“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ”
“ฝันดีต่างหาก”
“ฝันถึงแม่ฉันใช่ไหมล่ะ”
“อื้อ ฝันดีที่สุดเลย” เบนเน้นเสียง
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ต้องจากหอพักแห่งนี้ วันที่จะได้รู้ความจริง (หรือเปล่า) วันที่...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ห้องโถงอยู่ชั้นล่างสุด ครั้งก่อนมันเป็นที่สำหรับตรวจสุขภาพ บูทคลินิกถมที่ว่างจนเต็ม วันนี้ทั้งห้องกลับเปิดออกโล่ง มีเพียงประตูเหล็กบานใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนกำแพงฝั่งตรงข้ามกับทางเข้า และใช่ เมื่อก่อนไม่มีประตูบานนี้ ทุกคนตั้งแถวเรียงหน้ากระดาน เรียงลำดับจากการเข้าพักอาศัยก่อนหลัง สายตาแต่ละคนล้วนเฝ้ารอคำอธิบายอย่างใจจดใจจ่อ บ้างยืนไม่สุข บ้างยืนนิ่งแต่ภายในใจกลับกระวนกระวายว้าวุ่น
เบน อเล็กซ์ และซาร่าห์ยืนอยู่แถวหน้าเพราะพวกเขาเป็นกลุ่มแรก เจ้าหนุ่มหัวเงินยืนอยู่
ข้างอเล็กซ์ด้วยเช่นกัน พวกโธมัสยืนอยู่แถวที่สองข้างหลังกลุ่มพวกเขาอีกที ส่วนพวกเด็กซานโบซ่าอยู่แถวกลางห้อง เบนยืนหาวพลางกวาดสายตาไปนู้นทีทางนี้ที คนส่วนใหญ่นำกระเป๋าใบเล็กมาด้วยเพื่อเก็บของสำคัญไว้กับตัว ส่วนเขาไม่แบกอะไรมาเลย หากแต่เลือกที่จะยัดเพียงซองบุหรี่เบสอามีสองซอง ไฟแช็ก และนาฬิกาสุดรักไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเกตสีกากีเพียงเท่านั้น อเล็กซ์ก็เช่นกัน เขาสวมชุดดำเกือบทั้งตัว ส่วนเสื้อแจ๊กเกตหนังสีดำยัดซองบุหรี่มาเต็มเท่าที่จะยัดหมดคนชุดขาวราวสิบนายเดินออกมาจากประตูด้านใน เบนชะเง้อมองแต่ไม่ทันเห็นว่าข้างในมีอะไร ยูนิฟอร์มที่พวกเจ้าหน้าที่สวมใส่บ่งบอกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดีว่ามาจากฝ่ายทหารหรือกองกำลังสักอย่าง ทั้งชายและหญิงล้วนสวมเสื้อแจ๊กเกตรัดรูปสีขาวคอเต่า มีแถบสีเทาตรงสีข้างทำให้รูปร่างผู้สวมใส่เพรียวขึ้น หนำซ้ำที่เอวยังสวมเข็มขัดปลอกปืน แต่ละคนจึงมีปืนอยู่ด้านข้างคนละสองกระบอก ด้านหลังสะพายกระบอกปืนคล้ายไรเฟิล แต่รูปร่างและดีไซน์ล้ำหน้าเกินกว่าที่เขาจะรู้ว่ามันเป็นรุ่นอะไร ที่มือยังมีถุงมือหนังสีเทาเฉดเดียวกับที่อยู่บนแถบสีข้าง เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่แต่ละคนมีอาวุธครบมือ หลายคนจึงเริ่มจินตนาการไปในทางลบ
พวกเขาเริ่มตรวจสิ่งของ ใครที่นำกระเป๋ามาจะถูกโยนทิ้งทันทีไม่ว่าขนาดไหน หรือเล็กเท่ากระเป๋าสตางค์ก็ไม่มีเว้น เขาเห็นอเล็กซิสง่วนอยู่กับการจัดข้าวของด้วยการพยายามยัดทุกอย่างลงไปในแจ๊กเกตสีดำ ออสโล่คู่หูของเธออาสาช่วยดูแลเจ้าเครื่องเล่นซีดีให้ เบนมองแม่แบมบี้พยายามยัดแผ่นกระดาษเล็ก ๆ ลงไปในกระเป๋าเสื้อด้านในจนตัวพองแน่น พอเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของเธอแล้วเขาอดขำไม่ได้ ริมฝีปากของเขาเหยียดยิ้มเยาะตามนิสัย และแน่นอน เขาไม่ลืมสังเกตอากัปกิริยาของเพื่อน ผู้ซึ่งกำลังมองเด็กสาวคนเดียวกัน
“อะไรของนาย” หนุ่มร่างสูงถาม น้ำเสียงแฝงนัยไม่พอใจเมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวเองยืนยิ้มประหนึ่งอ่านใจออกหมด
“ไม่มีอะไรนี่” หนุ่มนัยน์ตาสีอำพันตอบ แต่ยังคงส่งยิ้มล้อเลียนอยู่ และเพราะเหตุนี้เอง คนร่างสูงจึงทำเสียงฮึดฮัด
“พวกนายดูอะไรกัน” ซาร่าห์ที่อยู่ยืนข้าง ๆ ถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นพวกผู้ชายซุบซิบ
“ฉันจับได้ว่าอเล็กซ์แอบมองอเล็กซิส” เขาบอกเธอ
ซาร่าห์ทำตาโตเพราะเพิ่งได้ยินข่าวเซอร์ไพรซ์ “จริงเหรออเล็กซ์ ฉันไม่เห็นรู้มาก่อนเลย”
“เธอเชื่อคำพูดของคนอย่างเบนด้วยเหรอ”
เบน โรซิเยร์กลายเป็นศัพท์ที่มีความหมายว่า ‘เชื่อถือไม่ได้’ ซะแล้ว เพราะหญิงสาวหันกลับมามองเขาด้วยสายตาตำหนิแทน “จริงสิ ถ้าเป็นนายล่ะก็ ฉันเชื่อ”
เขาถอนหายใจ ส่ายหัวให้คนทั้งคู่ เออ ไม่ได้จ้องเลย แต่แม่งปล่อยให้เวดตั้งแง่กับฉัน ส่วนตัวเองก็ได้ผู้หญิงไป
พวกเจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณ ทั้งหมดจึงเดินเรียงแถวเข้าไปในข้างในประตูบานนั้น ไม่นานมากนัก ทั้งหมดเข้ามาถึงห้องที่ดูเหมือนจะเป็นคลังอาวุธ แม้ไม่ได้คาดหวังข่าวดี แต่เขาไม่คิดว่าจะเจอกับสิ่งของเหล่านี้ เบนอึ้งไม่ต่างจากคนอื่น ราวกับความเบิกบานและสมองซีกบวกถูกสูบออกไปจนหมด หากไม่อ้าปากค้าง บางคนก็เอาแต่อุทานซ้ำไปซ้ำมา จากที่ตื่นเต้นระคนมึนงงกลายเป็นกลัว มันเป็นสัญชาตญาณและลางสังหรณ์ของมนุษย์ที่ตระหนักได้ว่ากิจกรรมในวันนี้อาจเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย
“อย่าแตะต้องอะไรทั้งนั้น” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งออกคำสั่ง
“กลิ่นไม่ดี” อเล็กซ์กระซิบ ร่างของซาร่าห์สั่นระริกอยู่ข้างกาย ไอความกลัวของแต่ละคนแผ่ซ่านออกมาจนเขาสัมผัสได้ ใครเล่าจะไม่รู้สึกแบบนั้นเมื่อมาอยู่ท่ามกลางอาวุธนานาชนิดโดยไม่รู้ที่มาที่ไป
เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งเมื่อครู่ก้าวขาขึ้นมายืนบนพื้นยกระดับ เขาสวมอุปกรณ์ที่คล้ายกับหูฟังพร้อมไมค์ไว้ที่คอ เบนมองลักษณะทางกายภาพของชายผู้นี้แล้วนึกขันอยู่ในใจ ศีรษะล้านของเขาทำให้คนหนุ่มนึกถึงดวงจันทร์ในตอนกลางคืน อาจเป็นเพราะเขามีผิวสีเหลือง แต่กระนั้นมันไม่ได้ทำให้ชายผู้นี้ดูน่ามองมากขึ้นหากแต่ตลก ทว่าหากไม่นับลักษณะทางกายภาพนั้น เบนมองว่าเขามีดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่แสนดุดันเกินคนปกติ และดวงตานั้นกำลังมองไปไล่ทีละคน ทีละคน
และจากนั้น เขาเริ่มพูด “ตามที่รัฐบัญญัติเฝ้าระวังและควบคุมกลุ่มเสี่ยงภัยต่อมนุษยชาติ ปี 2966 ได้ระบุไว้ว่า ผู้ที่ถูกตัดสินเป็นกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มต้องสงสัยต้องเข้าร่วมการทดลองเพื่อเสาะหาวิธีรักษาอาการผิดปกติทุกคน แต่ก่อนอื่น ขอเรียนให้ทราบก่อนว่า เรายังไม่สามารถค้นพบหนทางรักษาอาการเหล่านี้ได้สำเร็จ เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ เราจำเป็นต้องเข้าใจอาการของพวกคุณ รวมทั้งสาเหตุและที่มาของอาการผิดปกติด้วย ในฐานะพลเมืองของสหพันธรัฐ เป็นหน้าที่พวกเรา และพวกคุณที่จะต้องให้ความร่วมมือทำภารกิจครั้งนี้ มันไม่ใช่ภารกิจของพวกฉันอย่างเดียว แต่เป็นของพวกคุณเช่นกัน
“ตอนนี้พวกเรากำลังยืนอยู่ที่จุดเช็กพ้อยต์วัน อีกหนึ่งชั่วโมง พวกคุณจะต้องออกเดินทางไปยังอีกจุด มีกฎเพียงข้อเดียวที่พึงจำนั่นคือ ไปให้ถึงจุดหมายให้ได้ พวกคุณมีเวลาเพียงสิบวันเท่านั้น พยายามเอาตัวรอดไปจนถึง...เงียบ!
“เดวิส อย่าโกรธฉันเลย” เขามองมาที่เธอ “เพื่อนเธอกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แสนวิเศษ ฉันตัดแต่งพันธุกรรมของไวรัสเพื่อไม่ให้มันปิดการทำงานของสมองบางส่วน มันไม่ใช่อาวุธทางเคมี พวกเธอต้องขอบคุณฉัน มันคือยารักษา!”เมื่อนั้นเธอเข้าใจแล้วว่าเขาถอยเข้าไปข้างในทำไม ที่นี่มีประตูกลมากมายจริง ๆ กลีกดสวิตช์ กำแพงเลื่อนออกเผยให้เห็นยานพาหนะโค้งมนขนาดพอให้กลีกับเบ็กกี้ขึ้นไปได้ ด้านในไม่มีคนควบคุม มันจะเคลื่อนตัวไปตามรางที่ซ่อนอยู่ภายใน “และฉันจะนำเสนองานนี้ต่อหน้าซีโนฮอฟและนักวิจัยทุกคน พวกเขาจะเข้าใจ แกลิส”ทว่าพี่สาวของเขาดึงคันโยกลง ที่แท้มันคือคัทเอาท์ ระบบไฟฟ้าดับลงส่วนหนึ่ง รวมทั้งพอร์ตที่เขาคิดจะใช้หนี เหลือเพียงส่วนโซนหน้าตรงประตูทางเข้าเท่านั้น“ยัยบ้า!” เขากรีดร้องเหมือนเด็กเอาแต่ใจ “โง่จริง เธอจะขัดความเจริญของฉันไปถึงไหน ชีวิตถึงเอาแต่เป็นรองเท้าคนอื่น เธอไม่มีทางอยู่ในหมู่ชนชั้นปัญญาได้หรอกถ้ายังสมองทึบแบบนี้”“ก็ยังดีกว่าเสียสติแบบนาย” คนเป็นพี่น้ำตาคลอ “ฉันขอร้อง พอเถอะ”
มุมปากของเขาเชิดขึ้น หัวหน้าหน่วยพยาบาลผละจากร่างบนเตียงแล้วผายมือราวกับต้อนรับ “แกลิส เธอน่าจะรู้จักเด็กคนนี้ไว้นะ” ดวงตาสีเขียวแวววับ “สิ่งเดียวที่เธอมีเหมือนเด็กคนนี้ (เขาผายมือไปทางร่างที่นอนบนเตียง) และทำให้ทรอยสนใจ เดวิสเป็นผลผลิต...”เด็กสาวยกปืนขึ้น ทว่าทหารหญิงกลับหยิบปืนอีกกระบอกจ่อที่เธอ “ฉันจัดการเอง”“ยังไง” อเล็กซิสถาม “คุณเอาแต่คุย”เธอย้ำ “ฉันจะจัดการเขาเอง” แต่เด็กสาวเห็นความลังเลหวั่นไหวในดวงตาคู่นั้น“คุณไม่แม้แต่ตามลูกน้องแต่เลือกมาคนเดียว คิดจะจัดการหรือช่วยน้องชายกันแน่”สองมือของบลูช่วยจ่อปืนไปยังแกลิสและกลี ไม่มีใครขยับ สายตาอเล็กซิสเลื่อนไปยังร่างเล็กนั้นอีกครั้ง ในเมื่อเธอไม่ได้อยู่ในกรงแก้ว ก็เหลืออยู่ที่เดียว“เบ็กกี้”ราวกับถูกปลุกให้ตื่น เท้าเล็กสองคู่ขยับขึ้นลงตอบรับเสียงเรียก มันขยับไปมารุนแรง ขึ้นลง ขึ้นลงอยู่อย่างนั้น จนสั่นสะเทือนไปทั้งตัว เด็กสาวพยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธการ แต่ทำได้เพียงสั่นเตียงที่นอนอย
เด็กสาวกลอกตาก่อนจะมองตอบอย่างท้าทาย “ชอบฉันเหรอ”เธอคิดว่าเขาว่าจะรีบปฏิเสธหรือจนมุม ตรงกันข้าม เขากลับยิ้มเย้ยในแบบที่ทำให้รู้สึกคันไม้คันมือ “เธอไม่ได้น่าเกลียดนี่ แถมครั้งก่อนยังจูบฉันกลับ งั้นก็แสดงว่า...”อเล็กซิสถอนหายใจ ใช่แล้ว ตอนนั้นเธอควรผลักออก แต่จูบของบลูไม่ได้แย่ และลึก ๆ แล้วเธอต้องการมัน เธอไม่ได้ต้องการบลู แต่ต้องการสัมผัสแบบนั้น บางครั้งสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ก็น่ากลัวพอ ๆ กัน จะว่าไปแล้วเบนกับบลูก็มีบางอย่างคล้ายกัน นั่นคือความมั่นใจในความฮอตของตัวเอง เพียงแต่ว่าจูบของบลูกับเบนไม่เหมือนกันเลยสักนิด คนหนึ่งจูบเพื่อหยอก อีกคนจูบเพื่อลาและเธอก็ไม่แน่ใจว่าเบนจูบเธอเพราะเห็นคนอื่นในดวงตาคู่นี้หรือไม่แต่หากนับสถิติแล้ว เธอจูบกับผู้ชายสี่คนภายในเวลาหกเดือน จูนคงยิ้มอ่อน“โอ้” เธอร้องเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มาคนเดียวเพียซกับโอลิแวนยืนอยู่ข้างหลัง ท่าทางของหนุ่มผมทองดูก็รู้ว่าไม่เต็มใจ เขาเป่าปากอยู่หลายรอบ อเล็กซิสมองหน้าบลู “สรุปแล้วตามมาทำไม”“ใช่ ตาม
“แบมบี้ แบมบี้น้อยในทุ่งหญ้า เหตุใดเจ้าช่างอ่อนเปลี้ยเหมือนถูกศรนายพรานเสียบอกอย่างนั้นเล่า” น้ำเสียงทุ้มต่ำ นุ่มนวล แต่แฝงเยาะเย้ยขบขันคุ้นหูนัก หนังตาเด็กสาวเลิกขึ้นช้า ๆ มองเห็นแต่เพดานห้องพักอันว่างเปล่า ผิวกายสัมผัสลมแห่งฤดูใบไม้ผลิที่ลอดผ่านหน้าต่าง มันลูบไล้ไปทั่วร่าง ฤทธิ์ยาพิษถูกข่มด้วยยาระงับ แต่ผลข้างเคียงส่งผ่านความเจ็บปวดต่างกันเพียงทางร่างกายกับจิตใจ“แบมบี้ แบมบี้ เพราะมันฟังดูเหมือนเบบี้ใช่ไหมเล่า”เจ้าของเสียงนั่งลงบนตัวเธอ โน้มคอลงมา “เบน” ดวงตาสีเหลืองทองจ้องมองนิ่ง เธอไม่ได้ตกใจหรือดีใจ มันเป็นความรู้สึกที่แปลก ใจหนึ่งก็อยากให้เป็นเขา ใจหนึ่งรู้ว่าไม่มีวันใช่ ผู้ชายคนนี้ตายไปแล้ว นั่นคือความจริง แต่สิ่งที่เธอเห็นอยู่ เป็นวิญญาณหรือภาพหลอนกันแน่นะ“หรือทั้งสองอย่าง” เขาเลียริมฝีปาก อ่านความคิดเธอออก “ฉันตายเพราะใครน้า” ดวงตาหมาป่าเขยิบใกล้เข้ามา “อ้อ ตายเพราะช่วยชีวิตพวกเธอไม่ใช่หรือ” อเล็กซิสพยายามพยุงตัวขึ้น แต่ร่างเบนกดเธอไว้ หรือเป็นเพราะเธอไม่มีแรงสู้กับมัน “แบมบี้ ฉันช่วยชีวิตเธอไว้จนแลกชีวิตตัวเอง ทำไมถึงไม่รักษาไว้ให้ดี คิดถึงฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอรวบรว
สี่นาฬิกาอาการอ่อนเพลียเริ่มปรากฏ หลายครั้งที่เธอพยายามต่อสายถึงมินนี่ แต่ระบบยังคงบล็อกไว้และจำกัดการสื่อสารเพียงคนในกลุ่มเท่านั้น เธอสงสัยว่ามันบล็อกแต่กลุ่มอาสาเท่านั้น ถึงแม้พวกเขาต้องการกำลังคน ต้องการพลังของกลุ่มเสี่ยงเมื่อรัฐบาลไม่ส่งกำลังพลเพิ่ม แต่พวกเธอก็ยังเป็นอดัมกับอีฟในอีเดนที่ไม่ควรละเมิดกฎและอยากรู้มากเกินไปกว่าที่ทางการป้อนให้ และข้อนี้เองที่ทำให้หลายคนเริ่มไม่พอใจกับกระบวนการทำงานของคนที่นี่ระหว่างค้นหาห้องอื่น ทั้งหมดเจอผู้ติดเชื้อสองคนแต่ทั้งสองถูกขังอยู่ในหลอดแก้วที่ให้ความรู้สึกเหมือนโลงศพ สองร่างนอนราบพร้อมเข็มขัดพันรัดรอบตัวจนถึงคอ ถึงแม้ข้อมูลจะถูกลบไปหมด แต่ระบบยังทำงานอยู่ พวกเจ้าหน้าที่เลือกปลิดชีพด้วยปุ่มเดียว ไม่ถึงนาที ไอร้อนขึ้นเป็นไปเกาะกระจก พื้นผิวแปรเปลี่ยนจากกระจกใสเป็นทึบมองไม่เห็นด้านในแต่ทุกคนเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น“เผาสด” ฟีบี้ยักไหล่เมื่อเธอเหล่มองไม่ชอบใจ “ฉันพูดจริง”“ใครถาม” ยิ่งเห็นสาวผมบลอนด์เดินทิ้งสะโพกเหมือนกวนประสาทอยู่ข้างหน้าแล้วยิ่งไม่สบอารมณ์ ถึงแม้อเล็กซิสจะ
แสตนเนอร์สั่นหัวไปมา ท่าทางหัวเสีย เสียงของเขาดังขึ้นในหัว “แสตนเนอร์ พวกเธอทั้งหมดกลับมารวมกันที่เดิมเดี๋ยวนี้ ย้ำ ขอให้ทุกคนกลับมารวมกันที่เดิมที่เดี๋ยวนี้”“จอมออกคำสั่ง” เรมีเค้นเสียง“แล้วนายไปเถียงอะไรกับพวกข้างใน” เธอถาม“ฉันบอกให้ดึงแต่ส่วนที่เก็บข้อมูลออกมาก็สิ้นเรื่อง แต่พวกเขาไม่ยอมให้ฉันแตะ และสุดท้ายก็ทำตามที่ฉันบอก” เด็กหนุ่มส่ายหัว ดูแคลนผู้อาวุโสแต่สมองไม่ไวตามอายุประสบการณ์“ฉันได้มาหนึ่งชิ้น” อาคุสะกล่าวเปรย ๆ แต่มุมปากเชิดขึ้นเป็นรอยยิ้มเหนือกว่าเรมีฉีกยิ้มกว้าง “ดี”เทสซ่าสบตากับอเล็กซิสเมื่อสองหนุ่มคุยกันสองคน แต่ความสนใจของอเล็กซิสอยู่ที่แสตนเนอร์ “อเล็กซิส?”สาวผมสีน้ำตาลอ่อนเดินตรงไปยังหัวหน้ากลุ่มและเพื่อนร่วมงานของเขา เทสซ่าก้าวตาม “อเล็กซิส” ปากเรียก แต่เพื่อนสาวเพียงยกมือห้ามไม่ให้รั้ง“พวกมันจับคนพวกนี้มาทำไม ใครอยู่เบื้องหลัง”ทั้งสองอ้าปากค้างเมื่อเจอเด็กสาวซัดคำถามใส่ เทสซ่ากอดอกทัน
“อะไรวะเนี่ย”“ฉันไม่ได้ทำอะไรนะ” อเล็กซิสออกตัวเธอมองกลับเข้าไปในส่วนชั้นใน แต่ละคนวิ่งวุ่นแตกตื่น ดูเหมือนว่าทั้งระบบกำลังจะถูกล้างในไม่ช้านี้ บางส่วนพยายามระงับคำสั่งหากแต่ไม่เป็นผล “ไทรอนกลุ่ม เอ ข้อมูลกำลังถูกลบ ย้ำข้อมูลกำลังถูกลบ”“เบเลียนกลุ่มบี ฝั่งนี้ก็เหมือนกัน!”เทสซ่าสบตาอเล็กซิส พวกเธอไม่มีความสามารถพอที่จะช่วยพวกเขาได้ หากแต่ “ดับเครื่องซะ!” เรมีตะโกน เขาไม่พูดเปล่า หากแต่ใช้แขนตัวเองฟาดแผงวงจรพังกระจาย พรึ่บ หน้าจอดับสนิทยกเว้นแสงไฟ ก่อนที่ใครจะห้ามเรมี อาคุสะผลักประตูเพื่อเข้าไปยังชั้นข้างในแล้วทำแบบเดียวกัน แต่เขาออกแนวทำลายล้างมากกว่าเพราะเล่นยิงจนอุปกรณ์ต่าง ๆ พังกระจุยกระจาย พอเห็นทหารยกปืนเล็งเพื่อน เทสซ่าที่วิ่งตามไปซัดพลังเสียงของเธอใส่คนพวกนั้น “เขาพยายามจะช่วยพวกคุณ” ปากตะโกนชายหนุ่มพยักหน้าขอบคุณ วางปืนลงแล้วดึงปลั๊กออก เพิ่งคิดได้สินะ ทว่าเครื่องที่ยังทำงานอยู่ยังปรากฏตัวเลขนับถอยหลังลงเรื่อย ๆ “เจ็ดสิบเก้าเปอร์เซ็นต์” เธอหันซ้ายหันขวาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ เรมีวิ่งผ่านเข้าไปยังชั้นในสุดแล้วทำแบบเดิม พริบตาเดียวที่ทุกคนจดจ่อกับตัวเลขที่กำลังถอยหลัง อาค
ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจาใด ๆ ใบหน้าอเล็กซิสแดงจนไม่แน่ใจว่าอายหรือโกรธ หรือทั้งสองอย่าง เทสซ่าไม่อาจอ่านสายตาหรือจับผิดอากัปกิริยาของเพื่อนคนนี้ได้อีกต่อไป แม้อเล็กซิสจะยืนอยู่ข้างเธอ แต่นับวันเธอกลับยิ่งรู้สึกว่าทั้งสองห่างกันมากขึ้นทุกที อเล็กซิสเหมือนกับเมฆที่ค่อย ๆ ลอยออกไป เทสซ่าจึงไม่กล้าแม้แต่เผยความรู้สึกหรือปรึกษาเรื่องของรีเวอร์ และเพราะอเล็กซิสไม่เคยถามถึง กลายเป็นว่าเธอกล้าที่จะเผยความในใจให้เบลินดารับรู้แทน และเพราะเทสซ่ากับเบลินดาสนิทสนมกันมากขึ้นจริง ๆ“ดูท่าอเล็กซ์ของพวกเราจะแย่นะ” ฟีบี้เปรยกับอาคุสะ“ฉันเตือนเขาแล้ว ช่วยไม่ได้นะ” ทั้งสองคนไม่ได้พูดเบาและอเล็กซิสต้องได้ยิน แต่เธอไม่พูดอะไร ขนาดโดนจูบจู่โจม กลับยังนิ่งเฉยไม่ยินดียินร้าย จนเทสซ่ามองไม่ออกว่าอเล็กซิสมีความสัมพันธ์กับบลูหรือเมื่อกี้เป็นแค่เรื่องล้อเล่น แม้ตอนที่ถูกจูบโดยไม่ทันตั้งตัว เทสซ่าแน่ใจว่าเพื่อนสาวตกใจก็เถอะหลายครั้งเธอเห็นเด็กสาวเหม่อลอย หรือไม่ก็ทำหน้าครุ่นคิดอยู่คนเดียว มีเพียงไมเคิลที่เข้าถึงเธอได้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาสองคนกำลังต่อแพแล้วพยายามลอยออกจากฝั่งด้วยกัน“เบเลียน กลุ่มบี ขณะนี้เรากำลัง
เธอพยักหน้า ไม่แย้มยิ้มซึ่งเป็นสีหน้าปกติ ลู ยัง คู่รักของเซน เอเดน พวกเขาถูกแยกจากกันเมื่อเซนต้องไปประจำหน่วยรุกกลุ่มเอ ส่วนตัวเธออยู่หน่วยสนับสนุนกลุ่มบี “พวกแกฉลาดนะ ตามยัยนี่มาช่วยฉัน”“ไปเถอะ” หญิงสาวตัดบทแล้วเดินนำทางออกไป ทั้งสามเดินตาม โอลิแวนกระซิบว่า “พวกเราคิดว่าแกตายแล้ว ตะโกนใส่หูฟังเท่าไรแกก็ไม่ตอบ”“มันพัง”“อย่างที่เด็กคนนั้นเดาจริงด้วย”“ใคร”เพียซยิ้มแห้ง “อเล็กซิส เพราะเด็กคนนี้ พวกเราจึงขอร้องลู” เขาพยักพเยิดไปทางผู้หญิงข้างหน้า สายตาบลูมองเอวบางของหล่อนแล้วอมยิ้มนิด ๆ“เด็กนั่นเกี่ยวไร” เขาเริ่มรู้สึกว่าพักหลัง ชีวิตเข้าไปเกี่ยวพันกับเด็กคนนี้มากขึ้นทุกทีเพียซถอนหายใจ “พอตึกถล่ม แต่ละคนพยายามติดต่อคนที่ตกลงไป ไม่มีใครตอบเลยรวมทั้งแก พวกฉันไม่เป็นอันทำอะไรเลยรู้ไหม ภาวนาให้แกส่งเสียงตอบ แต่แกไม่ตอบ”“ก็มันพัง” เขาย้ำ “มันพังโว้ย ฉันติดต่อพวกแกไม่ได้เหมือนกัน ลองใช้ระบบแจ้งข่าวก็ไม่ได