LOGINเบนยืนมองร่างอเล็กซ์บนเตียงโรงพยาบาล ห้อมล้อมไปด้วยสมาชิกในครอบครัว เขารอจนกระทั่งพวกโวลคอฟทำท่าจะกลับ แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกไป วลาด ผู้มีหน้าตาและรูปร่างคล้ายคลึงกับน้องชายเดินเข้ามาจับไหล่เบน ปลอบโยน
“เบน มันเป็นอุบัติเหตุ”
ไม่ใช่ มันเป็นฝีมือของผม
เด็กหนุ่มกลั้นน้ำตา เขารู้อยู่แก่ใจว่าพี่ชายของเพื่อนกำลังจะเอ่ยปากขอบคุณ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าสาเหตุแท้จริงมาจากใคร และเขากำลังพูดอยู่กับฆาตกร
“ผมขอโทษ ผมไม่ระวังเอง ผมผิด ความผิดของผมคนเดียว”
“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า นายช่วยชีวิตน้องชายของฉันเอาไว้นะ เข้มแข็งไว้สิ ขอบคุณที่ดูแลน้องของฉันระหว่างรอพวกเรา เบน ตอนนี้นายพักได้แล้วล่ะ เดี๋ยวฉันกับนิคสลับมาเฝ้าเจ้านี่เอง นิคมาพรุ่งนี้ ฉันจองคืนนี้”
“ผมเฝ้าเขาเอง พี่ต้องทำงานไม่ใช่เหรอ”
“บ้าน่า นี่น้องชายฉันนะ นายไม่ต้องห่วงหรอก แต่ถ้านายอยากจะนั่งเล่นก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันไปส่งพวกเขาก่อน แล้วเดี๋ยวจะกลับมา”
เขากอดเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน ทำไมวลาดต้องเป็นคนดีแล้วยังแสนเพอร์เฟกต์ขนาดนี้ด้วย ระหว่างนั้นฟีโอดอร์ลูบศีรษะเพื่อนลูกชายเบา ๆ เบนมองพวกเขาจนแน่ใจว่ากลับไปจนหมด ถ้าทั้งหมดรู้ความจริงคงไม่ให้อภัยเขาแน่ พวกเขาคงสาปแช่งแทนอเล็กซ์ไม่ได้นอนหลับอย่างที่คิด เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองตามประตู เมื่อดวงตาสีนิลคู่นั้นมองมาที่เบน ดูเหมือนมันกลายเป็นสีแดง
“เอาชีวิตเธอคืนมา”
เบนไม่มีเรี่ยวแรงจะโต้ตอบ
“เอาชีวิตเธอคืนมา” เขาไอค่อกแค่ก เบนรีบรินน้ำให้เพื่อนดื่ม แต่อเล็กซ์ผลักมือเขาออก แก้วน้ำตกลงบนพื้นแตกกระจาย “ฉันบอกให้นายขับช้าลง ฉันขอให้นายขับช้าลงแล้ว”
ฉันควรฟังนาย
“ฉันรู้ ๆ ฉันขอโทษ ขอโทษ...มันเป็นความผิดของฉัน” เบนยอมรับโดยดุษฎี น้ำตาคลอเบ้า “ให้อภัยฉันได้ไหม”
“ฉันอยากเจอเธอ พวกเขาเก็บร่างเธอไว้ที่ไหน” อเล็กซ์ไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง เขาพยายามลุกออกจากเตียง เบนกดตัวเพื่อนไว้ “อย่าเพิ่งขยับ”
“หลีกไป”
“อยู่นี่แหละ เธอไม่อยู่ที่นี่...”
“แล้วเธออยู่ไหน อย่าบอกนะว่าจัดงานศพไปแล้ว”
“ในทะเล”
....อะไรนะ”
เบนกลืนน้ำลายในปากไปจนหมด มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ “มันลึกเกินไป พวกเขาบอกว่าปล่อยให้เธอนอนอยู่ในนั้นดีกว่า ถ้าเรากู้ซากรถขึ้นมา ร่างของเธออาจไม่สมประกอบ และมันก็ต้องใช้เวลา พ่อนายคิดว่ามันเสี่ยงเกินไป ตอนนี้ศพอยู่ในทะเล ถ้าพวกเราพยายามจะช่วยเธอขึ้นมา เราอาจจะได้แค่ชิ้นส่วน พ่อนายไม่อยากทำลายร่างเธอ”
เมื่อนั้นอเล็กซ์ร้องโหยหวนราวกับหมาป่าที่กำลังใกล้ตาย เขารัวกำปั้นทุบเตียงไม่ยั้ง จากนั้นก้มหน้าแนบกับหมอน นอนนิ่งไม่พูดไม่จา เบนเห็นรอยน้ำตาที่ไหลออกมาจากแก้มสีซีด
“พวกเขาให้อภัยนายง่าย ๆ เพราะไม่รู้ความจริงใช่ไหม ใช่ไหม”
เบนไม่กล้าเผชิญหน้ากับเพื่อน เขาเลือกที่จะนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง ก้มหน้าสารภาพ “พ่อบอกให้ฉันโกหกไปแบบนั้น พวกเขาไม่รู้ว่าฉันเป็นคนขับ แต่คิดว่าแนทเป็นคนขับ”
“เธอนั่งอยู่เบาะหลัง ไม่มีใครดำลงไปดูเลยเหรอวะ ไม่มีเลยเหรอ”
“...ฉันเสียใจ...คือ...พ่อของฉันซื้อพวกทีมกู้ภัยไปหมดแล้ว พวกเขาเลย...คือ...”
อเล็กซ์เหมือนไม่อยากฟังข้อแก้ตัวอีกแล้ว เขาหันหลังให้เพื่อน
“อเล็กซ์...ฉันขอโทษ ฉันต้องพูดไปแบบนั้น พ่อบังคับให้ฉันพูดแบบนั้น”
“พอแล้ว ฉันได้ยินมามากพอแล้ว”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจฆ่าเธอ ฉันรักเธอเหมือนที่นายรักเธอ”
“แต่นายก็ฆ่าเธอนี่ นายฆ่าเธอ” ทันใดนั้น อเล็กซ์ไออีกรอบ แต่ครั้งนี้เสียงไอดูน่ากลัวกว่าเดิม
“เฮ้...นายเป็นอะไรหรือเปล่า”
“แก...แค่ก ๆ...ฆ่า...แค่ก ๆ”
เบนเข้าไปใกล้ ๆ “เฮ้ยเพื่อน...” เขาวางมือลงบนหลังอเล็กซ์ แต่เพื่อนรักมีปฏิกิริยาตอบโต้ทันควัน เขาสะบัดมือออก เพียงแต่มันไม่ใช่แค่ไล่เบนออกไป ร่างของเบนลอยไปกระแทกกับฝาผนัง ข้าวของรอบข้างปลิวกระจัดกระจาย ทั้งสองมองหน้ากัน ประหลาดใจ เหมือนมีแผ่นดินไหวชั่วครู่ แล้วมันก็หายไป
“นี่นาย”
“เกิดอะไรขึ้นกับฉัน” เขามองหน้าเบนอย่างขวัญเสีย ราวกับตัวเจ้าปัญหาเป็นคนทำให้เกิดเรื่องประหลาดนี้ขึ้น ราวกับเบนเปลี่ยนเขา “นายทำอะไร นายทำอะไรวะ”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ไอ้แผ่นดินไหวเมื่อกี้ ก็ไม่ใช่ฝีมือฉันและ...” เบนรีบจัดการให้ข้าวของทุกอย่างกลับมาอยู่ที่เดิมก่อนที่พยาบาล หรือวลาดจะเข้ามาแล้วจะสงสัยเอาได้ เด็กหนุ่มรู้สึกเอะใจอะไรบางอย่าง เขาวิ่งไปที่หน้าต่างเพื่อมองผู้คนเบื้องล่าง ไม่มีใครตกใจ เพียงวูบหนึ่ง เหมือนไฟในหัวจุดติด เขาหันกลับไปมองคนป่วยบนเตียงที่ยังคงอึ้งกับเหตุการณ์เมื่อครู่ “นายเหมือนกับฉัน นายเป็นเหมือนฉัน”
อเล็กซ์สั่นหัว “ทำไมฉันถึง...” เขายกมือขึ้น ทันใดนั้น เหยือกน้ำข้าง ๆ ขยับและตกลงบนพื้น เด็กหนุ่มผงะ เบนมองข้าวของบนโต๊ะสั่นไหวอยู่ชั่วครู่ ความรู้สึกผิดเมื่อกี้หายไป เขาทั้งตื่นเต้น ดีใจ และตื้นตันใจ
“นายเหมือนพวกฉัน อย่างงี้นี่เอง เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงมองนายเหมือนน้องชายแท้ ๆ” เบนสวมกอดเพื่อนสนิทอย่างเต็มรัก “ขอบคุณพระเจ้า นายก็เป็นเหมือนกัน พวกเราเป็นเพื่อนรักและมีพลังพิเศษ นี่สินะ สาเหตุที่นายฟื้นตัวเร็ว”
“นายลืมแนทของนายไปแล้วเหรอ”
เบนปล่อยมือออกจากอเล็กซ์แทบจะในทันที “ไม่มีทาง ไม่มีวันลืม แต่นายจะผลักฉันออกไปไม่ได้ นายต้องการฉัน ให้ฉันช่วยนาย หรือนายอยากให้คนอื่นรู้ว่านายมีพรสวรรค์”
“พรสวรรค์เหรอ” อเล็กซ์หัวเราะผ่านลำคอ “เอามันคืนไป ฉันขอแลกกับทุกสิ่งหากทำให้เธอฟื้นขึ้นมา ฉันต้องการแม่ฉันคืน ไม่ใช่ไอ้พรสวรรค์บ้า ๆ นี่”
สัมผัสริมฝีปากแห้ง ๆ ของเธอยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปากของเขา เบนถอนหายใจ อเล็กซ์ผลักเพื่อนออกไปให้พ้นทาง เขาจะออกจากห้อง “อย่าไปไหน เราต้องคุยกันก่อน”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนายแล้ว ไม่อยากเห็นหน้านายอีก”
ทันทีที่อเล็กซ์หันกลับไป ท่อนแขนสีซีดล็อกเข้าที่คอ ท่อนแขนนั้นแข็งแรงจนเขาแก้ไม่ออก และมันลากเขาออกไปเรื่อย ๆ “อเล็กซ์!” แต่อเล็กซ์ไม่ได้ยิน ไม่ใช่สิ เขาไม่ได้ยินเบนคนนี้ต่างหาก เบนในวัยสิบห้าวิ่งตามเพื่อนออกไปแล้ว จากนั้นมวลน้ำมหาศาลโอบล้อมรอบกาย เบนที่ยังอยู่ เขากำลังถูกลากลงไปในน้ำ ใช่ เขารู้จักมือที่ลากเขาลงไป ทั้งยังจำกลิ่นของเธอได้แม้เป็นกลิ่นศพ เพราะเธอมักมาหาเขาในลักษณะนี้เสมอ
“แนท”
เขามองไม่เห็นอเล็กซ์และเบนในวัยสิบห้าอีกแล้ว นอกจากน้ำ
“ในนี้เย็นเหลือเกิน เบน มันเย็นมาก”
เขาไม่สามารถร้องไห้ หรือแม้แต่ตะโกนออกมาได้ เขาปล่อยให้เธอดึงเขาลงไป “หนาวเหลือเกิน”
นาตาเลีย โวลคอฟ
เขานั่งอยู่ในซากรถของตัวเอง แต่ครั้งนี้นั่งบนเบาะหลังข้างกับผู้หญิงที่เขารัก แต่แนทไม่ใช่แนทที่สวยอ่อนหวานคนเดิม แต่เป็นเพียงซากศพที่กำลังเน่าเปื่อย กลัวหรือไม่ ไม่หรอก ไม่มีทาง มันเป็นความยินดีต่างหาก เขาดีใจที่ได้เห็นเธอ แม้นัยน์ตาของเธอจะปราศจากแสงแห่งชีวิต มือทั้งสองข้างประคองใบหน้านั้นไว้ แนทเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา ดูเหมือนเธออยากจะแก้แค้น แต่สิ่งที่เธอทำได้ทั้งหมดคือลากเขาลงน้ำและปรากฏโฉมเพียงร่างศพ
“คุณมาเข้าฝันผมอีกแล้ว”
ใช่ มันคือความฝัน ความฝันที่แสนหวาน ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ปากไม่ขยับ ถ้าเขาทำให้เธอมีชีวิตได้อีกครั้ง ถ้าเขาทำให้เธอพูดกับเขาได้อีกและพูดกับเขาด้วยปากของเธอเอง ไม่ใช่เสียงที่สื่อสารผ่านจิต เขาอาจจะปลุกให้ตัวเองศรัทธาต่อพระเจ้าที่ไม่เคยมีขึ้นมาในใจก็ได้
เขาจูบแนท
แต่เธอหาใช่เจ้าหญิงนิทราไม่
พระเจ้าไม่อยู่จริง หรืออาจจะละทิ้งมนุษย์ไปแล้ว และสิ่งสำคัญที่สุด เขาไม่เคยเป็นลูกรักของพระเจ้า
พูดกับผมอีกครั้งเถอะ หลอกหลอนผมเท่าที่คุณจะทำได้ ลากผมให้มาเจอคุณอีก ทำให้ผมกลัว ทำให้ผมขวัญผวา มาหาผมในฝันแบบนี้ ปล่อยให้ผมได้อยู่ข้างคุณ ถึงแม้พวกเขาฝังร่างคุณไว้ในทะเล แต่ผมจะฝังคุณไว้กับผม
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







