทำหน้าที่ต่อไป บวกกับทหารที่ล้อมเข้ามา กลีสั่งให้พวกเราพักก่อนจะเดินทางไปต่อยังเรดโซน และครั้งนี้พวกเขาประกาศชัดเจนว่ามีโซนติดเชื้อแน่นอน เพราะมันคือศูนย์อนามัยที่อเล็กซิสกับไมเคิลเคยเข้าไปเช่นกัน แต่สำรวจไปไม่เท่าไรก็ออกมา ทั้งห้าคนปรึกษากันโดยปราศจากแม่สาวคิตตี้...หรือคิตแคตแล้ว คนที่เงียบที่สุดกลับเป็นโคดี้ที่ไม่พูดอะไร หากแต่แววตาครุ่นคิดตลอดเวลา มินนี่นั้น...ก็ยังเป็นมินนี่ เธอห่วงเทสซ่า แต่ยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก“บางทีเราอ
“เรากำลังจะอธิบาย ไปพักก่อน” หัวหน้าหน่วยรุก ไทรอนกล่าว หมวกนิรภัยของเขายังเปิดอยู่ แต่ไม่ปิดทั้งหน้าเหมือนตอนสู้ “ไทรอน กลุ่มเอ ภารกิจที่ศูนย์บัญชาการกลางเสร็จสิ้น”พวกเขากลับไปสมทบกับสองสาวที่เหลือ ทั้งหมดสบตากันแต่ไม่พูดอะไร เบลินดากับมินนี่ส่งน้ำให้พวกเขาดื่ม หน่วยพยาบาลเริ่มเดินตระเวนเช็กอาการบาดเจ็บทีละคน ขณะนั้น หางตาไมเคิลเห็นกลี หัวหน้าหน่วยพยาบาลปีนขึ้นบนรถถังก่อนจะนั่งลงเต๊ะท่า ทุกคนต่างมองเขาเป็นจุดเดียว เพราะไม่ใช่แค่อากัปกิริยาหากแต่เป็นภาพลักษณ์“ไอ้หมอนั่น กลี” โคดี้บอก ไม่รู้ว่าไมเคิลรู้จักแล้ว “หมอนั่นยืนกรานจะเข้าไปกับพวกหมอในฐานะหมอ ทั้งที่คนอื่นห้าม เขาเป็นหัวหน้าหน่วยพยาบาลก็จริง แต่ดูเหมือนจะใหญ่กว่าทหารเสียอีก น่าจะเป็นพวกบ้า”“แปลกดีนะ” อเล็กซ์ว่าจู่ ๆ ก็มีสาวผมสั้นสีดำเดินตรงเข้ามาในกลุ่มพวกเขา แต่เธอจ้องแค่อเล็กซ์ “นายเป็นไงบ้าง ฉันเป็นห่วงแทบแย่” มือข้างขวาลูบแขนชายหนุ่ม ทั้งสี่คนมองตาม เมื่อนั้นโคดี้หลิ่วตาให้ไมเคิล เขาจำเธอได้ ผู้หญิงคนนี้เคยวิ่งตา
“คุณยังไม่ได้เปิดไมค์”“ช่างเถอะน่า” ไมเคิลวิ่งถลันไปทางโถงบันได ทันใดนั้นกลุ่มหุ่นยนต์ที่ดักอยู่ข้างหลังปลิวกระเด็นไป ชายคนหนึ่งแตะไหล่เขา ไมเคิลรู้ว่าเป็นฝีมืออเล็กซ์ทันทีเมื่อเห็นดวงตาสีดำผ่านแถบกระจก ชายหนุ่มโยกหัวไปทางบันได เขาผงกศีรษะ ทั้งสองวิ่งลงไปก่อนทหารอีกสี่ห้านายจะตามลงมาประกาศยังคงดังเรื่อย ๆ “ทรอย ส่งกำลังคุ้มครองกลีด่วน ย้ำ ส่งกำลังคุ้มครองกลีด่วน”กลี? เขานึกออกแล้ว คุณหมอที่มีรอยสัก นั่นมันระดับหัวหน้านี่นา คนแบบนั้นลงสนามด้วยตัวเองเลยเหรอ ไมเคิลนึกชื่นชมในใจ เขากับอเล็กซ์แทบจะกระโดดลงบันไดในก้าวเดียว“ใครพาเขาเข้ามาในตึกวะ”เสียงแสตนเนอร์ดังก้องในหัว ดูท่าว่าทหารผู้นี้จะลืมปิดไมค์อเล็กซ์ซัดพลังอีกครั้ง พวกเขาถึงชั้นสามอย่างรวดเร็ว เห็นหน่วยพยาบาลสองคนนอนตายจมกองเลือดคาบันไดลงชั้นสองในขณะที่เปลหามร่างผู้ป่วยตกลงข้างกาย ส่วนคนเจ็บกลายเป็นศพขาดครึ่ง เขาเบือนหน้าหนี หน่วยสนับสนุนกำลังปกป้องหมอพยาบาลและคนเจ็บอยู่ เขาไม่รู้ว่าใครคือกลีแม้แยกหน่วยออก เพราะพวกหมอสวมเครื่อง
ด้ามแหลมโลหะฟันฉับตัดข้อต่อ ปืนกลอัตโนมัติหล่นพร้อมกับท่อนแขนเหล็ก ไมเคิลหมุนข้อมือขวาฟันดาบฉับตัดคอก่อนที่ระบบเลเซอร์ทำงาน เขาอุตส่าห์หักข้อมืออีกที กดด้ามดาบแล้วลากยาวจนลำตัวมันขาดครึ่งเพียงแค่อยากได้ยินเสียงคมดาบเสียดสีกับโลหะก็เท่านั้น“เบเลียน กลุ่มบี เป้าหมายถูกประกาศให้เป็นเรดโซนตั้งแต่นี้เป็นต้นไป”อะไรนะ เสียงประกาศดังขึ้นในหัว เขารับมือกับหุ่นยนต์อีกตัวที่โถมเข้ามา เป้าหมายของกลุ่มบีเหรอ คราวนี้มันไม่มีปืนกล และไมเคิลเคยประมือกับเพื่อนฝูงมันมาแล้ว อาวุธที่เขาเลือกเป็นดาบคู่ ไม่แน่ใจว่ามันเหมือนกับดาบของนายทหารที่ตายคนนั้นหรือไม่แต่ด้ามที่เขาถืออยู่คมกริบและใช้งานง่ายไม่ต่างจากครั้งก่อน ปืนสองกระบอกเหน็บข้างเอวและปืนไรเฟิลที่สะพายแปะอยู่กับหลังนั้นกลายเป็นม่าย เด็กหนุ่มสนุกกับการใช้ดาบมากกว่า ทว่า...เรดโซน? ข้อนี้ยังคาใจนัก“เบเลียน กลุ่มบี หน่วยกำกับการป้องกันโรคระบาดถูกเรียกประจำการ”โรคระบาด? เขาทำลายศัตรูอีกตัว เกิดอะไรขึ้นกับที่นั่นกันแน่ นี่เป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด เวลาถูกแยกออกจากอเล็กซิสทำให้สมาธิของเขาครึ่งหนึ่งหายไปกับเธอ เขาอยู่ในหน่วยรุกกลุ่มเอเหมือนกับอเล็กซ์ แ
บลูรู้แล้วว่าเขาได้อยู่กลุ่มบี แต่ต้องลุ้นว่าตัวเองจะได้อยู่หน่วยไหน และสุดท้าย “บลู เทอร์นเนอร์” เขาตบบ่าเพียซและโอลิแวนเพื่อไปเข้ากับหน่วยรุก ชายหนุ่มจงใจเดินผ่านลูกบ้านสาวตาน้ำเงิน เธออยู่กลุ่มบีกับเขา แต่น่าจะเป็นหน่วยสนับสนุน สีหน้าเด็กสาวบ่งบอกว่าประหลาดใจเมื่อเห็นบลู แค่นั้นเขาพอใจกลุ่มของเขาจะบุกตึกร้าง ซึ่งบลูไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนเพราะไม่ได้เข้าอบรมเหมือนคนอื่น แม้เขาเคยเห็นราซาในสภาพเมืองที่มีชีวิตมาก่อนเมืองร้าง แต่ในเมื่อมันเป็นเมืองร้าง ตึกทุกแห่งย่อมร้างผู้คน รถถังเคลื่อนทัพนำไปก่อน ภายในใจเริ่มปล่อยวางเมื่อเห็นว่าพวกทหารเป็นฝ่ายห้อมล้อมกลุ่มอาสา หาได้ปล่อยให้พวกเขาเป็นแนวหน้าไม่ แม้จะอยู่ในหน่วยรุก พวกเขายังรอฟังคำสั่งจากหัวหน้าหน่วยอยู่ดี และพวกทหารจะเป็นฝ่ายเปิดคอยระแวดระวังให้ก่อน กลุ่มอาสามาเพิ่มกำลังให้จริงดังคำเชิญชวน บลูค่อนข้างเหงานิดหน่อยเพราะโอลิแวนและเพียซอยู่แถวหลัง ๆ แม้บางคนเขารู้จักแต่แค่เพียงผิวเผิน บลูจึงผูกสัมพันธ์กับรีเวอร์ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มต้องสงสัยไม่กี่คนในหน่วยนี้ เขาเรียกว่าไรดี การต่อสู้คราวนั้นก่อให้เกิดมิตรภาพได้ ด
“ถ้างั้นเลือกสักอย่างเผื่อไว้” เจ้าหน้าที่กดปุ่มบนโต๊ะ ตัวแผ่นพลิกขึ้นเผยให้เห็นคลังอาวุธข้างใน ทว่าแม้บลูจะพอเดาได้ว่าอันไหนปืน อันไหนมีด แต่เขาใช้ไม่เป็นเลยสักอัน จึงสุ่มเลือกมีดสั้นด้ามหนาขึ้นมา มันมีลักษณะเหมือนมีดพกธรรมดา เขาถนัดของเบสิก“อันนี้สามารถเสียบไว้ใต้แขน”ชายหนุ่มหงายแขนตัวเองขึ้น เห็นที่เสียบเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ “ใช้ยังไงเหรอ”ทหารหนุ่มจับมีดแล้วตวัด ใบมีดโผล่ออกมา “เหมือนมีดพกก็จริง” เขาตวัดกลับ ใบมีดกลับเข้าไปข้างใน บลูจ้องตาไม่กะพริบ เมื่อใช้นิ้วโป้งกดตรงสัน ใบมีดโค้งโผล่ออกมาจากปลายทั้งสองด้าน และเมื่อมันถูกเขวี้ยงออกไปกลับแล่นกลับมาหาเจ้าของคล้ายกับบูมเมอแรงนั่นเอง “ลองดู”บลูมองมีดในมือแล้วตวัดไปตวัดมา จากนั้นลองใช้แบบบูมเมอแรง อุปกรณ์นั้นใช้ง่าย อาจเป็นเพราะมันมีระบบอัตโนมัติติดตั้งเอาไว้ให้ ไม่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญมากนัก“มีสองที่ ก็เอาไปสอง” เขาหงายมือแล้วเสียบมีด จากที่ตัวเบาก็เริ่มพะรุงพะรังขึ้นนิดหน่อย “หมดแล้วใช่ไหม” เขาถาม&ldqu
หน้าประตูเหล็กสีดำ นายทหารสองนายยืนประจำการเฝ้าอยู่ พวกเขามองไปรอบ ๆ แปลกใจที่ไม่เห็นกลุ่มคนเลยทั้งที่นาฬิกาบ่งบอกเวลาว่าเพิ่งเจ็ดโมงยี่สิบเจ็ดนาที ในใจบลูหวาดกลัวว่ามันอาจเป็นกลลวง และเอมอนอาจตกอยู่ในอันตรายจึงปรี่เข้าไปหาเจ้าหน้าที่ทั้งสอง พอเห็นชายสองคนตรงเข้ามา ทั้งสองนายพร้อมใจกันยกมือให้พวกเขาหยุด “อาสาสมัครใช่หรือไม่ ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้”“พวกเราไม่ได้ลงทะเบียน” เขาตอบ “พวกเขาไปกันแล้วเหรอ”ทั้งสองคนมองหน้ากัน คนหนึ่งพยักหน้า ชี้นิ้วโป้งไปทางประตู “เตรียมตัวอยู่ข้างใน ถ้างั้นพวกนายก็กลับไปซะ”“เดี๋ยว” อีกคนยั้งเพื่อนไว้ ทำมือบอกพวกเขาให้รอตรงนี้ทหารคนนั้นทาบมือกับบานประตู แผ่นเหล็กเลื่อนลงเผยให้เห็นช่องทึบข้างใน บลูจะชะโงกหน้าดู แต่เมื่อเห็นอีกคนที่เฝ้าอยู่เหล่มองก็ก้มหน้า ไม่กี่วินาทีต่อมา “บอกชื่อพวกนายมา” เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับริงโก้ แล้วตอบไป“บลู เทอร์นเนอร์”“โบธิสต้า ซานโดวอล”นั่นคือจริงของริงโก้ เขาไม่รู้ที่มาว่าทำไมชายคนนี
บลูสลัดมือแล้วเช็ดเสื้อชายหนุ่ม เวลาเขาอยู่ข้างริงโก้ทีไรรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์บอบบางที่พยายามล้มช้างแมมมอธ พอโดนแกล้งคืน ริงโก้ฮึดฮัด บลูยิ่งหัวเราะสะใจ “ฝากที่เหลือด้วยนะจ๊ะที่รัก” แล้วคว้าลังเบียร์เดินออกไปเลย ใครจะอยู่ฟังคำสบถแสลงหูเล่าดาดฟ้ากลายเป็นที่ประจำของบลูไปเสียแล้ว มือหนึ่งดีดฝาไฟแช๊ก อีกมือหยิบบุหรี่ ปากคาบแล้วจุดลมเย็นพัดผ่านร่าง หากไม่ได้สวมเสื้อแจ็กเกตกันหนาวคงสะท้านน่าดู ไม่ทันที่เขาจะหย่อนก้นลงบนม้านั่ง เอมอนเปิดประตูเหล็กอย่างแรง มือหนึ่งถือกล่องกระดาษ อีกข้างถือแผ่นพับกระดาษ “เล่นกันไหม”“เออ จัดเลย”น้องชายกางตารางกระดาษลงบนโต๊ะ เทของข้างในออกจากกล่อง มันเป็นฝาขวดที่เขาสะสม จากนั้นวางมันลงแทนหมากบนตาราง “ยัยเด็กนั่นเป็นไงบ้างล่ะ”เอมอนแบมือ เขาส่งซองบุหรี่ให้ “อย่างที่ริงโก้ว่า เธอใช้ยาระงับอาการ ตอนริงโก้เคาะเลยเปิดให้ไม่ได้ ตอนนี้เดสก็ทดลองถอนพิษให้อยู่” ชายหนุ่มหยุดคิด “แต่ไม่น่าจะทำได้”ดูเหมือนว่าความล้มเหลวทำให้เอมอนเลิกโลกสวย “แ