“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ”
“ฝันดีต่างหาก”
“ฝันถึงแม่ฉันใช่ไหมล่ะ”
“อื้อ ฝันดีที่สุดเลย” เบนเน้นเสียง
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ต้องจากหอพักแห่งนี้ วันที่จะได้รู้ความจริง (หรือเปล่า) วันที่...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ห้องโถงอยู่ชั้นล่างสุด ครั้งก่อนมันเป็นที่สำหรับตรวจสุขภาพ บูทคลินิกถมที่ว่างจนเต็ม วันนี้ทั้งห้องกลับเปิดออกโล่ง มีเพียงประตูเหล็กบานใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนกำแพงฝั่งตรงข้ามกับทางเข้า และใช่ เมื่อก่อนไม่มีประตูบานนี้ ทุกคนตั้งแถวเรียงหน้ากระดาน เรียงลำดับจากการเข้าพักอาศัยก่อนหลัง สายตาแต่ละคนล้วนเฝ้ารอคำอธิบายอย่างใจจดใจจ่อ บ้างยืนไม่สุข บ้างยืนนิ่งแต่ภายในใจกลับกระวนกระวายว้าวุ่น
เบน อเล็กซ์ และซาร่าห์ยืนอยู่แถวหน้าเพราะพวกเขาเป็นกลุ่มแรก เจ้าหนุ่มหัวเงินยืนอยู่
ข้างอเล็กซ์ด้วยเช่นกัน พวกโธมัสยืนอยู่แถวที่สองข้างหลังกลุ่มพวกเขาอีกที ส่วนพวกเด็กซานโบซ่าอยู่แถวกลางห้อง เบนยืนหาวพลางกวาดสายตาไปนู้นทีทางนี้ที คนส่วนใหญ่นำกระเป๋าใบเล็กมาด้วยเพื่อเก็บของสำคัญไว้กับตัว ส่วนเขาไม่แบกอะไรมาเลย หากแต่เลือกที่จะยัดเพียงซองบุหรี่เบสอามีสองซอง ไฟแช็ก และนาฬิกาสุดรักไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเกตสีกากีเพียงเท่านั้น อเล็กซ์ก็เช่นกัน เขาสวมชุดดำเกือบทั้งตัว ส่วนเสื้อแจ๊กเกตหนังสีดำยัดซองบุหรี่มาเต็มเท่าที่จะยัดหมดคนชุดขาวราวสิบนายเดินออกมาจากประตูด้านใน เบนชะเง้อมองแต่ไม่ทันเห็นว่าข้างในมีอะไร ยูนิฟอร์มที่พวกเจ้าหน้าที่สวมใส่บ่งบอกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดีว่ามาจากฝ่ายทหารหรือกองกำลังสักอย่าง ทั้งชายและหญิงล้วนสวมเสื้อแจ๊กเกตรัดรูปสีขาวคอเต่า มีแถบสีเทาตรงสีข้างทำให้รูปร่างผู้สวมใส่เพรียวขึ้น หนำซ้ำที่เอวยังสวมเข็มขัดปลอกปืน แต่ละคนจึงมีปืนอยู่ด้านข้างคนละสองกระบอก ด้านหลังสะพายกระบอกปืนคล้ายไรเฟิล แต่รูปร่างและดีไซน์ล้ำหน้าเกินกว่าที่เขาจะรู้ว่ามันเป็นรุ่นอะไร ที่มือยังมีถุงมือหนังสีเทาเฉดเดียวกับที่อยู่บนแถบสีข้าง เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่แต่ละคนมีอาวุธครบมือ หลายคนจึงเริ่มจินตนาการไปในทางลบ
พวกเขาเริ่มตรวจสิ่งของ ใครที่นำกระเป๋ามาจะถูกโยนทิ้งทันทีไม่ว่าขนาดไหน หรือเล็กเท่ากระเป๋าสตางค์ก็ไม่มีเว้น เขาเห็นอเล็กซิสง่วนอยู่กับการจัดข้าวของด้วยการพยายามยัดทุกอย่างลงไปในแจ๊กเกตสีดำ ออสโล่คู่หูของเธออาสาช่วยดูแลเจ้าเครื่องเล่นซีดีให้ เบนมองแม่แบมบี้พยายามยัดแผ่นกระดาษเล็ก ๆ ลงไปในกระเป๋าเสื้อด้านในจนตัวพองแน่น พอเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของเธอแล้วเขาอดขำไม่ได้ ริมฝีปากของเขาเหยียดยิ้มเยาะตามนิสัย และแน่นอน เขาไม่ลืมสังเกตอากัปกิริยาของเพื่อน ผู้ซึ่งกำลังมองเด็กสาวคนเดียวกัน
“อะไรของนาย” หนุ่มร่างสูงถาม น้ำเสียงแฝงนัยไม่พอใจเมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวเองยืนยิ้มประหนึ่งอ่านใจออกหมด
“ไม่มีอะไรนี่” หนุ่มนัยน์ตาสีอำพันตอบ แต่ยังคงส่งยิ้มล้อเลียนอยู่ และเพราะเหตุนี้เอง คนร่างสูงจึงทำเสียงฮึดฮัด
“พวกนายดูอะไรกัน” ซาร่าห์ที่อยู่ยืนข้าง ๆ ถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นพวกผู้ชายซุบซิบ
“ฉันจับได้ว่าอเล็กซ์แอบมองอเล็กซิส” เขาบอกเธอ
ซาร่าห์ทำตาโตเพราะเพิ่งได้ยินข่าวเซอร์ไพรซ์ “จริงเหรออเล็กซ์ ฉันไม่เห็นรู้มาก่อนเลย”
“เธอเชื่อคำพูดของคนอย่างเบนด้วยเหรอ”
เบน โรซิเยร์กลายเป็นศัพท์ที่มีความหมายว่า ‘เชื่อถือไม่ได้’ ซะแล้ว เพราะหญิงสาวหันกลับมามองเขาด้วยสายตาตำหนิแทน “จริงสิ ถ้าเป็นนายล่ะก็ ฉันเชื่อ”
เขาถอนหายใจ ส่ายหัวให้คนทั้งคู่ เออ ไม่ได้จ้องเลย แต่แม่งปล่อยให้เวดตั้งแง่กับฉัน ส่วนตัวเองก็ได้ผู้หญิงไป
พวกเจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณ ทั้งหมดจึงเดินเรียงแถวเข้าไปในข้างในประตูบานนั้น ไม่นานมากนัก ทั้งหมดเข้ามาถึงห้องที่ดูเหมือนจะเป็นคลังอาวุธ แม้ไม่ได้คาดหวังข่าวดี แต่เขาไม่คิดว่าจะเจอกับสิ่งของเหล่านี้ เบนอึ้งไม่ต่างจากคนอื่น ราวกับความเบิกบานและสมองซีกบวกถูกสูบออกไปจนหมด หากไม่อ้าปากค้าง บางคนก็เอาแต่อุทานซ้ำไปซ้ำมา จากที่ตื่นเต้นระคนมึนงงกลายเป็นกลัว มันเป็นสัญชาตญาณและลางสังหรณ์ของมนุษย์ที่ตระหนักได้ว่ากิจกรรมในวันนี้อาจเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย
“อย่าแตะต้องอะไรทั้งนั้น” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งออกคำสั่ง
“กลิ่นไม่ดี” อเล็กซ์กระซิบ ร่างของซาร่าห์สั่นระริกอยู่ข้างกาย ไอความกลัวของแต่ละคนแผ่ซ่านออกมาจนเขาสัมผัสได้ ใครเล่าจะไม่รู้สึกแบบนั้นเมื่อมาอยู่ท่ามกลางอาวุธนานาชนิดโดยไม่รู้ที่มาที่ไป
เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งเมื่อครู่ก้าวขาขึ้นมายืนบนพื้นยกระดับ เขาสวมอุปกรณ์ที่คล้ายกับหูฟังพร้อมไมค์ไว้ที่คอ เบนมองลักษณะทางกายภาพของชายผู้นี้แล้วนึกขันอยู่ในใจ ศีรษะล้านของเขาทำให้คนหนุ่มนึกถึงดวงจันทร์ในตอนกลางคืน อาจเป็นเพราะเขามีผิวสีเหลือง แต่กระนั้นมันไม่ได้ทำให้ชายผู้นี้ดูน่ามองมากขึ้นหากแต่ตลก ทว่าหากไม่นับลักษณะทางกายภาพนั้น เบนมองว่าเขามีดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่แสนดุดันเกินคนปกติ และดวงตานั้นกำลังมองไปไล่ทีละคน ทีละคน
และจากนั้น เขาเริ่มพูด “ตามที่รัฐบัญญัติเฝ้าระวังและควบคุมกลุ่มเสี่ยงภัยต่อมนุษยชาติ ปี 2966 ได้ระบุไว้ว่า ผู้ที่ถูกตัดสินเป็นกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มต้องสงสัยต้องเข้าร่วมการทดลองเพื่อเสาะหาวิธีรักษาอาการผิดปกติทุกคน แต่ก่อนอื่น ขอเรียนให้ทราบก่อนว่า เรายังไม่สามารถค้นพบหนทางรักษาอาการเหล่านี้ได้สำเร็จ เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ เราจำเป็นต้องเข้าใจอาการของพวกคุณ รวมทั้งสาเหตุและที่มาของอาการผิดปกติด้วย ในฐานะพลเมืองของสหพันธรัฐ เป็นหน้าที่พวกเรา และพวกคุณที่จะต้องให้ความร่วมมือทำภารกิจครั้งนี้ มันไม่ใช่ภารกิจของพวกฉันอย่างเดียว แต่เป็นของพวกคุณเช่นกัน
“ตอนนี้พวกเรากำลังยืนอยู่ที่จุดเช็กพ้อยต์วัน อีกหนึ่งชั่วโมง พวกคุณจะต้องออกเดินทางไปยังอีกจุด มีกฎเพียงข้อเดียวที่พึงจำนั่นคือ ไปให้ถึงจุดหมายให้ได้ พวกคุณมีเวลาเพียงสิบวันเท่านั้น พยายามเอาตัวรอดไปจนถึง...เงียบ!
เสียงที่ไม่ได้ยินร่วมเดือน “เธอจะตื่นเมื่อไร” เขาถามนาฮีมานาอีกฝ่ายถอนหายใจ “จิตวิญญาณพักผ่อนอยู่ชั่วคราว รอเวลาสักนิดเธอก็จะตื่นขึ้นมา คอยเรียกก็แล้วกัน”เมื่อได้ยินดังนั้น เขาจึงช้อนแขนอุ้มร่างเธอขึ้นมา แต่ก็หยุดหันไปทางซากต้นไม้ “มันเกิดอะไรขึ้น อะวีซีมีพิษร้ายขนาดนี้เชียวหรือ” ไมเคิลงุนงง นี่คือสิ่งที่อยู่ในตัวอเล็กซิสงั้นหรือดวงตาสีน้ำตาลเข็มมองซากนั้นด้วยสีหน้าปลงตก “ความเจ็บปวดของเด็กคนนี้ มันรับไปแทน” สายตาทอดมองอย่างอาลัยอาวรณ์ “ถึงมันพูดไม่ได้ ร้องขอความปรานีไม่ได้ ก็ยังถือว่าชีวิตหนึ่ง ตื่นจากจำศีลไม่นาน ฉันก็พรากชีวิตเขาแล้ว”ฉับพลัน เขาบังเกิดความรู้สึกผิดกับต้นไม้“ขอบคุณนะมานา ขอบคุณจริง ๆ” อเล็กซ์โพล่งออกมา ไมเคิลนึกขึ้นได้จึงก้มตัวลงแทนคำพูด หญิงสาวส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นอะไร“คุณเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงดูเหมือน รู้...” เทสซ่าถามขึ้น ไมเคิลนึกขอบคุณ เพราะเขาอยากรู้เหมือนกัน หลายครั้งเวลาจะพูดอะไร หญิงสาวผู้มีพลังรักษาก็มักจะเอ่ยดักก่อ
ย่างเข้าสู่กลางเดือนมีนาคม หิมะเบาบางลงมาก ทว่าพวกเขายังคงประสบปัญหาขาดเสบียง เทสซ่าเสนอให้กลับไปทอยซิตี้ เพราะหลายคนมีปัญหากับรสชาติอาหาร ไมเคิลกลับเป็นคนเดียวที่รู้สึกเฉย ๆ เขาชอบกินก็จริงแต่ก็ไม่ได้พิถีพิถันกับเรื่องพวกนี้มาก ในเมื่อไม่มีก็คือไม่มี ชายหนุ่มแปลกใจที่เพื่อนแต่ละคนล้วนโวยวายร่ำร้องให้อาหารรสชาติดีขึ้น พอมองย้อนกลับไปจึงพบว่า ถ้าไม่นับอิสรภาพอันจำกัดและชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไป ไม่เคยมีใครประสบปัญหาขาดของอุปโภคและบริโภค (ไม่นับด่านทดลองสิบวัน) ดังนั้นข้อเสนอของเทสซ่าจึงมีแต่เสียงสนับสนุน หากแต่การกลับไปยังทอยซิตี้ไม่ต่างจากกลับไปลานประหารกลุ่มเซนเสนอว่าจะกลับไปเอง เพราะพวกเขาเป็นผู้เริ่มก็อยากรับผิดชอบเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายเทสซ่าไปด้วย หนึ่งเพราะเธอเสนอความคิดนี้ และสองเธอไม่ต่างจากเซนพวกเขารอคอยเพื่อนด้วยความกระวนกระวาย โดยเฉพาะมินนี่ที่ได้แต่รอพี่สาวกลับมา โชคดีที่พวกเขากลับมาก่อนเวลาเสียอีก และได้ของจำเป็นกลับมามากมายเทสซ่าเล่าว่าไม่เจอศพสักราย ทางการอาจขนกลับไปหมดแล้ว เพราะมีหลายพื้นที่ถูกปิดและข้าวของบางอย่างถูกขนย้ายออกไป ดังนั้นเป
ไมเคิลจำได้ว่าเคยระวังไม่ให้อเล็กซิสอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลอกเธอ อาศัยช่วงที่อเล็กซิสยังได้รับผลข้างเคียงจากยาระงับอะวีซีแล้วฉวยโอกาสทำลายเธอ แต่ตอนที่อเล็กซิสหลบเทสซ่าไปหาเบ็กกี้ก็โชคดีที่มีคนคนนี้ช่วย จะว่าไปบลูก็ช่วยพวกเขาหลายครั้ง และเขาเป็นเจ้าของหอที่ดูแลลูกบ้านได้ดี ทว่าคาใจก็คือคาใจ“คุณชอบเธอใช่ไหม”บลูหันขวับแล้วจ้องหน้าเขานิ่ง หากตอบว่าใช่ ไมเคิลก็ไม่แปลกใจ อเล็กซิสเนื้อหอม เขารู้ดี ทว่าคู่สนทนากลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน“ดีจริง วันนี้นายทำให้ฉันหัวเราะได้มากกว่าวันอื่น หนุ่มน้อย ฉันรู้ว่านายหวงพี่สาว ที่ผ่านมาก็ชอบจ้องจับผิดฉัน รู้นะ” พูดจบก็ทำหน้าขึงขังล้อเลียนไมเคิล“ก็คุณพยายามล่อลวงเธอ”อีกฝ่ายหรี่ตา นิ้วชี้หน้าอกตัวเอง “ฉันเนี่ยนะ เฮ้ ดูน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ”ไฟบนหิมะขยายเป็นลูกเบ้อเริ่ม“เฮ้ ใจเย็นสิ ฉันไม่เคยล่อลวงพี่สาวเธอ โอเค อืม พวกเราเคยจูบกันสักสองครั้ง ครั้งแรกฉันจงใจแกล้งเด็กนั่น อีกครั้ง...ตอนนั้นมันค่อนข้างแปลกหน่อย ๆ เหมือน
เย็นวันนั้น ไมเคิลปลีกตัวออกจากห้องอีกครั้ง วัน ๆ ได้แต่นอนและนั่ง ชีวิตน่าเบื่อไม่น้อย เขาตามหาเทสซ่ากับเรมีก็พบว่าเพื่อนสาวออกไปสำรวจพื้นที่รอบ ๆ กับกลุ่มเซนแล้ว น่าอิจฉาชะมัด ส่วนเรมีตัวติดกับโคดี้เพื่อศึกษาระบบในนี้ นาฮีมานายืนกรานว่าทุกคนต้องเรียนรู้เทคโนโลยีไว้ อย่างน้อยถ้าเกิดมีระเบิดอีก พวกเขาจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรโดยไม่พึ่งพลังของโคดี้แต่ไม่มีใครอยากเจอระเบิดอีกหรอก แม้ว่ามันจะเป็นระเบิดรักษาสิ่งแวดล้อมก็ตามตึกของกลีถูกสร้างมาเพื่อหลบซ่อนสายตาคนจริง ๆ รอบข้างจึงรายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาว ต้นไม้เหล่านี้สูงตระหง่าน ไม่ว่าจะเดินไปทางก็มีแต่สีขาวโพลน หิมะสูงถึงข้อเท้า ไมเคิลมองไปรอบ ๆ มีไฟส่องทางเดินแค่เพียงห้าสิบเมตรจากตัวตึก เทสซ่าบอกว่าคนในนี้ก็ช่วยกันสร้างงานชิ้นหนึ่งขึ้นมา เนื่องจากไมเคิลเฝ้าอเล็กซิสตลอดจึงไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะหญิงสาวไม่ได้เฉลย แต่แววตาคู่งามยามพูดถึงสิ่งนั้นกลับแฝงด้วยความเศร้า คิดดังนั้นจึงเดินไปตามทางดังกล่าว มีแสงไฟสลัวให้เห็นราง ๆ เขาลอดผ่านกิ่งไม้แช่แข็ง ต้นตอของแสงมาจากกองไฟขนาดใหญ่ มันตั้งอยู่ตรงกลางก้อ
ห้องพักส่วนใหญ่จะอยู่ชั้นบน กลุ่มที่อยู่มาก่อนย้ายเตียงพยาบาลมาแทนเตียงนอน มันมีจำนวนไม่เยอะ เมื่อมีคนเข้ามาเพิ่ม พวกเขาก็สละเตียงให้คนเจ็บ และเมื่อคนเจ็บหายดี พวกผู้หญิงก็ได้สิทธิก่อน หากเพราะไมเคิลไม่อาจอยู่ห่างอเล็กซิสได้ เขาคงช่วยคนอื่นจัดของแล้วก็หาเสบียง เสบียงเป็นหัวข้อที่ทุกคนกังวลมากที่สุด เพราะจำนวนคนมีมากและอากาศยังหนาวเย็น การหาอาหารไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีใครเคยล่าสัตว์ ไมเคิลรู้ดีว่าหน้าที่เหล่านี้เหมาะกับเขามากแค่ไหน แต่ด้วยข้อจำกัดจึงได้แต่แนะนำไป อย่างน้อยทุกคนล้วนจับอาวุธได้อย่างคล่องแคล่ว ปัญหาก็คือ หาเหยื่อและเครื่องปรุงเขาเปิดประตูห้องเข้าไป ฝาแฝดของเขายังคงนอนนิ่งเหมือนเดิม แต่คนที่นั่งเฝ้าอยู่มองด้วยสายตาคาดคั้นครั้งนี้เขาอธิบายแบบที่นาฮีมานาว่า สีหน้าของอเล็กซ์จึงคลายกังวลลง แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่พวกเขาเห็นเธอนอนแบบนี้ไม่ได้ทำให้ดีใจได้สุดยาระงับความเจ็บปวดที่พวกเขามีก็เหลือเพียงห้าเข็มเท่านั้น ตั้งแต่อเล็กซิสนอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา อเล็กซ์เข้มงวดกับไมเคิลมากที่สุด หากเขาไปไหนไกลก็จะรีบตามหา ไม่ใช่ว่าเขาไม่ห่วงอเล็กซิส แต่การอยู่ติดกับเ
ตึกหกชั้นตั้งโดดอยู่ในป่าทึบ มีต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลนอำพรางสายตา ฉากเบื้องหลังคือภูเขาหิมะตั้งตระหง่าน อาคารนี้ถูกสร้างขึ้นโดยบุรุษวิปริตผู้หนึ่งด้วยจุดประสงค์อันวิปลาสแต่กลับกลายเป็นที่หลบภัยชั้นยอด เนื่องจากมันไม่ใช่ที่พักแรม ผู้อาศัยอยู่ก่อนจึงจัดวางเฟอร์นิเจอร์ใหม่ แบ่งพื้นที่ใหม่เพื่อให้ดูน่าอยู่มากขึ้น แต่กลิ่นอายของสถานทดลองทางวิทยาศาสตร์ยังคงอยู่ แม้อยู่ห่างจากทอยซิตี้ก็ใช่ว่าไกลเกินเอื้อม ผู้รอดชีวิตจึงยังคงหลงอยู่ในดินแดนอันแสนลึกลับดังเดิมร่างของฝาแฝดนอนหายใจแผ่วเบา หากมองเพียงสีหน้าคงเหมือนเจ้าหญิงที่กำลังติดกับดักในห้วงนิทรา เมื่อเลื่อนสายตาลงมาจะเห็นว่าเธอยังคงสวมชุดเดิมจากวันนั้น ของเหลวสีแดงคล้ำแห้งกรังเกาะติดกาย มีองครักษ์สองนายประกอบคอยดูแลตลอดเวลาราวกับกลัวแม่มดใจร้ายมาขโมยร่างอเล็กซิสยังคงสภาพดังเดิมแม้ผ่านไปหลายวัน ไม่ตาย ไม่ฟื้น และเขาไม่อาจอยู่ห่างจากเธอได้เกินครึ่งวันอย่าจากฉันไป เธอสัญญาแล้วนะ เขาพูดกับเธอผ่านความคิดในหัว หวังว่าพวกเขาจะสื่อถึงกันได้พวกเขารอ รอ รอจนไมเคิลตัดสินใจไปขอร้องนาฮีมานาอีกครั้ง