แม่เหยียดแขนกันทั้งสองคนไว้ “แหม ขอโทษนะแต่มอลลี่ไม่มีลักษณะเข้าข่ายว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเลย เธอถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลเพราะปอดบวมตั้งแต่แปดขวบ ช่วยตรวจสอบประวัติการรักษาให้ดีก่อนที่จะกล่าวหาลูกสาวที่รักของฉันดีกว่านะคะ” น้ำเสียงนั้นกระแทกกระทั้น
มาร์กาเร็ตอมยิ้มขำท่าทางไม่เคยเกรงกลัวใครของแม่ ส่วนพ่อพยายามปลอบไม่ให้แม่พูดจารุนแรง แม่น่ะ สู้คนจะตาย เธอพยายามปิดปากไม่ให้หลุดขำออกมา เด็กหญิงวิ่งกลับเข้าไปในห้องอาหาร มอลลี่ยังคงสวาปามมันฝรั่งทอดของพ่อ ส่วนแมรี่กำลังเดินเมียงมองบ้านตุ๊กตาของเธออยู่
“แมรี่ อย่ายุ่งกับบ้านของฉันนะ” เธอหวีดเสียงร้อง น้องสาวตัวดียิ้มยิงฟัน แววตาเหมือนจะใสซื่อ พ่อกับแม่ไม่รู้หรอก มอลลี่ก็ไม่รู้ว่ายายแมรี่ซ่อนความร้ายกาจไว้มากมาย เธอชอบขโมยของเล่นของมาร์กาเร็ตตลอด ยิ่งพวกเขาถูกจับให้อยู่ห้องเดียวกันเพราะอายุไม่ได้ห่างกันมาก เธอยิ่งปกป้องของเล่นไม่ได้ทั้งหมด
“พี่แกะแล้วให้หนูเล่นด้วยสิ จูดี้อยากมีบ้านเหมือนกับลิซ่านะ”
แต่ก่อนที่มาร์กาเร็ตจะตอบ มอลลี่หันมาถามว่า “พ่อกับแม่ทำอะไรน่ะ”
“ตำรวจมา” เธอตอบ
เด็กสาวขมวดคิ้ว “ตำรวจเหรอ”
“มอลลี่ ลูกมีอะไรจะบอกพ่อกับแม่ไหม” คำถามที่พ่อแม่ลั่นออกมาเดี๋ยวนั้นทำให้มอลลี่ตกใจมากจนโยนมันฝรั่งลงไปในน้ำอัดลม แมรี่หัวเราะใหญ่
ทันใดนั้นเธอรู้สึกราวกับว่าแสงไฟในห้องมืดลง แต่จริง ๆ แล้วมันก็ยังสว่างปกติดีอยู่ สุดท้ายหันกลับไปมองพี่สาวที่มีเครื่องหมายคำถามบนใบหน้า
“หมายความว่าไงคะ”
“นั่นสิ” มาร์กาเร็ตสงสัยตามพี่สาว ออกจะรำคาญด้วยซ้ำที่ความสนใจไปตกอยู่ที่พี่มากกว่า แถมสีหน้าสดชื่นรื่นเริงของพ่อและแม่ก็หายวับไปด้วย
“มีตำรวจมารออยู่หน้าบ้าน รอลูกนี่แหละ” พ่ออธิบาย “พวกเขาพูดถึงกฎหมายอันนั้น”
“อันไหน...” ฉับพลัน สีหน้าของมอลลี่ซีดลงทันที ปากสั่นระริก พี่สาวกระโดดจากเก้าอี้ไปหลบอยู่ที่มุมห้องในก้าวเดียว “นะ นะ หนูไม่รู้นะ ไม่รู้เลย มันเกิดขึ้นเอง หนูไม่รู้ว่าหนูทำยังไง...ช่วยหนูเถอะ หนูไม่อยากไปกับพวกเขา” อากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปโดยฉับพลันทำให้เธอกับน้องอีกสองคนตกตะลึง โดยเฉพาะมาร์กาเร็ตที่แม้จะเข้าใจดีกว่าแมรี่ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้น
มอลลี่ทำอะไรผิด
“บอกแม่มาเถอะลูก บอกมาให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้น!” แม่เร่งให้พี่พูด
มาร์กาเร็ตกับแมรี่หันมาสบตากัน เด็กหญิงมองอากัปกิริยาลนลานของพี่ มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเมื่อวานก่อน และมันไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย
“มีรถคันนึง...ไถลมาทางหนู...และ...หนูหยุดมัน หยุดรถคันนั้นไว้...นะ...หนูไม่รู้ว่าทำยังไง แต่มันหยุดเอง...มันหยุดเอง ใช่ไหม หนูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ บางทีคนขับอาจจะเหยียบเบรกทันก็ได้!”
“มากับพวกเราเถอะ คุณสตีเว่น”
เธอไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่เข้ามาในบ้านตั้งแต่เมื่อใด แถมยังไม่ได้รับอนุญาตด้วย มาร์กาเร็ตจ้องเขม็งไปยังผู้บุกรุกที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เธอไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่รู้อย่างเดียวว่าเจ้าหน้าที่จะมาเอาตัวพี่สาวไปในงานวันเกิดของเธอ และเธอไม่มีวันยอมเด็ดขาด
ไร้มารยาทจริง ๆ
“เรามีหมายจับ ซึ่งเป็นหมายจับพิเศษ และถ้าคุณไม่ไปกับพวกเรา พวกผมคงต้องใช้กำลัง”
“อย่ามาขู่พวกเราเลย!” แม่กรีดร้องเสียงแหลมด้วยความโมโห เธอวิ่งเข้าไปหามอลลี่ กางแขนออก ตั้งใจจะปกป้องพี่อย่างสุดความสามารถ
ส่วนพ่อเหมือนพยายามคลี่คลายสถานการณ์ลง เขาเตือนแม่ว่า “อย่าทำเรื่องโง่เลยนะ อกาธา ได้โปรดเถอะครับ พวกเรามีเด็ก ๆ อยู่ด้วย ให้พวกเราคุยกับลูกเองเถอะ เม็ก แมรี่ กลับขึ้นห้องของลูกก่อน ไปสิ!”
มาร์กาเร็ตสะดุ้ง เธอเริ่มเบะปากจะร้องไห้ แต่พ่อย้ำอีกที “ขึ้นไป!” ความเสียใจเปลี่ยนเป็นโกรธ เด็กหญิงจับมือน้องสาววิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว ปกติแล้วพ่อไม่เคยขึ้นเสียงดุขนาดนี้ เธอไม่ลืมย่ำเท้าหนักลงทุกขั้นบันไดเพื่อแสดงให้เห็นว่าโกรธพ่อมากที่ขัดใจ แต่มาร์กาเร็ตและแมรี่ไม่ได้วิ่งหนีเข้าห้อง พวกเธอแอบมองลงไปข้างล่างผ่านลูกกรงระเบียงชั้นบน
“เราไม่มีเวลาแล้ว มาเถอะ คุณสตีเว่น! เป็นเด็กดีเถอะนะ”
เมื่อพ่อมองขึ้นมา ทั้งสองหมอบลงหลบสายตาของเขา พวกเธอฟังแม่และพี่สาวเถียงกับพวกตำรวจ ได้ยินมอลลี่ตะโกนร้องไห้ไม่ยอมไป ร้องบอกว่าพวกเขาจะฆ่าเธอ เมื่อนั้น มาร์กาเร็ตและแมรี่ร้องไห้ตาม เธอรู้สึกกลัวเมื่อฟังบทสนทนาที่เต็มไปด้วยอารมณ์เดือดดาลของแต่ละฝ่าย แม้ยังไม่เข้าใจความผิดของมอลลี่ชัดเจน แต่ทั้งสองไม่อยากให้พี่สาวถูกฆ่าหรือถูกนำตัวไป
นี่มันวันเกิดของฉันนะ มาร์กาเร็ตร้องไห้ฮือ ๆ สลับกับเสียงงอแงของแมรี่
“เขาจะเอามอลลี่ไปอะ เม็ก”
จากนั้นทั้งสองได้ยินเสียงดังเหมือนกับว่าคนข้างล่างกำลังต่อสู้กัน เสียงกรีดร้องของแม่ดังขึ้น ทั้งมาร์กาเร็ตและแมรี่ไม่กล้าดู พวกเธอหลับตาปี๋กอดกันแน่น ภาวนาขอให้พระเจ้าหรืออะไรก็แล้วแต่ช่วยหยุดความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้านล่างเสียที เธอต้องการงานวันเกิดของเธอกลับคืนมา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“หยุดเถอะมอลลี่ อย่าทำแบบนี้ ลูกทำให้เรื่องมันแย่ลง”
มอลลี่กรีดร้อง แม้แต่เด็กหกขวบอย่างมาร์กาเร็ตยังสัมผัสความกลัวสุดขีดของพี่ได้ “หนูทำไม่ได้ หนูไม่รู้ หนูไม่ได้ทำนะ”
พ่อร้องวิงวอนเสียงดัง “อย่าเลย ได้โปรด อย่าทำแบบนี้ ให้ผมปลอบเธอเถอะ ยังมีเด็กเล็กอีกนะครับ ได้โปรดเถอะครับ”
“คุณนายหลบไป ลูกคุณเป็นตัวอันตราย”
“ไม่ เธอไม่ใช่ตัวอันตราย และพวกคุณไม่มีสิทธิเอาตัวเธอไป!”
จากนั้นเสียงปืนดังขึ้นเพียงนัดเดียว นัดเดียวเท่านั้นที่จบความวุ่นวายทุกอย่างลง นัดเดียวที่ทำลายทุกสิ่ง มาร์กาเร็ตรู้สึกประหลาดในช่องอก เธอคลายอ้อมแขนที่กอดน้องสาวแล้วรีบวิ่งลงไปข้างล่างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่แมรี่วิ่งตามหลังมาติด ๆ เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่รู้ว่าทำไมงานวันเกิดของเธอถึงพังไม่เป็นท่า แต่ตอนนี้ ตรงหน้าเธอ พ่อกำลังร้องโวยวายอย่างตื่นตระหนกอยู่บนพื้น ร้องไห้เช่นคนไร้เรี่ยวแรง พวกตำรวจใจร้ายยืนนิ่งไม่พูดอะไร ส่วนแม่และมอลลี่นอนอยู่บนพื้น ร่างของแม่นอนนิ่ง ดวงตายังเบิกกว้าง เด็กหญิงกรีดร้องเสียงดัง หวาดกลัวกับภาพที่เห็น หนำซ้ำบนร่างของแม่ยังมีอีกร่าง นั่นคือมอลลี่ ร่างของพี่สาวกระตุกอยู่ ปากขยับเรียก “แม่...คะ” จากนั้นดวงตาสีเขียวคู่นั้นสบเข้ากับดวงตาเธอ ตอนนั้นเองที่มาร์กาเร็ตตระหนักแล้วว่ามอลลี่ไม่อยู่กับเธออีกแล้ว ร่างนั้นเป็นเพียงกายเปล่า ชั่วเวลาหนึ่งที่เธอเห็นว่าช่วงเวลาที่จิตวิญญาณออกจากร่างเป็นอย่างไร ดวงตาสีเขียวเจิดจ้าของพี่ค่อย ๆ อับแสงปราศจากสัญญาณแห่งชีวิตเหมือนกับเวลาที่ไฟค่อย ๆ ดับลง
พระเจ้าไม่มีอยู่จริง หรือถ้าท่านมีตัวตน ท่านช่างโหดร้ายเหลือเกิน
และนี่คืองานฉลองวันเกิดครั้งสุดท้ายของครอบครัวสตีเว่น
“พ่อยังไม่กลับ และฉันกำลังจะไปรับชาร์ลี” เธอว่า จูนเพิ่งสังเกตเห็นว่าหญิงสาวสวมกระเป๋าสะพายเตรียมออกจากบ้าน ไบรซ์ไม่รอคำตอบ เธอปิดล๊อกบ้านแล้วลากจักรยานคันที่อเล็กซิสชอบใช้ออกมา พี่สาวของอดีตเพื่อนสนิทเดินผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะมองกลับ เหมือนเจสซี่ ครอบครัวเดวิสเกลียดเธอไบรซ์ขี่จักรยานออกไปอย่างรวดเร็ว จูนมองตามจนหญิงสาวหายไปจากสายตาจึงเดินเข้าไปใกล้ตัวบ้าน มองผ่านหน้าต่างกระจกเห็นห้องรับแขกคุ้นตา ภาพของอเล็กซิสและตัวเองนั่งคุยกันบนโซฟาตัวนั้นคล้ายปรากฏให้เห็นตรงหน้าเหมือนกำลังดูโฮมวิดีโอ เธอคิดถึงวันเวลาที่จูนตัวน้อยสามารถวิ่งเล่นในบ้านหลังนี้ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง เธอมีเพื่อน มีคุณลุงคุณป้าที่เอ็นดูเธอ เจสซี่และไบรซ์ที่ยังดีต่อเธอ ตั้งแต่กลับมายังซานโบซ่า เธอเห็นเงาของตัวเองและอเล็กซิสอยู่แทบทุกมุมเธอได้อ่านโน้ตแผ่นนั้นไหม เธอขยำมันทิ้งหรือเปล่า หลายครั้งพยายามคิดหาเหตุผลกับการกระทำของตัวเอง แต่นอกจากความสะใจที่ได้แล้ว เธอไม่ได้ภูมิใจกับมันเลย เธอไม่ได้ชอบเดวี่ด้วยซ้ำ เขามองเธอเหมือนที่ผู้ชายมอง เขาไม่ได้ชอบเธอเหมือนที่ชอบอเล็กซิส เธอไม่ไ
เมื่อเธอละสายตาจากชายหนุ่มที่เดินออกไปก็สบตากับน้องชายของเขา นิโคไลมองเธอตาใส จากนั้นเผยอยิ้มนิด ๆ จูนยิ้มตอบแล้วรีบรับประทานให้หมด นิโคไลยังคงนั่งอยู่ แต่ไม่ลุกไปไหน“ขอโทษนะคะ เมื่อคืน...ฉันได้ยินคุณวลาดิเมียร์พูดถึงเรื่องคนที่ทำให้คุณ...เอ่อ ไม่ได้กลับไปเรียน ใช่หรือเปล่าคะ” เธอรู้ว่ามันเป็นคำถามของคนสอดรู้ แต่นั่นแหละ เธออยากรู้จริง ๆ ยิ่งเจสซี่ถูกจับไปแบบนี้ เธอต้องการรู้ทุกเรื่องนิโคไลยังคงยิ้ม “เมื่อคืนก่อนครับ คุณนึกว่าตัวเองหลับไปไม่กี่ชั่วโมงหรือ”จูนเอะใจ “เอ๋?”“คุณหลับทั้งวันเลย รู้สึกสดชื่นบ้างไหมครับ”เธอนึกถึงที่วลาดิเมียร์เล่า มิน่าเจสซี่ถึงถูกพากลับมาแล้ว “ฉันหลับนานขนาดนั้นเลยเหรอคะ”“เหมือนเจ้าหญิงนิทรา...จริง ๆ วลาดให้สาวใช้ขึ้นไปปลุก แต่คุณเขวี้ยงหมอนใส่เธอ”หญิงสาวหน้าร้อนไปหมด แม้น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ได้บ่งบอกว่าตำหนิติเตียน แต่ขบขันมากกว่า “ฉันคงลืมไปไม่ใช่บ้าน...” เจสซี่ชอบแกล้งเวลาเธอนอน ดังนั้นเธอจึงติดนิสัยเขวี้ยงหมอนใส่เ
“มันจับเจสซี่เพราะต้องการเตือนพวกเรา”“ผมรู้!” แม้สีหน้าสงบ แต่น้ำเสียงของเขากร้าวขึ้น “เราดึงเขาเข้ามาทำงาน ผมเป็นห่วง ผมแค่ให้คนคอยดูว่าบราวน์เคลื่อนไหวอย่างไร พาเจสซี่ไปไหน หรือจัดการอย่างไร แต่ผมไม่ได้ให้พวกเขาเข้าไปช่วย ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไร” วลาดิเมียร์ย้ำ “มันอาจจะขัดกับความคิดของพ่อ แต่เจสซี่ทำงานให้พวกเราแล้วเขาก็ตั้งใจ เขาเป็นคนของผม!”“เราตกลงแล้ว เจสซี่ยอมรับแล้ว ฉันเตือนเขาแล้วด้วยซ้ำ!” โวลคอฟวัยกลางคนยกมือห้ามไม่ให้บุตรชายพูด “ฟังนะ ฉันไม่ได้อยากจะใจร้ายอะไร แต่เราจะเสียทั้งหมดไปไม่ได้! สั่งให้พวกเขากลับมา ไม่ต้องไปเฝ้าบราวน์”จูนมองสลับไปมา แต่วลาดิเมียร์ยืนนิ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “คนพวกนั้นเป็นคนของผม รับฟังผมคนเดียว”“แก...” ผู้เป็นพ่อกัดฟันกรอด ดูเหมือนท่าที่แข็งขืนของลูกชายทำให้เขาทำตัวไม่ถูก“พ่อ!” นิโคไลโพล่งออกมาดังลั่น เมื่ออีกฝ่ายหันมา เขาก็เหล่มาทางจูน หญิงสาวนั่งไหล่เกร็ง มือกำกระโปรงแน่น“คุณจอยซ์” วลา
จูนตื่นจากภวังค์ เธอคิดว่าจะใช้เวลานานกว่านี้ อาจเป็นเพราะยังดึกมาก ถนนโล่ง มีเพียงคันนี้คันเดียว รถแท็กซี่จอดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ออกแบบแนวร่วมสมัย เนื่องจากรู้สึกผิดที่สงสัยว่าคนขับเป็นคนของรัฐบาล เธอจึงให้ทิปไปห้าเรล เขายิ้มหน้าบาน แถมยังอุ้มประคบประหงมกระเป๋าเดินทางของเธอราวกับลูก แต่กระนั้นเมื่อรถจากไป มันก็ถูกทิ้งให้เปียกปอนท่ามกลางสายฝน รวมทั้งผู้โดยสารคนนี้ฝนยังคงตกลงมา แต่เธอไม่สนใจ จูนมองหาสวิตช์สำหรับกดกริ่งแต่หาไม่เจอ จึงเอาแต่ชะเง้อมองผ่านประตูใหญ่ มองลอดไปเห็นตัวบ้าน บางห้องยังเปิดไฟอยู่ มันไม่มืดนักเพราะมีแสงไฟจากสวนและหน้าประตู สักพักมีเสียงออกมาจากอินเตอร์โฟน“มาหาใครครับ”“ฉันมาหาคุณวลาดิเมียร์ โวลคอฟ”“เรื่องด่วนหรือครับ จากไหนครับ เวลาแบบนี้ด้วย”“ฉันจูน จอยซ์ แฟนของเจสซี่ เดวิส เลขาของคุณวลาดิเมียร์ ใช่ค่ะ ฉันมีเรื่องด่วนมาก”ประตูเปิดออกอัตโนมัติ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งพาเธอไปนั่งรอในที่ร่ม มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงโต๊ะกับเก้าอี้โล่ง ๆ เหมือนเป็นห้
ตีสามครึ่งว่ากันว่าเป็นเวลาของซาตาน ตอนเด็ก จูนหวาดกลัวช่วงนี้มาก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเธอมักตื่นนอนแล้วพบเข็มนาฬิกาชี้เลขนี้เสมอ มันมาพร้อมกับอาการปวดห้องน้ำถึงขีดสุด แต่ไม่กล้าพอเดินออกจากห้อง ไม่กล้าแม้แต่ยื่นเท้าออกจากผ้าห่ม เด็กน้อยจูนมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มจนหลับไปอีก และตื่นมาพร้อมกับที่นอนเปียกชื้นตีสามครึ่งในอีกสิบกว่าปีต่อมา จูนยืนอยู่หน้าสถานีรถไฟ มันไม่น่ากลัวอีกต่อไปเมื่อมีคนพลุกพล่าน แม้จะดึกแค่ไหน แต่ฟิวเจอร์ริสติกไม่เคยหลับใหล ทว่าทุกย่างก้าวกลับทำให้หวนนึกถึงกลางดึกในวัยเด็ก ครั้งนี้จูนกล้าเดินออกจากผ้าห่มพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระ แต่ตลอดเวลากลับรู้สึกว่ามีสายตาจับจ้อง ปีศาจที่มีดวงตาสีฟ้า ไรลี่ย์ บราวน์มือขวาสั่นตลอด เธอจึงเปลี่ยนมือซ้ายลากกระเป๋า มีเด็กสาวสองคนแบกเป้เดินผ่าน เธอได้ยินทั้งสองคนซุบซิบกัน“นั่นจูน จอยซ์หรือเปล่า”“ใครอะ ไม่เห็นรู้จัก”“ดาราเด็กน่ะ”หญิงสาวรีบเดินไปหน้าสถานีรอแท็กซี่ ต่อคิวได้ไม่นานก็เรียกได้คันหนึ่ง พอปิดประตูรถฝนตกลงมาพอดี ผู้คนแถวนั้นแตกฮือรีบหนีเข้าที่ร่
ไมเคิลยืนกอดอกพักขาไว้ข้างหนึ่ง คอเอียงไปทางขวาเวลาใช้หมกมุ่นอยู่กับความคิดในหัว พอเธอเดินออกมา เขาเงยหน้าขึ้นทันที“เธอเห็นเขาเหมือนฉันใช่ไหม”อเล็กซิสพยักหน้าทันที“เขามีตาสีแดง” น้องชายกอดอกแน่น “ฉันไม่เคยเห็นคนตาสีแดง แล้วเขา...เขายืนดูเฉย ๆ ฉันถามก็พูดไม่ออก แต่ได้ยินเสียงเขาในหัว...เวลานั้นจะขยับตัวไม่ได้จนกว่า...”“...จนกว่าจะมีคนช่วยดึงสติ”ทั้งสองพยักหน้าให้กัน อเล็กซิสจึงเฉลยเรื่องผิวของผู้ชายคนนั้น “ฉันคิดเว่าเขาเป็นคนผิวเผือก แล้วก็มีพลังจิตเอาไว้สื่อสารคน”“โทรจิตเหรอ แล้วผิวเผือกคืออะไร”ผู้เป็นพี่พยักหน้าก่อนจะอธิบายเรื่องผิวของชายคนนั้นก่อน “...แต่ฉันไม่เข้าใจ ทำไมมีแค่ฉันกับนายที่เห็น แล้วเขาเป็นใคร เขาไม่ทำร้ายพวกเรา แถมยังช่วยเหลือด้วย ถึงแม้จะแค่เสียงเตือนก็เถอะ”ทั้งสองไม่คิดว่าคนคนนั้นเป็นผีหรือวิญญาณ เธอเห็นเงา และสัมผัสได้ว่าเขามีตัวตน แต่ความสามารถของเขาคืออะไรกันแน่ และต้องการอะไรเย็นวันนั้น หลังจา