“แล้วพวกเธอทำอะไรกัน หมายถึง คุยอะไรกันบ้าง”
เธอหันหน้ามา เพ่งมอง
“ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”
“เปล่า แค่รู้สึกแปลกใจที่นายดูสนใจเพื่อนของนายกับฉันมากขนาดนี้ นายคงไม่เห็นหน้าตัวเองหรอก แต่หน้าของนายตอนนี้ขึงขังมาก”
“คือ” เขาพยายามหาข้อแก้ตัว “เขาขังตัวเองในห้องนั้นมาหลายวัน ฉันเป็นห่วงมาก แล้วจู่ ๆ เขาก็ออกมา ฉันก็เลยคิดว่า เธออาจจะมีส่วนช่วยด้วย”
“อ้อ เข้าใจแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะฉันหรอก เขาคิดได้ด้วยตัวเองน่ะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
เบนจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้น จากนั้นเธอคลี่ยิ้มบาง ๆ “ไม่เชื่อเหรอ ฉันพูดจริงนะ พวกเราแค่คุยกันเรื่องปรัชญาต่าง ๆ เท่านั้นเอง”
“หา ปรัชญาเหรอ”
อเล็กซิสเลิกคิ้ว ทำให้เบนปรับสีหน้าเป็นปกติ “เดส์การ์ต อริสโตเติล ซาร์ต นายรู้จักคนพวกนี้ไหม”
“แน่นอน ฉันรู้จัก...พวกเธอคุยกันแค่นี้เหรอ”
“อื้อ ก็มีเรื่องอื่นด้วยแหละ แต่ว่าส่วนใหญ่คุยกันเรื่องนี้ เพื่อนของนายค่อนข้างรู้ลึกพอสมควร น่าทึ่งมาก ๆ เลยนะ ตอนแรกดูไม่น่าจะเป็นคนสนใจอะไรแบบนี้ ฉันนึกว่าเขาเป็นประเภทชอบกวนประสาทคนอื่นไปทั่ว”
เบนหัวเราะ “ใช่ ๆ หมอนี่เป็นหนอนหนังสือแล้วก็รู้อะไรมากมาย มากกว่าบุคลิกที่เห็นภายนอกนั่นแหละ เธอบอกว่าเขากวนประสาท เขาทำอะไรล่ะ”
“เขาพ่นควันใส่หน้าฉัน ควันบุหรี่น่ะ”
ชายหนุ่มหัวเราะผ่านจมูก “นั่นแหละ เจ้าหมอนี่เลย”
“เอาจริง ๆ ถ้าไม่มีเครื่องดักควัน ฉันว่าเขาก็คงแกล้งฉันต่อไป พวกเราก็คุยไปเรื่อย พูดเรื่องสถานการณ์ในโลก ผู้คน แล้วก็ที่นี่ ฉันพอเข้าใจนะว่าทำไมเขาถึงขังตัวเองไว้แบบนั้น”
“เพราะอะไร”
อเล็กซิสหยุกกึก แววตาดูจริงจังขึ้น “นายลองคิดดูสิ ชีวิตที่ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่มีความหวัง มันน่าเศร้านะ มันจะยิ่งเศร้ามากขึ้นถ้านายตระหนักความจริงข้อนี้ แล้วมันจะเศร้าที่สุด เมื่อนายตระหนักรู้แล้ว แต่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้”
เขาฟังเธอนิ่ง รู้สึกเจ็บแปลบในอก อเล็กซ์ต้องการเพื่อนที่เข้าใจและสามารถคุยด้วยได้ แต่เบนกลับเลือกที่จะไม่สนใจสิ่งที่อเล็กซ์เก็บไว้ข้างใน ตัวเขาเองรู้ดีว่าลึก ๆ ทุกคนต่างคิดแบบนี้ แต่เขาคิดว่ามันคงดีกว่าถ้าจะไม่ให้ความสำคัญกับมัน บางทีเขาควรอยู่กับอเล็กซ์และคุยกันเรื่องนี้แบบที่อเล็กซิสทำ จะเป็นไปได้ไหมว่าถ้าเขาทำแบบนั้น จิตใจของอเล็กซ์จะฟื้นตัวได้เร็วกว่านี้ แล้วเบนนั่นแหละ จะเป็นคนพาเพื่อนออกมาจากห้องนั้นได้
“แล้วทำอย่างไร เขาถึงรู้ว่าไม่ควรหมกตัวอยู่อย่างนั้นล่ะ”
“ก็สร้างมันขึ้นมาเองสิ”
เด็กสาวยิ้มอีกครั้งเมื่อเขาทำหน้าไม่เข้าใจ “สร้างความหวัง สร้างเป้าหมาย สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาใหม่”
“อธิบายให้ฉันฟังมากกว่านี้ได้ไหม”
“ได้สิ ก็เป้าหมายที่ว่า ก็คือต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ กลับไปบ้านให้ได้”
แววตาของเธอแน่วแน่ สะท้อนให้เห็นว่าเธอจริงจังกับสิ่งที่พูด มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่เรื่องที่น่าแปลกประหลาดกว่าสิ่งใดคือสภาวะที่สติของเขานิ่งงันเมื่อสบเข้ากับดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นอย่างจัง สีน้ำเงินเข้มทำให้หวนนึกถึงสถานที่ที่ร่างของแนทถูกฝังอยู่ เมื่อนั้นเขารู้สึกเคว้งคว้าง
“เบน”
“ขอโทษ เอ่อ จะออกไปจากที่นี่ พวกเธอคิดแบบนี้จริง ๆ เหรอ คิดว่าจะทำได้เหรอ”
“เพราะเรื่องตรวจสุขภาพนี่แหละ ฉันแน่ใจว่าเจ้าหน้าที่ต้องเตรียมการทำอะไรบางอย่าง ตอนนี้เราได้แต่รอ แล้วก็รอ จนกว่าจะรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรกับพวกเรา จากนั้น พวกเราจะรู้เองว่าควรทำอย่างไรต่อ”
เขาทำเสียงฮึในลำคอ ขำความคิดของคนทั้งคู่ “ฟังดูเหมือนจะก่อกบฏ ถึงแม้ฉันยังไม่เห็นว่าพวกเธอคิดจะทำอะไรก็ตาม”
อเล็กซิสดูเปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่เขาเห็น แก้มทั้งสองข้างปราศจากสีแดงระเรื่อ ไม่มีอาการเขินอาย แถมยังแสดงความเห็นออกมาตรง ๆ ไม่มีปิดบัง เกิดอะไรขึ้นกับเสน่ห์ของเขา หรือเป็นเพราะว่าเขาปิดปุ่มมันอยู่? “...เธอรู้ไหม เธอในตอนนี้กับครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน ค่อนข้างต่างกันนิดหน่อย ฉันรู้สึกอย่างนั้น”
เธอยื่นหน้ามาเพื่อดูสำรวจใบหน้าของเขาเช่นกัน “นายก็เปลี่ยนไปเหมือนกันนะคะ คุณหมาป่า”
“ตรงไหน”
“ความสนใจของนายไง”
เขารู้ว่าเธอหมายถึงอะไร “เขาเป็นเพื่อนสนิท ฉันแค่อยากทราบสาเหตุที่เขาเปลี่ยนก็แค่นั้น”
หากไม่นับใบหน้ากับดวงตา รอยยิ้มของเธอถือได้ว่าเป็นอาวุธอย่างหนึ่งที่สะกดผู้ชายได้อยู่หมัด เธอยิ้มเป็นนัยว่า “ก็แล้วแต่”
“เธอคิดว่าฉันเป็นพวกหมาป่าแบบที่เพื่อนเธอบอกเหรอ”
“ไม่ต้องให้ใครบอกทุกคนก็เห็นได้จากแววตาคู่นี้” เด็กสาวกอดอกแล้วหรี่ตามอง ท่าทางที่ทำให้เขาอยากจับเธอจูบ
“ฉันไม่เคยปิดบังนะ” เขาจ้องเด็กสาว ถึงแม้ได้รับคำตอบเรื่องของอเล็กซ์แล้ว แต่เบนยังไม่แน่ใจว่าเขาอยากเริ่มรุกเธอตอนนี้หรือไม่ เด็กคนนี้มีพลังบางอย่างในตัว มีรอยยิ้มที่แสนดึงดูดและน่าเอ็นดูในเวลาเดียวกัน บางครั้งเขานึกอยากจูบใบหน้านั้น แต่บางครั้ง เขาแค่อยากลูบศีรษะเธอเบา ๆ แต่กระนั้น ฉันคือเบนจามิน โรซิเยร์ใช่หรือเปล่า
“เธอไม่ต้องกลัวหรอก ถึงใครจะบอกว่าฉันเป็นหมาป่า แต่ก็เป็นหมาป่าที่มีคลาส ไม่ใช่มั่วไปทั่ว ฉันสนใจเธอ นั่นคือความจริง แต่เราก็แค่คุยกันเฉย ๆ ได้”
เธอทำท่าคิดตาม “หืม แต่สิ่งที่ฉันได้ยินมาไม่ใช่แบบนี้แฮะ เอาเถอะ พวกเราเป็นเพื่อนกันได้ จริง ๆ นะ ไม่ใช่แบบที่นายคิด หมายถึงเพื่อนจริง ๆ ไม่ใช่แบบเวดกับซาร่าห์” เธอทำไม้ทำมือประกอบ
“นี่คือปฏิเสธแล้วใช่ไหม”
เธอไม่ตอบ แต่ยิ้มแทน
เบนอมยิ้ม “หรือเป็นเพราะว่าเธอชอบเพื่อนของฉันมากกว่า”
รอยยิ้มของเด็กสาวหายวับ “ไม่ใช่” เธอปฏิเสธทันที “ฉันชอบเขาน่ะ แต่ไม่ใช่แบบนั้น พวกเราเพิ่งรู้จักกันเอง”
อันที่จริง เธออาจไม่รู้สึก หรือพวกเขาอาจจะยังไม่รู้สึก แต่เขาสัมผัสได้ถึงสัญญาณประกายไฟบางอย่างที่อาจจะกลายเป็นเรื่องน้ำเน่าในวันข้างหน้า ถ้ามันกลายเป็นแบบนั้นจริง ๆ เขายิ่งต้องทำให้เธอมานอนกับเขาให้ได้ เพราะมันเป็นบททดสอบสำหรับผู้หญิงทุกคนที่จะเข้ามาในชีวิต
ของอเล็กซ์ เพื่อนายนะทางข้างหน้าเป็นทางตัน เบนเพิ่งรู้ว่าห้องของอเล็กซิสอยู่ริมสุดทางเดิน เธอคงรู้แต่แรกแล้วว่าเขาโกหกเพื่อจะหาเรื่องคุยด้วย
“ฉันดีใจนะที่ได้เจอเพื่อนใหม่ ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วเจอกันที่ห้องอาหาร”
“แน่นอน”
เขายืนมองจนเธอเข้าห้องไปพร้อมกับรอยยิ้มขำ ก่อนที่เบนจะจมอยู่กับความรู้สึกประหลาด มันอึน ๆ เหมือนมีหมอกรายล้อมรอบตัว
บรรยากาศที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อนไม่มีผลกับบรรยากาศ ณ เวลานี้ มันเป็นความรู้สึกหลายอย่างที่ผสมปนเปอยู่ข้างใน เขาไม่ใช่แค่คนที่ทดสอบแต่เขาก็ถูกทดสอบเหมือนกัน แม้บททดสอบนั้นจะต่างวัตถุประสงค์
แบมบี้
เบนจามิน โรซิเยร์ไม่เคยใช้ความคิดมากมายขนาดนี้เพียงเพื่อจะทำให้ผู้หญิงตกหลุมรักตัวเอง หรือวิเคราะห์ผู้หญิง แต่ในเวลานี้กลับมีคำถามมากมายผุดขึ้นมาหลังจากได้คุยกับเธอ คล้ายกับว่าทัศนคติของเขาถูกครอบงำ ทั้งบทสนทนา อารมณ์ เขาเริ่มหมกมุ่นอยู่กับสถานที่ คน และเพื่อนตัวเอง ประหนึ่งเธอแอบปลูกความคิดบางอย่างในหัวของเขาด้วย
และเมื่อเขาหันหลังเดินกลับ
“ได้อะไรใหม่หรือเปล่าล่ะ” อเล็กซ์ยืนกอดอก ยักคิ้วกวนรออยู่
“นายตามฉันมา?”
“อ้าว ไม่เห็นว่าฉันยืนอยู่เหรอไง”
เบนกอดอกบ้าง คิ้วทั้งสองยังคงขมวดเป็นปมแน่น “นายแค่คุยปรัชญากับเด็กคนนี้จริง ๆ เหรอ”
อเล็กซ์พยักหน้า “ก็อยากจะบอกหรอกนะ แต่ขี้เกียจอธิบายให้นายเข้าใจ เพราะว่านายชอบคิดเรื่องสกปรก”
“แต่เวลาที่คนสองคนคุยเรื่องแนวนี้ได้ แปลว่าพวกเขาเข้าใจกันมากไม่ใช่เหรอ อ้า ช่างเถอะ ฉันไม่จี้ถามนายละ” เขายกมือห้าม “ฉันไม่สนแล้วว่านายกับเธอเป็นอะไรกัน แต่นายต้องรู้ไว้ ฉันอยากได้เด็กคนนี้ ฉันเห็นเธอก่อน และไม่สนด้วยว่าเธอจะชอบนายหรือเปล่า หรือตอนนี้เธอชอบนายอยู่หรือไม่ แต่ถ้าเธอตกหลุมรักฉันเมื่อไร อย่าโทษฉันก็แล้วกัน มันไม่เหมือนกับกรณีของซาร่าห์”
ถึงเขาจะพูดไปแบบนั้น แต่กลับไม่แน่ใจว่าคำพูดที่บอกกับอเล็กซ์นั้นยังฟังดูเหมือน
เบนจามิน โรซิเยร์คนเดิมหรือไม่กลุ่มกบฏบางกลุ่มต้องการทำลายนิวโฮป จึงไม่ใช่ทุกกลุ่มที่ยินดีอ้าแขนต้อนรับพวกเขา และข้อสำคัญคือ พวกเขาจะติดต่อคนเหล่านี้ได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มไหนตอบโจทย์ที่พวกเขาต้องการไม่มีใครตอบได้ แม้แต่บลูก็จนแต้ม เขาเพียงแค่อยากอยู่ที่นี่ ใกล้กับหลุมศพน้องชาย“ไมเคิล ฉันว่าไม่ปกตินะ” จอห์นปลุกสติของเขาอีกครั้งสายฟ้าของอเล็กซ์ฟาดซัดต้นไม้แถบนั้นเป็นจุณทีเดียวนับสิบต้น ขณะเดียวกันกระแสไฟฟ้าแล่นเป็นวงรอบตัวเขา อาคุสะเริ่มตื่นตัว ออร่าสีเขียวและเหลืองแผ่ออกไป“อเล็กซิส ถอยออกไป!” เป็นอเล็กซ์ที่ตะโกนเตือนแฟนสาว “ฉันคุมมันไม่ได้!”“แย่ละ” ไมเคิลกับจอห์นวิ่งเข้าไปอเล็กซิสควบคุมมวลน้ำเพื่อดับไฟ แต่กระแสไฟฟ้าของคนรักยังแล่นออกมาเรื่อย ๆ จนเธอเริ่มหาที่หลบไม่ได้ เขาหาทางจะเข้าไปช่วยฝาแฝด ตอนนี้แทบมองไม่เห็นอเล็กซ์เพราะมีแต่กระแสไฟฟ้าพัวพันรอบตัวเทสซ่าหวีดร้องขึ้นมา เธอกับอาคุสะจับมือกันแน่น พื้นดินบริเวณนั้นสั่นสะเทือน เขาสบตากับจอห์น ใช่ แผ่นดินไหว แต่...ฝีมือธรรมชาติหรือสัญชาตญ
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ที่แท้นาฮีมานาไม่ได้คิดจะให้พวกเขากลับนิวโฮปแต่แรก ไมเคิลหันไปมองพวกเพื่อน ๆ เทสซ่านั้นคิ้วขมวดจนเป็นปม เธอนั่งกอดอกหลังตรงแล้วเม้มปากแน่น หากแต่ไหล่สั่น ขณะที่คนอื่นถกเถียงกัน อเล็กซิสก็นั่งเท้าคางใช้ความคิด ไมเคิลสัมผัสความรู้สึกร่วมของคนในนี้ได้อย่างหนึ่ง นั่นคือความเศร้าเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้กลับบ้าน หรืออาจจะไม่มีวันได้กลับ“ถ้าหาก...ถ้าหากเราทำให้เมเคอร์เข้าใจได้ว่าพวกเราไม่เป็นภัย พวกเราเป็นชาวนิวโฮป อยากปกป้องบ้านเหมือนกัน ถ้าเราทำให้เขาเห็นจุดยืนของพวกเราว่าไม่ได้เป็นภัยต่อไลบราเรีย ต่อโลก...” ไมเคิลเลิกคิ้ว เพราะเทสซ่าพูดเหมือนอเล็กซิสเปี๊ยบ“ฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยเทสซ่า เมเคอร์ไม่มีวันให้กองกำลังกับพวกเธอแน่”“ฉันไม่ได้หมายถึงกองกำลัง ฉันหมายถึงตัวพวกเราเอง ถ้าเขามองว่าพวกเราเป็นภัย ทำไมไม่มองว่าพวกเราเป็นอาวุธให้พวกเขาได้”“เทสซ่าพูดถูก” เซนว่า “ทหารสามคนนั้นก็เป็นกลุ่มเสี่ยง”“ลูเซียนบอกว่าเพราะพวกเขาเป็นชาวไลบราเรียนอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังถ
มีเพียงสิ่งลมเขย่ากิ่งไม้ไปมา แสงสีแดงริบหรี่จนแทบเลือนหายไป ความมืดย่างกรายแทนที่ แต่ดวงตาสีน้ำเงินของอเล็กซิสกลับสว่างไสว ช่างเหมือนกับดวงตาคู่นั้นที่คอยจ้องเขายามค่ำคืน ไมเคิลในวัยเด็กมีอาการตื่นตระหนกบ่อยครั้ง และลูก้าเป็นคนปลอบเขา ถึงแม้เขาไม่เคยล่วงรู้เรื่องแฝดอีกคน แต่เพราะดวงตาของเธอเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาอยากอยู่ใกล้เธอ ในยามนี้เขาอ่านความคิดเธอออก ผ่านแววตาและสีหน้า ทั้งคู่ไม่คิดว่าลูเซียนโกหก อย่างไรก็ตามยังคิดว่าอีกฝ่ายบอกไม่หมด ความปรารถนาดีมีบางอย่างเคลือบแฝง ผลงานของลูเซียนคือเครื่องมือที่ฆ่าโนเอลและเบน เขาไม่มีวันให้อภัย เพียงแต่ว่า พวกเขาจะต้องชั่งใจให้ได้ว่าการเชื่อฟังลูเซียนจะเป็นประโยชน์มากกว่าเพิกเฉยหรือไม่เขารู้ว่าอเล็กซิสเสียใจ เธอบอกน้องชายคนนี้เสมอว่านิวโฮปจะเป็นบ้านใหม่ของพวกเขา“อเล็กซิส ไมเคิล” หญิงสาวผมสีดำเรียกสติฝาแฝดทั้งสอง “กลับกันเถอะ มืดแล้ว”“เดี๋ยว...” เขาชะลอเธอรอฟัง แต่เป็นพี่สาวของเขาที่พูด“ถ้าคุณอยากให้พวกเราคล้อยตามลูเซียน คุณต้องบอกมาให้หมดว่าคุณกับเขารู้จักกัน
ดวงตาสีแดงกลอกไปมาราวกับดูแคลนคำพูดของพวกเขา “ผมหวังดี ที่พวกเขากลับไปไม่ใช่เพราะถอย แต่จะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกองทหารและอาวุธมากมาย เมเคอร์ไม่ปล่อยพวกคุณแน่นอน เขาไม่อยากยืดเยื้อ และคราวนี้ได้คงใช้วิธีดึงอาร์คาเดียมาช่วย ทั้งนิวโฮปก็เจอปัญหา ดังนั้นถ้ากำจัดพวกคุณได้เร็วเท่าไร ฝ่ายทหารจะโฟกัสกลับนิวโฮปได้ดีขึ้น”“เกิดอะไรกับนิวโฮป” อเล็กซิสซักทันที “เมเคอร์...เจ้าชายเมเคอร์ใช่ไหม ที่คุณว่า”ลูเซียนพยักหน้า “ใช่ ตำแหน่งเขาสูงกว่าผม ถ้าคุณสังเกตคำนำหน้า ผมเป็นลอร์ด เขาถือตำแหน่งเจ้าชาย เมเคอร์ต้องการทำลายกลุ่มเสี่ยง เขาเห็นว่าพวกคุณเป็นภัย” ชายอัลบิโนขยับตัว มีภาพยานสงครามฝูงหนึ่งปรากฏขึ้น เขาชี้ไปที่รูปพวกนี้ “นี่คือสิ่งที่พวกคุณจะเจอ ในดิสก์แผ่นนี้ ผมมอบโลเคชันให้พวกคุณหนีไปหลบภัย รับรองว่าไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับที่นี่ได้ เมื่อสถานการณ์ในนิวโฮปดีขึ้น ผมจะหาทางทำให้เมเคอร์เปลี่ยนใจ”“คุณมีพลังจิตไม่ใช่หรือ คุณควบคุมจิตใจเขาได้...” อเล็กซิสว่า“ถ้าผมทำได้ผมทำไปนานแล้ว” แต่สาย
แดดสนธยาส่องผ่านร่มไม้จนเกิดลำแสงสีทองเป็นริ้ว คนสามคนเดินย่ำเท้าไปตามใบไม้แห้ง ลมเย็นโชยสลับผสานกับลมร้อนในตอนกลางวัน เวลากำลังผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางคืน“คุณแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ใช่กับดัก” อเล็กซิสถามยายแม่มด (และพักนี้ไมเคิลมักใช้คำนี้บ่อย เพราะไอ้นิสัยชอบรู้เรื่องมากมายแต่ไม่ยอมเล่าให้หมดของนาฮีมานาทำให้เขารำคาญ) “เราจับโดรนสอดแนมมาได้สามวัน แล้ววันนี้เขาก็เรียกแค่พวกเราแค่สามคน ทำไมต้องเป็นคุณ ทำไมต้องเป็นพวกเรา”“เขาไม่ชอบคนเยอะ อาจเป็นเพราะพวกเธอเห็นหน้าเขาแล้วมั้ง แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นจุดประสงค์ดี”เธอมั่นใจอะไรในตัวคนคนนี้กัน คนที่สามารถแฝงตัวอยู่ในกลุ่มเมื่อไรก็ได้เพียงแค่ควบคุมสมองไม่ให้มองเห็น สามารถปรับเปลี่ยนความคิดใครก็ได้ แล้วจะเชื่อใจนาฮีมานาได้อย่างไร ไมเคิลสงสัยนัก“ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ” เขาโพล่ง “ลูเซียนเป็นหัวหน้าทีมวิจัย คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเราผ่านอะไรมาบ้างกับงานของทีมวิจัย เราต้องเสียอะไรบ้างกับงานของเขา”“ฉันรู้ดี” นาฮีมานาตอบโดยไม่หันมามอง เ
เช้าวันต่อมา บอร์ญ่ายังคงเป็นคนมาเสิร์ฟอาหาร และบราวน์ไม่เข้ามาอีกเลย เขานั่งนับวันตั้งแต่โดนจับจึงนึกได้ว่านี่คือวันศุกร์ เจ้าของบ้านคงออกไปทำงาน ดังนั้นทั้งวัน เขาเอาแต่ทบทวนสิ่งที่ชายคนนั้นบอก“ตัวตนที่ยังหลงเหลือ” เจสซี่ไม่มีความรู้เรื่องสมองของมนุษย์ คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาโทรหาไบรซ์หรือคาเลบได้ ความทรงจำของมนุษย์ถูกลบได้หรือเปล่า สมองของมนุษย์ทำงานอย่างไร“ไลบราเรียน...เอไลโต” เขาท่อง “ฟุตบอล ออสโล่”เมื่อถึงมื้ออาหารเย็น แคดมันเดินเข้ามา อาหารเย็นวันนี้มีเพียงแซนด์วิชกับน้ำเปล่า และช็อกโกแลตบาร์สองแท่ง เมื่ออีกฝ่ายวางถาด เขาเอื้อมไปจับข้อมือ“เวด”แคดมันสะบัดออกจนน้ำหกกระจาย ดวงตาที่มีสีฮาเซลอ่อนกว่าจ้องกลับมา แววตาคู่นี้ขึงขังดุดันและพร้อมจะเอาเรื่องได้ตลอดเวลา“นายจำอเล็กซิสได้ไหม”“หุบปาก”“ออสโล่ เด็กหนุ่มผมสีแดงใบหน้าตกกระ เกิดอะไรขึ้นกับเขา”“หุบปาก!”“ซานโบซ่า!”มือข้างขว