...เงียบ! ฉันยังพูดไม่จบเลย! (ถอนหายใจ) ตั้งแต่วันนี้ จงเอาตัวรอดไปจนถึงจุดหมายให้ได้ พวกเรามีแผนที่และเสบียงเตรียมไว้ให้ เห็นไหม ไม่ยากเลย ยังมีอาวุธและอุปกรณ์อื่นดำรงชีพอื่น ๆ อีก จะหยิบหรือขนไปเท่าไรก็ได้ เราไม่จำกัด อย่าห่วงเรื่องอาหารหมด เพราะเรามีบริการเติมอยู่ทุกจุดเซฟโซน อย่าเพิ่งพูดเวลาฉันพูดอยู่”
แขนของเบนเกร็งจนเส้นเลือดขึ้น มือทั้งสองกำแน่น หากมีเล็บแบบผู้หญิงคงจิกเข้าเนื้อไปแล้ว อาวุธ อาหาร จุดเซฟโซน เอาชีวิตให้รอด จะทดสอบเกมเซอร์ไววอลแบบเรียลไทม์อาร์พีจีกันหรือ ฟังดูก็รู้พวกเขาต้องต่อสู้กับบางสิ่งในนั้น และมันคงไม่ใช่หุ่นเป้านิ่งแน่นอน สถานการณ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้ เบนไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลถึงปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับข้าวของหรูหราอยู่เป็นเดือน! ถ้าเขาเขียนพล็อตเองได้ คงจะเขียนว่า เจ้าหน้าที่กำลังประกาศว่าพวกเขาเป็นแค่ร่างโคลนนิ่ง และเบนคนนี้คือร่างโคลนของ เบนจามิน โรซิเยร์ที่กำลังจะตายและต้องการอวัยวะใหม่ไปเปลี่ยนใหม่ทดแทน
เดี๋ยวก่อน แต่เบนที่กำลังจะตายฟังดูไม่ดีเลยนะ
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามห้ามใจไม่ให้โทสะเข้าแทรก มิฉะนั้น ตัวเองอาจจะเผลอก่อเหตุฆาตกรรมหมู่ในที่นี้ก็ได้ และนั่นก็หมายความว่า มันเป็นการฆ่าตัวตายที่โง่เง่าที่สุดด้วย
แต่อเล็กซ์คุมอารมณ์ไม่เก่งเท่า แรงสั่นสะเทือนราวกับมีแผ่นดินไหวขนาดย่อมหรือไกลออกไปเกิดขึ้นจนข้าวของในห้องสั่นไหวตามแรง ผู้คนมองหน้ากันเพราะนึกว่าเป็นฝีมือของพวกทางการหรือไม่ก็ฝีมือธรรมชาติ เมื่อแรงสั่นสะเทือนหายไป มีเพียงเบนที่รู้ว่าใครทำ
“พวกเธอทำใจให้สงบหน่อยเถอะน่า ฟังฉันให้ดี มีทางออกอยู่สามทางเท่านั้น พวกเราจะไม่ยุ่งว่าจะจับกลุ่มกันอย่างไร จงระวังตัวและตื่นตัวอยู่เสมอ เลือกเพื่อนร่วมทางให้ดี แล้วอย่าลืมใช้นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือซะ มันไม่ใช่แค่บอกเวลาหรือบันทึกข้อมูลหรอกนะ แต่มันสามารถวินิจฉัยร่างกาย อาการบาดเจ็บ ระดับความรุนแรง แถมยังสอนวิธีรักษาพยาบาลให้ด้วย และถ้าพวกเธอตั้งใจฟังวิธีใช้ตอนตรวจสุขภาพ พวกเธอก็จะรู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง รู้ไว้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของการทดลอง ทำตัวเป็นพลเมืองที่ดีเข้าไว้ เอาล่ะ ถึงเวลาเตรียมตัวแล้ว ขอให้โชคดี หวังว่าพวกฉันจะได้เจอพวกเธอที่จุดหมายปลายทางครบทุกคน”
ครบทุกคน...ไอ้รัฐบาลจิตป่วง
ทำไม คำถามนี้ติดอยู่ในหัว ทำไมถึงไม่แจ้งเรื่องนี้ให้พวกเราทราบก่อน
เมื่อพวกเจ้าหน้าที่ปล่อยให้ทั้งหมดจัดการกันเอง สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่ทำคือจับกลุ่มแล้วยืนงงกันเป็นกลุ่มนั่นแหละ
เขายังไม่ขยับ ลังเลว่าจะทำอะไรต่อ “ฉันว่าเราอยู่กันสองคนก็ได้นะ ไม่นับรวมซาร่าห์” หางตาของเขามองตามหญิงสาวที่กำลังวิ่งไปหาพวกเวด
อเล็กซ์ส่ายหน้า “อยู่กับพวกเขามาสองสามอาทิตย์ไม่ได้ช่วยให้นายรู้สึกผูกพันหรือเห็นเป็นเพื่อนกันบ้างเหรอไงวะ ฉันนับรวมซาร่าห์และคนอื่นด้วย อยู่กับเพื่อนน่ะดีแล้ว ปลอดภัยกว่า”
ดังนั้นพวกเขาจึงเดินตามซาร่าห์ไป เรมีลากเด็กสาวที่มีปัญหาทางสมองมาด้วย บางคนเริ่มหยิบกระเป๋าเป้แล้วเช็กข้าวของข้างใน
“แล้วแผนที่ล่ะ” ซาร่าห์ถามหาสิ่งของแต่ตัวเองยืนเฉย จนโนเอลต้องส่งกระเป๋าเป้ให้เธอ
“มันอยู่ในนี้ครับ คุณนาย”
เบนหยิบกระเป๋าขึ้นมาใบหนึ่ง ในนั้นมีอาหาร หยูกยา และอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นเตรียมไว้ให้ เขาหยิบพวกยากับเครื่องปฐมพยาบาลออกไปเพื่อลดน้ำหนักกระเป๋าและเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับใส่อาวุธได้มากขึ้น
“ไปดูอาวุธดีกว่า โนเอล พี่ช่วยพวกเราเลือกได้ไหม แล้วพี่ช่วยสอนพวกเราด้วยว่าใช่ยังไง” เทสซ่าถามพี่ชายเสียงหวานกว่าทุกวัน
เบนและอเล็กซ์พอจะคุ้นกับปืนพกและไรเฟิลบางชนิด แต่โนเอลเหมือนจะรู้จักเกือบทั้งหมด ต้องขอบคุณที่เขาทำตัวมีประโยชน์ อย่างน้อยในทีมก็เหลือตัวถ่วงอยู่หกคน เขาไม่เข้าใจว่าอเล็กซ์คิดอะไรอยู่ ทางการย้ำว่านาฬิกาสามารถวินิจฉัยอาการบาดเจ็บได้ แล้วยังพูดถึงอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นหนทางครั้งนี้ไม่หมูแน่ เขาคิดแต่เพียงว่า ทั้งสองคนควรเดินไปทางถึงจุดหมายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าไปเป็นกลุ่มคงหนีไม่พ้นคอยช่วยคนพวกนี้และเวลาก็จะสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
“ถึงเวลาได้ใช้สกิลที่ฝึกมาสักทีสินะ” เบนกระซิบ เพื่อนของเขาคงคิดเหมือนกัน ในกลุ่มสิบคน มีเพียงพวกเขา ซาร่าห์และเทสซ่าที่ใช้พลังได้ แม้ความสามารถของเทสซ่ายังเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่มันน่าจะมีประโยชน์พอสมควร อีกอย่าง พี่ชายของเธอยังเคยฝึกทหาร เขาย่อมเชี่ยวชาญเรื่องการต่อสู้และการใช้อาวุธเป็นอย่างดี และมันคงส่งผลดีต่อกลุ่มที่มีแต่เด็กวัยรุ่นไม่รู้ความ ยิ่งตัวถ่วงอีกหกคนแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย เขานึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าพวกที่เหลือจะใช้อาวุธได้หรือไม่และจะสู้อย่างไร
“พวกเธอใช้พวกอูซี่ขนาดเท่านี้ก็แล้วกัน มันเป็นปืนอัตโนมัติแต่ไม่หนักเกินไป ดูให้ดีนะ ฉันจะสอนพวกเธอครั้งเดียว ห้ามยิงเล่นนะ นี่คือวิธีโหลด...”
เบนและอเล็กซ์แยกตัวออกมาเลือกอาวุธเองระหว่างที่โนเอลเร่งสอนคนอื่นโหลดกระสุน ทั้งสองเลือกอาก้าแบบฟูลออโต้ไว้สำหรับถือ เสียบปืนพกอีกสองกระบอกไว้ที่เอวทั้งสองข้างแบบพวกเจ้าหน้าที่เปี๊ยบ เขาไม่ลืมซ่อนมีดพกที่ข้อเท้าแบบที่พวกในหนังทำกัน จากนั้นยัดปืนและอุปกรณ์ชิ้นอื่นลงกระเป๋า เขาได้ยินซาร่าห์บ่นที่ต้องแบกอาวุธหนัก ก็เธอเล่นถือปืนกลขนาดใหญ่ เดินเอียงกระเท่เร่ เขาจึงแนะนำให้เธอถือชนิดเดียวกับที่พวกอเล็กซิสใช้ “ยัยโง่ ใช้ไม่เป็นแล้วจะเลือกอันใหญ่ทำไม”
“ก็ฉันได้ยินโนเอลพูดว่ามันแรงกว่าอันอื่น”
“แล้วยิงยังไง ต้องถือยังไง” เขามองเธอ ซาร่าห์ยืนนิ่ง หน้าบึ้ง “เห็นไหม เปลี่ยนซะ” เขาหยิบปืนขนาดเล็กกว่าและเบากว่าให้ “ห้ามเถียง”เธอทำหน้ารำคาญแต่รับไปเปลี่ยนแต่โดยดี
“นี่ ฉันเหมือนหน่วยคอมมานโดไหม” อเล็กซ์อวดโฉมตัวเองที่เต็มไปด้วยอาวุธครบมือพร้อมกับรอยยิ้มทะเล้น
“ไม่ว่ะ เหมือนพวกผู้ก่อการร้ายหน้าตาอัปลักษณ์”
“อ้าว ไอ้เชี่ยนี่”
เขาแนะให้ลองพกระเบิดไปด้วย แต่อเล็กซ์ไม่แน่ใจ “เชื่อเถอะ พวกมันไม่ได้ให้พวกเราไปเล่นในสนามเด็กเล่นแล้วสู้กับลูกหมาแน่ ตัวระเบิดปลอดภัยอยู่นะ แถมยังมีตั้งหลายแบบ ฉันเห็นโนเอลพกบ้างเหมือนกัน”
เพื่อนร่างสูงขมวดคิ้วแน่น “สู้? นายคิดว่าพวกเขาต้องการประเมินความสามารถของพวกเราใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วคนที่ไม่มีความสามารถจะทำยังไงล่ะ”
เบนยักไหล่ สั่นหัว เขาเบนสายตาไปยังสิ่งรอบตัว พวกเด็กซานโบซ่ากำลังอ่านแผนที่อยู่ “เออจริงสิ พวกเราต้องรู้จักหน้าตาสนามรบก่อนถูกไหม” เขากางแผนที่ทั้งสองคนก้มหน้าอ่านด้วยกัน “เวรเอ๊ย มีตั้งสี่โซน อย่างกับแผนที่สวนสนุก มีธีมแต่ละโซนด้วย สัตว์เอ๊ย ฉันเกลียดธีมและฉากแบบนี้ว่ะ เหมือนพวกเขาภูมิใจงานออกแบบนี้”
สองหนุ่มหันไปมองโนเอล อยากรู้ว่าชายคนนี้จะเตรียมตัวอย่างไร ทั้งตัวโนเอลเต็มไปด้วยสายสะพายกระสุน เขาเหมือนหน่วยคอมมานโดตัวจริง ขณะเดียวกันก็ดูน่ากลัวเหมือนพวกผู้ก่อการร้าย เด็กคนอื่นต่างลองยกปืนเล็ง ลองถอดกระสุน ใส่กระสุน ซาร่าห์หันมาเห็นพวกเขาแล้วทำท่าเหมือนใกล้ตาย
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ทำไมพวกเขาถึงให้พวกเราอยู่กับของพวกนั้น” เธอสงสัยไม่ต่างจากคนอื่นหรอก มีแต่คนตั้งคำถามนี้ทั้งนั้น พอพูดจบเธอก็หันไปคุยกับคู่ของตัวเอง
เพราะรัฐบาลเป็นโคตรพ่อโคตรแม่ของเกรียนล่ะมั้ง
เขามองโนเอลสอนวิธีใช้ปืนแล้วกอดอกแน่น “เอาจริงนะอเล็กซ์ ฉันว่าพวกเราต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กแน่เลยว่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ชิ่งเลยนะ”
“นายไม่หนีหรอกน่า” อเล็กซ์ส่ายหัว
“ฉันชิ่งพร้อมนายนั่นแหละ”
มีเวลาอีกแค่สิบห้านาที พวกเขาตกลงกันเรื่องทิศทาง โนเอลกางแผนที่ลงบนพื้น อธิบายแผนที่ตัวเองวางไว้
กลุ่มกบฏบางกลุ่มต้องการทำลายนิวโฮป จึงไม่ใช่ทุกกลุ่มที่ยินดีอ้าแขนต้อนรับพวกเขา และข้อสำคัญคือ พวกเขาจะติดต่อคนเหล่านี้ได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มไหนตอบโจทย์ที่พวกเขาต้องการไม่มีใครตอบได้ แม้แต่บลูก็จนแต้ม เขาเพียงแค่อยากอยู่ที่นี่ ใกล้กับหลุมศพน้องชาย“ไมเคิล ฉันว่าไม่ปกตินะ” จอห์นปลุกสติของเขาอีกครั้งสายฟ้าของอเล็กซ์ฟาดซัดต้นไม้แถบนั้นเป็นจุณทีเดียวนับสิบต้น ขณะเดียวกันกระแสไฟฟ้าแล่นเป็นวงรอบตัวเขา อาคุสะเริ่มตื่นตัว ออร่าสีเขียวและเหลืองแผ่ออกไป“อเล็กซิส ถอยออกไป!” เป็นอเล็กซ์ที่ตะโกนเตือนแฟนสาว “ฉันคุมมันไม่ได้!”“แย่ละ” ไมเคิลกับจอห์นวิ่งเข้าไปอเล็กซิสควบคุมมวลน้ำเพื่อดับไฟ แต่กระแสไฟฟ้าของคนรักยังแล่นออกมาเรื่อย ๆ จนเธอเริ่มหาที่หลบไม่ได้ เขาหาทางจะเข้าไปช่วยฝาแฝด ตอนนี้แทบมองไม่เห็นอเล็กซ์เพราะมีแต่กระแสไฟฟ้าพัวพันรอบตัวเทสซ่าหวีดร้องขึ้นมา เธอกับอาคุสะจับมือกันแน่น พื้นดินบริเวณนั้นสั่นสะเทือน เขาสบตากับจอห์น ใช่ แผ่นดินไหว แต่...ฝีมือธรรมชาติหรือสัญชาตญ
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ที่แท้นาฮีมานาไม่ได้คิดจะให้พวกเขากลับนิวโฮปแต่แรก ไมเคิลหันไปมองพวกเพื่อน ๆ เทสซ่านั้นคิ้วขมวดจนเป็นปม เธอนั่งกอดอกหลังตรงแล้วเม้มปากแน่น หากแต่ไหล่สั่น ขณะที่คนอื่นถกเถียงกัน อเล็กซิสก็นั่งเท้าคางใช้ความคิด ไมเคิลสัมผัสความรู้สึกร่วมของคนในนี้ได้อย่างหนึ่ง นั่นคือความเศร้าเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้กลับบ้าน หรืออาจจะไม่มีวันได้กลับ“ถ้าหาก...ถ้าหากเราทำให้เมเคอร์เข้าใจได้ว่าพวกเราไม่เป็นภัย พวกเราเป็นชาวนิวโฮป อยากปกป้องบ้านเหมือนกัน ถ้าเราทำให้เขาเห็นจุดยืนของพวกเราว่าไม่ได้เป็นภัยต่อไลบราเรีย ต่อโลก...” ไมเคิลเลิกคิ้ว เพราะเทสซ่าพูดเหมือนอเล็กซิสเปี๊ยบ“ฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยเทสซ่า เมเคอร์ไม่มีวันให้กองกำลังกับพวกเธอแน่”“ฉันไม่ได้หมายถึงกองกำลัง ฉันหมายถึงตัวพวกเราเอง ถ้าเขามองว่าพวกเราเป็นภัย ทำไมไม่มองว่าพวกเราเป็นอาวุธให้พวกเขาได้”“เทสซ่าพูดถูก” เซนว่า “ทหารสามคนนั้นก็เป็นกลุ่มเสี่ยง”“ลูเซียนบอกว่าเพราะพวกเขาเป็นชาวไลบราเรียนอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังถ
มีเพียงสิ่งลมเขย่ากิ่งไม้ไปมา แสงสีแดงริบหรี่จนแทบเลือนหายไป ความมืดย่างกรายแทนที่ แต่ดวงตาสีน้ำเงินของอเล็กซิสกลับสว่างไสว ช่างเหมือนกับดวงตาคู่นั้นที่คอยจ้องเขายามค่ำคืน ไมเคิลในวัยเด็กมีอาการตื่นตระหนกบ่อยครั้ง และลูก้าเป็นคนปลอบเขา ถึงแม้เขาไม่เคยล่วงรู้เรื่องแฝดอีกคน แต่เพราะดวงตาของเธอเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาอยากอยู่ใกล้เธอ ในยามนี้เขาอ่านความคิดเธอออก ผ่านแววตาและสีหน้า ทั้งคู่ไม่คิดว่าลูเซียนโกหก อย่างไรก็ตามยังคิดว่าอีกฝ่ายบอกไม่หมด ความปรารถนาดีมีบางอย่างเคลือบแฝง ผลงานของลูเซียนคือเครื่องมือที่ฆ่าโนเอลและเบน เขาไม่มีวันให้อภัย เพียงแต่ว่า พวกเขาจะต้องชั่งใจให้ได้ว่าการเชื่อฟังลูเซียนจะเป็นประโยชน์มากกว่าเพิกเฉยหรือไม่เขารู้ว่าอเล็กซิสเสียใจ เธอบอกน้องชายคนนี้เสมอว่านิวโฮปจะเป็นบ้านใหม่ของพวกเขา“อเล็กซิส ไมเคิล” หญิงสาวผมสีดำเรียกสติฝาแฝดทั้งสอง “กลับกันเถอะ มืดแล้ว”“เดี๋ยว...” เขาชะลอเธอรอฟัง แต่เป็นพี่สาวของเขาที่พูด“ถ้าคุณอยากให้พวกเราคล้อยตามลูเซียน คุณต้องบอกมาให้หมดว่าคุณกับเขารู้จักกัน
ดวงตาสีแดงกลอกไปมาราวกับดูแคลนคำพูดของพวกเขา “ผมหวังดี ที่พวกเขากลับไปไม่ใช่เพราะถอย แต่จะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกองทหารและอาวุธมากมาย เมเคอร์ไม่ปล่อยพวกคุณแน่นอน เขาไม่อยากยืดเยื้อ และคราวนี้ได้คงใช้วิธีดึงอาร์คาเดียมาช่วย ทั้งนิวโฮปก็เจอปัญหา ดังนั้นถ้ากำจัดพวกคุณได้เร็วเท่าไร ฝ่ายทหารจะโฟกัสกลับนิวโฮปได้ดีขึ้น”“เกิดอะไรกับนิวโฮป” อเล็กซิสซักทันที “เมเคอร์...เจ้าชายเมเคอร์ใช่ไหม ที่คุณว่า”ลูเซียนพยักหน้า “ใช่ ตำแหน่งเขาสูงกว่าผม ถ้าคุณสังเกตคำนำหน้า ผมเป็นลอร์ด เขาถือตำแหน่งเจ้าชาย เมเคอร์ต้องการทำลายกลุ่มเสี่ยง เขาเห็นว่าพวกคุณเป็นภัย” ชายอัลบิโนขยับตัว มีภาพยานสงครามฝูงหนึ่งปรากฏขึ้น เขาชี้ไปที่รูปพวกนี้ “นี่คือสิ่งที่พวกคุณจะเจอ ในดิสก์แผ่นนี้ ผมมอบโลเคชันให้พวกคุณหนีไปหลบภัย รับรองว่าไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับที่นี่ได้ เมื่อสถานการณ์ในนิวโฮปดีขึ้น ผมจะหาทางทำให้เมเคอร์เปลี่ยนใจ”“คุณมีพลังจิตไม่ใช่หรือ คุณควบคุมจิตใจเขาได้...” อเล็กซิสว่า“ถ้าผมทำได้ผมทำไปนานแล้ว” แต่สาย
แดดสนธยาส่องผ่านร่มไม้จนเกิดลำแสงสีทองเป็นริ้ว คนสามคนเดินย่ำเท้าไปตามใบไม้แห้ง ลมเย็นโชยสลับผสานกับลมร้อนในตอนกลางวัน เวลากำลังผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางคืน“คุณแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ใช่กับดัก” อเล็กซิสถามยายแม่มด (และพักนี้ไมเคิลมักใช้คำนี้บ่อย เพราะไอ้นิสัยชอบรู้เรื่องมากมายแต่ไม่ยอมเล่าให้หมดของนาฮีมานาทำให้เขารำคาญ) “เราจับโดรนสอดแนมมาได้สามวัน แล้ววันนี้เขาก็เรียกแค่พวกเราแค่สามคน ทำไมต้องเป็นคุณ ทำไมต้องเป็นพวกเรา”“เขาไม่ชอบคนเยอะ อาจเป็นเพราะพวกเธอเห็นหน้าเขาแล้วมั้ง แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นจุดประสงค์ดี”เธอมั่นใจอะไรในตัวคนคนนี้กัน คนที่สามารถแฝงตัวอยู่ในกลุ่มเมื่อไรก็ได้เพียงแค่ควบคุมสมองไม่ให้มองเห็น สามารถปรับเปลี่ยนความคิดใครก็ได้ แล้วจะเชื่อใจนาฮีมานาได้อย่างไร ไมเคิลสงสัยนัก“ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ” เขาโพล่ง “ลูเซียนเป็นหัวหน้าทีมวิจัย คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเราผ่านอะไรมาบ้างกับงานของทีมวิจัย เราต้องเสียอะไรบ้างกับงานของเขา”“ฉันรู้ดี” นาฮีมานาตอบโดยไม่หันมามอง เ
เช้าวันต่อมา บอร์ญ่ายังคงเป็นคนมาเสิร์ฟอาหาร และบราวน์ไม่เข้ามาอีกเลย เขานั่งนับวันตั้งแต่โดนจับจึงนึกได้ว่านี่คือวันศุกร์ เจ้าของบ้านคงออกไปทำงาน ดังนั้นทั้งวัน เขาเอาแต่ทบทวนสิ่งที่ชายคนนั้นบอก“ตัวตนที่ยังหลงเหลือ” เจสซี่ไม่มีความรู้เรื่องสมองของมนุษย์ คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาโทรหาไบรซ์หรือคาเลบได้ ความทรงจำของมนุษย์ถูกลบได้หรือเปล่า สมองของมนุษย์ทำงานอย่างไร“ไลบราเรียน...เอไลโต” เขาท่อง “ฟุตบอล ออสโล่”เมื่อถึงมื้ออาหารเย็น แคดมันเดินเข้ามา อาหารเย็นวันนี้มีเพียงแซนด์วิชกับน้ำเปล่า และช็อกโกแลตบาร์สองแท่ง เมื่ออีกฝ่ายวางถาด เขาเอื้อมไปจับข้อมือ“เวด”แคดมันสะบัดออกจนน้ำหกกระจาย ดวงตาที่มีสีฮาเซลอ่อนกว่าจ้องกลับมา แววตาคู่นี้ขึงขังดุดันและพร้อมจะเอาเรื่องได้ตลอดเวลา“นายจำอเล็กซิสได้ไหม”“หุบปาก”“ออสโล่ เด็กหนุ่มผมสีแดงใบหน้าตกกระ เกิดอะไรขึ้นกับเขา”“หุบปาก!”“ซานโบซ่า!”มือข้างขว