เบ็กกี้เป็นเด็กใหม่ของที่นี่ เธอเพิ่งมาถึงหอพักแห่งนี้ยังไม่ครบวันเลยด้วยซ้ำ พอได้ยินว่ามีประกาศข่าวใหม่ เธอเห็นแต่ละคนรีบวิ่งไปที่โทรทัศน์จอยักษ์ เด็กสาวร่างเล็กเดินไหลไปตามกระแสมนุษย์ มือข้างซ้ายกุมข้อมือข้างขวาเอาไว้ เธอเดินค้อมตัว มองซ้ายมองขวาเหมือนกับมีคนกำลังจับผิดอยู่ และถ้าหากเธอทำอะไรผิดแปลกไป ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เธอจะโดนลงโทษ เมื่อเดินมาถึงข้างหน้าจอทีวี เด็กสาวแหงนหน้ามองข้อความที่เขียนบนนั้น
กำหนดการเคลื่อนย้ายผู้พักอาศัยจะมีขึ้นในวันที่ 28 กรกฎาคม 3012 กรุณาทิ้งสัมภาระไว้ที่ห้อง และมารวมตัวกันเพื่อรอสัญญาณที่ห้องโถงในเวลา 18 นาฬิกา
หมายเหตุ: ห้ามพกกระเป๋าสัมภาระ
“เคลื่อนย้ายเหรอ หมายความว่าพวกเราต้องย้ายที่อยู่งั้นเหรอ” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเธอพูดขึ้น เขามีผมสีแดงเช่นกัน แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยกระ เขามากับเพื่อนสาวคนหนึ่ง พอพูดจบ ทั้งสองก็พากันขยับมาข้างหน้า เบ็กกี้จึงมองเห็นแต่แผ่นหลัง เธอไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อย แต่เป็นเด็กสาวที่ร่างเล็กเหมือนเด็กน้อย แม้อายุครบสิบห้าปีเมื่อสองเดือนก่อน แต่เธอหาได้ตัวสูงขึ้นมากกว่าเดิมไม่ ที่สำคัญ ไซส์มินิแบบเบ็กกี้ไม่ได้ทำให้เธอดูน่ารักเหมือนผู้หญิงร่างเล็กคนอื่น และแทนที่จะดึงดูดเพื่อน กลับกลายเป็นว่าเธอมีออร่าดึงดูดพวกอันธพาลแทน ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ในโรงเรียน สถานพักฟื้น หรือแม้แต่ที่นี่ คนพวกนี้ชอบเข้าหาเธอเสมอ
“ถ้าต้องย้ายที่อยู่ แล้วไปไหนต่อ...ย้ายทำไม อุ๊ย ขอโทษจ้ะ” เด็กสาวที่โตกว่ารีบพูด เพราะเธอเผลอเอาศอกมากระแทกคนที่อยู่ข้างหลัง “ขอโทษจริง ๆ ฉันไม่เห็นเธอ”
ใช่สิ เบ็กกี้ไม่เคยอยู่ในสายตาใครอยู่แล้ว และเธอคุ้นชินกับความรู้สึกนี้ดี สาวน้อยพยักหน้าน้อย ๆ “ไม่เป็นไรหรอก” ทว่าเสียงที่ตอบกลับไปเบาเหมือนเสียงกระซิบ เบ็กกี้แอบมองด้านข้างของเด็กสาวคนนั้น เพียงแค่เห็นเสี้ยวหน้า เธอยังรู้สึกว่าคนข้างหน้ามีโครงหน้าที่สวยมาก สาวน้อยได้แต่เม้มปาก เด็กผู้หญิงทุกคนล้วนอยากมีใบหน้าแบบนั้น เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพระเจ้าถึงเกลียดชังเธอนัก แทนที่จะมอบมันสมองอันปราดเปรื่อง รูปลักษณ์ที่งดงาม หรือ ความรักจากผู้อื่น อย่างใดอย่างหนึ่งก็ยังดี พระเจ้ากลับมอบคำสาปมาให้แทน ท่านรักบุตรธิดาไม่เท่ากัน เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างหน้าคือตัวอย่างของบุตรธิดาที่พระเจ้ารักยิ่งกว่าคนอื่น
คนส่วนใหญ่ในนี้ต่างรู้จักค่าหน้าค่าตากันดีแล้ว พวกเขาจับกลุ่มกันและเป็นเพื่อนกัน เบ็กกี้มองไปรอบกาย มีคนอยู่ในนี้มากกว่าร้อยคน นับว่าค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว เธอไม่เคยผูกมิตรกับใครเลยและไม่เก่งเรื่องนี้ด้วย อาจเป็นเพราะว่า บ้านเกิดของเธอคือเมืองแคสติโมเนีย ซึ่งเป็นเขตหนึ่งในรัฐโลน อัลเลย์ เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องสังคมวัฒนธรรมคร่ำครึ เคร่งครัด และสุดโต่ง แคสติโมเนียเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญแบบเมือง ทั้งประเพณีและการใช้ชีวิตจึงต่างจากผู้คนในเมืองใหญ่ คนนอกมักมองว่าชาวแคสติโมเนียนเป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ ผู้ซึ่งปราศจากมันสมองที่พัฒนาแล้ว ครอบครัวของเบ็กกี้มีสมาชิกทั้งหมดแปดคนกับฝูงแกะอีกหนึ่งฝูง ผู้คนที่นั่นเคร่งครัดในหลักศาสนาอย่างจริงจัง รวมทั้งพ่อแม่ของเธอด้วย และเธอเป็นตัวประหลาดประจำหมู่บ้าน เพราะเหตุนี้ พวกแกะจึงเป็นเพื่อนเพียงกลุ่มเดียว อีกเหตุผลหนึ่งที่เบ็กกี้ไม่มีเพื่อน นั่นคือเธอสามารถทำให้คนรำคาญได้เสมอ ดังนั้นการอยู่ห่างจากคนอื่นจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด
เพราะตัวเล็ก เธอจึงสามารถแทรกออกมาจากกลุ่มคนที่อัดแน่นราวกับปลากระป๋องได้อย่างง่ายดาย ด้วยความที่ไม่เข้าใจข้อความบนจอทีวีเลยแม้แต่นิดเดียว เธอจึงหันมาจดจ่ออยู่กับปัญหาของตัวเอง นั่นคือเจ้าสายรัดข้อมือที่ติดมาตั้งแต่อยู่ในสถานรักษา มันทำจากพลาสติกเหนียวทนทาน เธอเคยพยายามใช้มีดในห้องอาหารตัดแล้ว แต่มันไม่คมพอ หากไม่นับนิสัยขี้อาย การที่เธอไม่กล้าขอให้ใครช่วยก็เพราะกลัวว่าหากคนมองเห็นสายรัดอันนี้ พวกเขาจะมองเธอด้วยสายตาที่แปลกไป ของสิ่งนี้ทำให้เธออับอายจนไม่กล้ามองหน้าใคร
ไม่มีทางเอาออกแล้วล่ะ สาวน้อยถอดใจ ฉันคงต้องอยู่กับแกไปตลอดชีวิต เธอไม่รู้หันหน้าไปทางไหนดี ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่เธอไม่ใช่คนช่างสำรวจเท่าไร
“เบ็กกี้ อยู่ที่นี่เองเหรอ” เด็กหนุ่มดวงตาสีน้ำตาลช็อกโกแลตยืนขวางไว้ พวกเขารู้จักกันมาก่อน ไม่นานนักหรอก และมันไม่น่าประทับใจเลย ทำไมเขามีกลุ่มเพื่อนเป็นของตัวเองทั้ง ๆ ที่พวกเขายังอยู่ที่นี่ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง พวกเจ้าหน้าที่บอกว่ากลุ่มเบ็กกี้เป็นกลุ่มสุดท้าย “ฉันบอกเพื่อน ๆ ว่า เธอมาจากสถานบำบัดอะไรสักอย่าง พวกเขาอยากรู้ว่ามันเป็นสถานที่แบบไหน”
เขารู้อยู่แล้วว่ามันเป็นสถานที่แบบไหน เขารู้อยู่เต็มอก เด็กหนุ่มคนดังกล่าวสวมเสื้อเชิ้ตสีครีมสะอาดสะอ้าน ในขณะที่เบ็กกี้สวมชุดกระโปรงที่เคยเป็นสีขาวแต่ตอนนี้กลายเป็นสีเหลืองสกปรก อันที่จริงมันไม่ใช่เสื้อผ้าของเธอด้วยซ้ำ แต่เป็นชุดคนไข้ต่างหาก รองเท้าหนังของเขาไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ตรงกันข้ามกับรองเท้าทรงบัลเล่ต์สีเขียวเก่า ๆ ของเธอ เขาคงเป็นลูกคุณหนูจากครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง พลูทักซ์ นั่นคือชื่อของคนคนนี้ ไม่ทันไร เด็กหนุ่มคว้าแขนข้างขวาของเธอ
“ปล่อย!” เธอพยายามดึงแขนกลับ แต่เขาบีบข้อมือเล็กจนเจ็บ คนนิสัยไม่ดีจงใจอ่านตัวอักษรบนสายรัดเสียงดัง “เบ็กกี้ ควินน์ สถานพักฟื้นจิตเวชเมืองแคสติโมเนีย เขตสาม โอ้โห พวกนายได้ยินไหม ยัยนี่เป็นคนไข้จิตเวช”
เบ็กกี้ปิดหน้าตัวเอง อีกส่วนก็พยายามดึงมือกลับออกมา พลูทักซ์คงชอบเห็นเธอร้องไห้งอแง
“อย่าทำแบบนี้”
“ยัยบ้า”
“เธอเป็นบ้าเหรอ เธอมีโรคทางสมองหรือเปล่า”
“เปล่า เป็นบ้าต่างหาก นี่คนไข้โรคจิตนะ”
“มันก็เหมือนกันป่ะวะ มันแปลว่าเธอป่วยทางสมองไม่ใช่เหรอ”
“เป็นบ้าถือว่าเป็นโรคด้วยเหรอ”
“ปล่อยเธอซะ ไอ้พวกเด็กเกเร!”
เบ็กกี้เห็นเด็กหนุ่มสวมเสื้อสเวตเตอร์สีเขียวเดินปรี่เข้ามาช่วย เขาสูงกว่าพลูทักซ์ไม่เท่าไร และไม่ถือว่าเป็นคนสูง น่าจะอายุมากกว่าพวกเบ็กกี้ประมาณสองสามปี เด็กหนุ่มผลักหัวโจกจอมรังแกออกไป เด็กสาวรีบหลบหลังเขา
“ฉันพูดกับเธอ ไม่ใช่กับนายสักหน่อย”
“นี่คือการรังแก โตได้แล้วไอ้หนู”
เด็กคนนั้นดึงเธอออกไปจากที่นั่น เธอเหลือบมองผมสีวอลนัทของเขาแล้วอดฉงนไม่ได้ที่มันตั้งตรงเรียงกันสวยงาม ส่วนผมด้านข้างถูกไถเรียบ เธอคุ้น ๆ ว่ามันเรียกว่าทรงโมฮอว์ก เบ็กกี้ได้ยินเสียงพลูทักซ์ตะโกนด่าเด็กหนุ่มไล่หลัง
พลูทักซ์โตกว่าเธอปีหนึ่ง เขาอายุสิบหก ทั้งสองมาถึงในเวลาเดียวกัน เด็กหนุ่มแนะนำตัวและนั่งร่ายยาวชีวิตของตัวเองจนเธอเกือบหลับ ตอนแรกเธอคิดว่าเขาเป็นคนน่ารักพอใช้ได้และอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทว่าเมื่อเขาเห็นข้อความบนสายรัดข้อมือ ท่าทีก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขากลายเป็นปีศาจอันธพาลที่แสนน่าเกลียด ทำตัวเหมือนพวกหัวโจกในโรงเรียนไม่มีผิด
เด็กหนุ่มที่เพิ่งช่วยเธอหยุดเดินและหันมาคุยกับเธอ “ฉันชื่อ เรมี เธอชื่อเบ็กกี้ใช่ไหม”
สาวน้อยพยักหน้าช้า ๆ พอมองใกล้ ๆ จึงเห็นว่าเขายังเด็กมาก อาจจะอายุใกล้กับเธอด้วยซ้ำ แต่มีบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาโตกว่า อาจเป็นเพราะบุคลิกที่ดูเป็นผู้ใหญ่
“เธอไม่ต้องกลัวฉันหรอก พอดี ฉันเพิ่งมาถึงที่นี่เมื่อวานนี้เอง พอจะบอกได้ไหมว่าที่นี่มีไว้ทำอะไร แล้วข้อความบนจอหมายความว่าอะไร”
“ฉันไม่รู้เหมือนกัน...คือ ฉันก็เพิ่งมาถึงเมื่อวาน” เด็กสาวตอบ เธอก้มหน้า กลัวว่าจะทำให้เขาไม่พอใจที่เธอไม่รู้อะไรเลย
“ไม่เป็นไร ๆ ถ้าอย่างนั้นเธอคงเป็นพวกกลุ่มสุดท้ายแน่ ๆ ฉันมาตอนเช้าของเมื่อวานน่ะ” เขาเล่า แต่เหมือนปลอบมากกว่า เรมีพิจารณาสายรัดบนมือของเธอ เขาพยายามจะดึงมันออกโดยไม่ปริปากหรือทำสีหน้าตัดสินแต่อย่างใด ทว่าผลลัพธ์เหมือนเดิม พลาสติกเหนียวเกินไป แต่เบ็กกี้ก็ยังรู้สึกดีที่เขาไม่พูดอะไรเหมือนคนอื่น
“เหนียวจริง ๆ...เอางี้ เฮ้ พวกนาย ใช่แล้ว พวกนายนั่นแหละ ช่วยพวกเราหน่อยได้ไหม” เขาเรียกหนุ่มผมแดงกับสาวหน้าสวยที่เธอเจอตรงหน้าห้องอาหาร
เสียงตามสายเหมือนเสียงแสตนเนอร์ อเล็กซิสจำได้ดีทีเดียว นอกจากทรอยแล้ว เจ้าหน้าที่เธอคลุกคลีด้วยมากที่สุดก็คือเขา“เราไม่ทันตั้งตัวเลย กลุ่มเสี่ยง...พวกคุณพัฒนาไปมากเหลือเกิน มากจนอันตราย มากจนเราไม่อาจต้านทาน แต่พวกคุณก็ยังจำเป็น ยังต้องอยู่ เอชโอวันหมายถึงอาการผิดปกติ คุณอาจจะมองว่ามันเป็นความพิเศษ แต่ก็ดูสิ่งที่พวกคุณทำกับทอยซิตี้ ทั้งหมดตอกย้ำว่าทำไมกลุ่มเสี่ยงต้องอยู่ในนี้ ทำไมพวกเราต้องหาคำตอบ ทำไมพวกเราต้องหาทางรักษา”“บลา บลา” โคดี้ตะโกน “พวกมันพยายามเจรจาโว้ย”“แล้วกลุ่มต้องสงสัยที่ไม่แสดงอาการเล่า พวกคุณยอมรับได้หรือ จู่ ๆ คนกลุ่มหนึ่งก็ทำลายทุกสิ่ง ทำลายชีวิตสงบสุข ทั้งที่อีกไม่กี่เดือน พวกเรารวบรวมรายชื่อผู้ที่อาศัยในทอยซิตี้ในฐานะกลุ่มต้องสงสัยจนไม่อาจเป็นกลุ่มเสี่ยงไว้ อีกไม่กี่เดือน รายงานฉบับนี้จะถูกส่งไปยังทางการ และเมื่อนั้น เราจะส่งพวกคุณกลับบ้าน...”อเล็กซิสกลืนน้ำลาย เธอเข้าใจแล้วว่าพวกเขาต้องการอะไร“อย่าไปฟัง” ใครคนหนึ่งตะโกน แต่ปืนในมือบางคนตกลงข้างตัว หลายคนตกตะลึงก
ไซบอร์กตัวหนึ่งถูกยิงทะลุอกจากด้านหลัง อเล็กซิสโล่งอกชั่วครู่เมื่อเห็นว่าชาวทอยซิตี้ที่ยังรอดชีวิตวิ่งเข้ามาจากทุกสารทิศ อาจไม่ใช่จำนวนทั้งหมดแต่ก็มากพอที่จะเป็นฝ่ายล้อมศัตรูไว้แทน แต่แล้วไซบอร์กก็โผล่มามากขึ้น จากสิบเป็นยี่สิบ จากยี่สิบเป็นสามสิบ“ไมเคิล!”เสียงเทสซ่าดังขึ้น เธอมาพร้อมกับพวกบลู และโคดี้ก็ตื่นแล้ว! เธอสบตากับอเล็กซ์แล้วยิ้ม โคดี้กลายเป็นเพียงความหวังเดียวของทุกคน“หมอนั่นยังใช้พลังไม่ได้” คำพูดของอาคุสะดับฝันลงทันที“ฟีบี้ ให้ฟีบี้คืนพลังเขา”“ไม่เกี่ยว” อเล็กซ์ปฏิเสธ “หากฟีบี้ดึงพลังไปแล้วเธอจะใช้ได้จนกว่าตัวเองอ่อนแรง แต่เจ้าของร่างยังใช้พลังได้อยู่ดี การที่เธอดึงพลังไปไม่ได้แปลว่าสูบกำลังไปจนหมด”“แต่...” อเล็กซิสจำได้ว่าเทสซ่าเคยบ่นเรื่องที่โดนยืมพลัง “เทสซ่า”“มันเป็นแบบนั้นแค่ช่วงแรก” อเล็กซ์ยืนยัน “ตอนอยู่นอร์ธ เธอมาเยี่ยมพวกเราบ่อย แล้วก็ลองฝึกด้วย”แต่ละฝ่ายยังคงดูเชิง อเล็กซิสสลัดเสียงในหัวออกไป
เธอชี้ขึ้นไปข้างบน ทั้งหมดมองขึ้นไปเห็นยานจำนวนมากบินออกไป ทีแรกพวกเขาตกใจ ทว่ายานเหล่านั้นไม่ได้บินวนรอบเมืองหรือยิงอาวุธใส่แต่อย่างใด แต่บินลับหายไป เธอเพ่งมองไปบนท้องฟ้า ยานลำเลียงพวกนั้นทยอยบินออกไปทีละลำมากกว่าไปทั้งกลุ่ม และมันลอยออกมาจากตึกสูงที่ตั้งเด่นเป็นตระหง่าน มีแสงวิบวับสะท้อนจากด้านใน เหมือนกับแสงไฟฉาย ตึกนั้นเป็นหนึ่งในสองตึกที่ยังไม่มีหุ่นยนต์ตัวไหนทลายเข้าไปได้ศูนย์บัญชาการกลางเขตเดอะ วาล“หมายความว่าไง” อเล็กซ์พึมพำถ้ากำลังทหารมาเพิ่ม ยานก็ต้องบินเข้ามาไม่ใช่หรือ หรือว่าเธอไม่ได้สังเกตมาก่อนว่ากองกำลังสนับสนุนมาประจำการเพิ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อเล็กซิสมองไปรอบ ๆ ทุกอย่างมืดสนิท แม้แต่แสงไฟที่ออกมาจากจุดที่ยานบินออกก็ยังมืด หากไม่ใช่เพราะตัวยานมีแสงไฟก็ไม่อาจสังเกตเห็นได้ทันทีพวกเขาไม่ต้องการเป็นจุดสังเกต อเล็กซิสคิด ไฟจากพลังงานไฟฟ้ากับไฟจากการเผาไหม้ไม่เหมือนกัน ยิ่งเวลานี้ ควันเริ่มจางลง พระอาทิตย์ยังไม่ตื่นจากหลับใหล ท่ามกลางความมืดนี้ หากมีแสงไฟจากที่ใดก็ตามจะกลายเป็นจุดเด่นทันที“ทั้งตัดไฟ ตัดร
เธอไล่ความคิดนั้นออกไปแล้วรัวปืนยิง หนึ่งเพื่อกันไม่ให้เมลิสซ่าทำอะไรโง่ ๆ และสองเพื่อช่วยสองหนุ่มที่ยังสู้อยู่ อาคุสะถอยออกแล้วปล่อยให้อเล็กซ์ซัดพลังใส่มัน เมื่อเรมีกับไมเคิลเข้ามาช่วยรุม อเล็กซ์ก็ถอยอีกคนเรมีหักร่างมันเป็นสองท่อน เมลิสซ่าไม่รอช้ายกปืนยิงศีรษะ แม้จะยังไม่อยู่กับร่องกับรอยแต่ฝีมือเธอยังยอดเยี่ยม กระสุนแหวกผ่านช่องว่างระหว่างเรมีกับไมเคิลเจาะกะโหลกมันพอดี เธอเหมือนกับบลู ไม่มีพลังพิเศษใด ๆ แต่อาศัยประสบการณ์และทักษะที่สั่งสมมาจนเอาตัวรอดได้ดีกว่าอเล็กซิสที่ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเสียอีก อาคุสะเห็นฝีมือเมลิสซ่าก็ปล่อยแขนเธอลง ไม่คิดรั้งอีก“ฮึ” เมลิสซ่าเดินตรงไปแล้วถุยน้ำลายใส่ศพครึ่งคนครึ่งหุ่นยนต์อเล็กซิสขมวดคิ้วเมื่อพิจารณาศพอมนุษย์ที่เพิ่งตาย จริงอยู่ที่ไซบอร์กเป็นพวกคนผสมหุ่นยนต์ เช่นตัวนี้ ลำตัวส่วนบนเป็นมนุษย์ ขณะที่ช่วงล่างเหมือนหุ่นยนต์ จู่ ๆ ภาพของเวดก็แล่นเข้ามาในหัวไม่นะไม่ใช่ เธอยังไม่เจอตัวไหนที่เหมือนเวด แต่อเล็กซิสกลัวจับใจ พวกมันเอาตัวเด็กที่บาดเจ็บจนพิการออกไป ทีแรก เธอคิดว่าพวกเขาอาจจะฆ่าเพื่
แม้ไฟตามถนนจะมืดสนิท ไม่มีแสงไฟจากอาคารใด ๆ แต่ก็ยังพอมองเห็นหนทาง อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่อาจเดินทางได้อย่างสบายใจเมื่อหุ่นยนต์ทั้งหมดหยุดนิ่งราวกับถูกสาป ยิ่งเดินเท่าไร ยิ่งเห็นว่าแต่ละตัวยืนนิ่งอยู่ตามมุมต่าง ๆ ราวกับรูปปั้นประดับ ให้ความรู้สึกเหมือนเวลาหยุดชะงัก และมันน่ากลัวเมื่อมาถึงจุดที่มาของเสียงร้องดังกล่าว อเล็กซิสเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกอดร่างเพื่อนไว้ในอ้อมอก ผู้ที่นอนอยู่ปรือตาเรียวขึ้นมาเล็กน้อย ลมหายใจรวยริน เลือดตรงลำคอไหลซึมราวกับท่อรั่ว คนที่รอดพยายามเอามืออุดไว้ให้ เมื่อเห็นว่ามีคนมา เธอเงยหน้าขึ้นตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ร้องขอความช่วยเหลือ “ได้โปรด...” แววตาอ้อนวอนจนไม่เหลือคราบหญิงแกร่งประจำเดอะ วาลไมเคิลจะขยับเข้าไปก็ชะงัก ลำตัวผู้บาดเจ็บเกร็งขึ้นจากนั้นคลายลงก่อนจะนิ่งสนิท “ไม่ ๆ แคโรลีน ลืมตาสิ อย่าเป็นอะไรไป”อเล็กซิสเบือนหน้าหนี แต่กลับยิ่งผงะกว่าเดิมเมื่อดันไปเจออีกสองร่างนอนกอดก่ายกลางถนน หนึ่งคือร่างไซบอร์ก อีกหนึ่งคือหญิงสาวร่างสูงคนหนึ่ง หากมองเผิน ๆ คงเหมือนพวกเขานอนกอดกันอยู่ แต่สีแดงที่อาบร่างทั้งคู่ทำลา
ถึงจะเป็นเอไลโตเหมือนกัน แต่ซีโนฮอฟเป็นแค่ลอร์ด ถึงแม้เจ้าชายเมเคอร์จะถ่ายทอดคำสั่งด้วยตัวเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาด่วนหุนหันตัดสินใจ คำว่า ‘ทำลายได้’ ก็คงต้องให้คนระดับนี้ออกปากเองเท่านั้นเขาทราบดีว่าที่รอคำตอบจนกระทั่งขึ้นวันใหม่ก็อาจเป็นเพราะเอไลโตต้องถกเถียงกัน ฝ่ายที่อ้างว่าเป็นผู้ทรงปัญญาอยากรักษาที่นี่ไว้ ขณะที่ฝ่ายอื่นมองมันเป็นภัยต่อโลกมาสักพักแล้ว (และพวกเขาก็คิดไม่ผิด ในขณะที่ยังหาคำตอบของเอชโอวันไม่ได้ กลุ่มเสี่ยงกับพัฒนาจนลุกฮือได้ทีเดียวสองเขตจนมาถึงเดอะ วาลอย่างที่เห็น) ไหนยังจะปัญหาชายแดนในนิวโฮปและสายลับที่แอบแฝงตัวเข้ามาอีกนับไม่ถ้วน เพื่อความมั่นคงของเอไลโต ไลบราเรีย และนิวโฮป พวกเขาจะรับปัญหารอบด้านไม่ได้ แสตนเนอร์เห็นสมควร อีกอย่าง......เขาอยากกลับบ้าน เขาไม่อยากตายที่นี่แม้ลึก ๆ แล้วก็ไม่อยากใช้วิธีนี้นัก ถึงอย่างไรก็ยังมีเด็กน้อยอีกหลายคน แต่เพื่อเอไลโต เขาต้องปกป้องสิ่งที่สำคัญกว่าไซบอร์กคือตัวซื้อเวลา ไหนยังจะมัลแวร์ที่ปล่อยเข้าไปในระบบเพื่อทำลายอาวุธของพวกมัน (ทั้งที่มันเคยเป็นของทหาร) ลาก่อน ทอยซิตี้