ชายหนุ่มกดหยุดลิฟต์ทันที ก่อนจะหันมามองเขาด้วยแววตาหาเรื่อง “นายรู้ได้ไง”
“ไม่สำคัญหรอก ทำไมนายไม่บอกคนอื่น ไม่สิ ทำไมนายไม่บอกอเล็กซิส”
ดวงตาสีเข้มส่งไอเย็นยะเยือก พวกเขาไม่เคยคุยกันมาก่อน แต่พอคุ้นหน้าตากันพอสมควรเพราะเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่ในโปรแกรม และที่สำคัญ ชื่อของเขาอยู่ในลำดับถัดจากทายาทโวลคอฟ ก่อนหน้านี้อเล็กซ์ไม่ได้มีทีท่าเป็นปฏิปักษ์ถึงขนาดนี้ ออกจะตรงกันข้าม
“นายห้ามบอกเธอเด็ดขาด” ชายหนุ่มย้ำ
“ไม่ได้ อเล็กซิสต้องรู้” ไมเคิลไม่ยอม
“ห้ามบอกสกาย*”
เขามองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ฉุกใจว่าสกายน่าจะมาจากชื่อคน “ฉันพูดถึงอเล็กซิสต่างหาก”
รอยยิ้มเช่นคนเหนือกว่าปรากฏบนใบหน้าเจ้าตัว ไมเคิลค่อนข้างสับสนกับอารมณ์คนคนนี้ ตอนนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้อเล็กซิสแทบไม่มีสมาธิ ยิ่งเธอชอบเขาด้วย เซลล์สมองคงทำงานหนัก
“ใช่ คนเดียวกัน”
อ้อ เพื่อนตัวเองเรียกแบมบี้ ตัวเองเลยเรียกสกายสินะ เขาพอเห็นความเหมือนระหว่างเบน
“อเล็กซิส เดวิส เบ็กกี้ ควินน์”ไมเคิลหันมายิ้มพลางขยับปากบอกว่า “แล้วเจอกัน”“แล้วเจอกัน” เธอกระซิบตอบ หากแต่สายตาชำเลืองมองอเล็กซ์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ระหว่างอาคุสะและจัสติน พวกเขาสบตากันเพียงชั่วครู่ อีกฝ่ายก้มหน้าลง เหมือนดวงใจในอกหล่นหายไปในหลุมดำ ทำไม เหตุใดใจมนุษย์ถึงแปรเปลี่ยนภายในชั่วข้ามคืน ทำไมความรู้สึกของเขาจึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนี้“เดวิส?”เธอก้าวขายืนเคียงข้างเบ็กกี้ สองคนแรกที่จะได้เข้าไปในทอยซิตี้“พวกเธอสองคนเดินเข้าไปในอุโมงค์ตรวจร่างกาย เดินไปไม่ต้องหยุด ระบบจะสแกนเพื่อให้แน่ใจว่าพร้อมเข้าไปอยู่ในทอยซิตี้ จากนั้นรับกระเป๋าและบรรจุชิปลงในนาฬิกาข้อมือ รับทราบนะ”“รับทราบค่ะ” ทั้งสองตอบพร้อมกัน“เอาละ ถึงเวลาแล้ว เพื่อนคนอื่นจะได้ตามเข้าไป พร้อมนะ”เคียนโต้ยื่นมือทั้งสองข้างมาเช็กแฮนด์กับเด็กทั้งสอง อีกไม่กี่นาที พวกเธอจะได้เห็นท้องฟ้าของจริงก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน“ทองคำจริง
ระหว่างรอลิฟต์ถึงที่หมาย อเล็กซิสยืนหมุนข้อเท้าตัวเองไปมา แน่ใจว่าถ้าเขวี้ยงไม้ค้ำยันและเดินเท้าเปล่าคงเดินได้ตามปกติเนื่องจากกระดูกไม่ได้รับความเสียหาย แต่เพื่อความปลอดภัยเธอจึงรอให้หมอตรวจสอบก่อนเด็กสาวหัวเราะกับตัวเอง เวดคงตกใจอีกเช่นเคยที่เห็นเธอขึ้นมาเร็ว สีหน้าของเขาช่วงนี้ สดชื่นมากเพราะได้คุยกับเพื่อนมากกว่าช่วงอื่นตรงกันข้ามกับเมื่อวาน เมื่อมาถึงที่หมายกลับไม่มีคนไข้อยู่ในห้องสักคน อเล็กซิสกวาดตามองสำรวจไปทั่ว ทุกเตียงว่างเปล่า ไม่มีม่านกั้น หากข้าวของแสดงความเป็นเจ้าของยังอยู่ เธอคงไม่ตกใจ แต่ทุกเตียงอยู่ในสภาพรอคนใหม่ แม้แต่พยาบาลยังหายไปหมด“ไง เดวิส มาเช็กข้อเท้าใช่ไหม”คุณหมอในชุดเสื้อคลุมสีขาวโผล่หน้าออกมาจากออฟฟิศส่วนตัวมันมีลักษณะปิดทึบแทรกอยู่ในมุมหลืบด้านใน พวกหมอจะประจำอยู่ที่นี่เกือบตลอด มีอยู่สามคนวนไปตามกะ เนื่องจากไม่มีป้ายชื่อ แต่ทุกคนเรียกคุณหมอท่านนี้ว่า ดอกเตอร์เฮนดริกซ์ หรือบางครั้งลุงแก่เฮนดริกซ์ (เวดเป็นคนเริ่ม) เพราะเขามีอายุเยอะที่สุดในกลุ่มหมอ“ทุกคนหายไปไหนหมดคะ” เธอถาม ยังคงมึนงงกับภาพตรงหน้า มันเหมือนกับว
สี่ห้ามือมาจากไหนไม่รู้ดึงตัวเธอออกจากหมอได้สำเร็จ เจ้าหน้าที่สองนายล็อกแขนเธอไว้คนละข้าง ส่วนอีกหนึ่งยกปืนขู่หมอร่างเล็กปัดฝุ่นออกจากตัว “อย่าซ้ำรอยเฮซ”เฮซ... “โคดี้?”“ใช่ เขาเสียตาเพราะอาละวาดแบบนี้ไง เดวิส ฉันขอให้เธอสงบสติอารมณ์แล้วเข้าใจเหตุผลของพวกเรา”อเล็กซิสนิ่งลง ไม่ใช่เพราะเข้าใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร น้ำตาแห่งความเสียใจและพ่ายแพ้ไหลเงียบ ๆ “คุณก็รู้ว่าเขารอดแล้ว เขารอคอยที่จะออกไป แม้อาจต้องออกไปช้ากว่า ทำไมทำแบบนี้”“ปล่อยเธอ” ชายตรงหน้ากล่าวกับเจ้าหน้าที่ที่เหลือ“แต่ว่า ท่านครับ”“เธอไม่เป็นอันตรายแล้ว” เขาโบกมือเฮนดริกซ์พูดถูก อเล็กซิสหมดแรงล้มไปกองกับพื้น เมื่อวานพวกเขายังคุยกันเรื่องทอยซิตี้อยู่เลย เวดแค่อดทนรอ จู่ ๆ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามา เบ็กกี้เคยบอกว่าซอมบี้สวมนาฬิกานี่นา“พวกคุณจะเปลี่ยนเขาให้เป็นศพเดินได้ใช่ไหม” เธอกัดฟันถามหมออาวุโสหัวเราะด้วยอารมณ์ ขำความคิดไร้สาระของเด็ก “เราไ
แสงไฟสีขาวสาดส่องเหนือศีรษะ เธอรองแก้วกับก๊อกน้ำจนมันเต็ม กรอกใส่ปาก กลั้วคอแล้วบ้วนยาสีฟันลงอ่าง ทำวนไปสามครั้งจึงวางแปรงสีฟันลงในช่อง มีเสียงเป่าแห้งจากนั้นฝาช่องเลื่อนปิด เธอล้างหน้าอยู่นาน และเมื่อเงยหน้ามาจึงเห็นว่าเทสซ่ายืนกอดอกอยู่ข้างหลัง“ฉันรู้ว่าเธอโกรธ”“เปล่า” อเล็กซิสตอบทันทีดวงตาสีเงินคล้ายมีแสงแฟลชในดวงตาส่งประกายวาววับเมื่อน้ำใสเอ่อล้นคลอเบ้าขับให้ใบหน้าหวานซึ้ง ทว่าเทสซ่าไม่ได้ร้องไห้ออกมาแต่อย่างใด “เธอไม่พูดกับใครเลย”“ตอนแรกโกรธ ตอนนี้ไม่”เทสซ่าถอนหายใจ เพราะท่าทางของอเล็กซิสคงคล้ายกับหุ่นยนต์ แน่นอนว่าตัวเธอรู้ดี เพราะเงาในกระจกมันสะท้อนแบบนั้น“ฉันขอโทษ”“ไม่ต้อง” อเล็กซิสชะงักก่อนจะปรับเสียงตัวเอง “ฉันแค่ไม่มีอารมณ์จะพูดอะไร แต่ไม่ต้องขอโทษแล้ว ฉันไม่ได้โกรธ”เธอหมายความแบบนั้นจริง ๆ“แม้แต่อเล็กซ์ เธอยังไม่คุยเลย”“ฉันไม่อยากคุยหรือทำอะไรทั้งนั้น นั่นคือความจริง”สาวผิวเข้มเ
คนในอ้อมกอดขยับตัวจนอเล็กซิสจำต้องคลายมือลง เขาเขยิบออกห่างเหมือนเธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าเข้าใกล้ ณ เวลานั้นหัวใจข้างในเต้นระรัวเมื่อมันรับรู้ได้ว่า เขาไม่เหมือนเดิม“อเล็กซ์?” อย่าทำแบบนี้ ฉันขอร้อง เธออยากจะร้องไห้ แต่น้ำตาได้จ่อปริ่มออกมาแต่แรกแล้ว กอดฉัน ได้โปรดกอดฉันเขากลืนน้ำลาย ไม่ยอมสบตา อเล็กซิสเอื้อมมือจับแก้มแต่เขาขืนไว้ “ฉันไม่น่าจูบเธอเลย ไม่น่าทำแบบนั้น”แน่นอนว่าเธอไม่เข้าใจ แต่กระนั้นหัวใจกลับเหมือนแหลกสลาย อเล็กซิสเหมือนคนโง่ที่คาดหวังว่าเขาจะกอดแล้วจูบปลอบ ทำอย่างไรก็ได้ที่ให้เธอรู้สึกดีขึ้น แต่มันกลับตรงกันข้าม เขาไม่ได้สนใจว่าเธอเพิ่งเสียเพื่อนไปหรือไม่“ทำไม อเล็กซ์เกิดอะไรขึ้น นายโกรธฉันจริง ๆ ใช่ไหม”มันเหมือนกับว่าแทนที่เขาพยายามจะคว้าตัวเธอ กลับเป็นอเล็กซิสที่พยายามเปิดประตูเข้าไปในโลกของเขาอีกรอบ“ถ้าเบนไม่ตาย...เธอจะจูบฉันไหม” เขาหันมาเผชิญหน้าพร้อมกับดวงตาสีเข้ม แต่สายตานั้นกลับแสดงความเจ็บปวด “ฉันชักไม่แน่ใจ”“หา”
“รถยนต์ของโวลคอฟแบ่งออกเป็นสามชนิดตามกลุ่มลูกค้า โลโก้ตัววีชิ้นนี้มีลักษณะเหมือนปีกนกฟินิกซ์เพราะใช้สำหรับโมเดลรถหรู ส่วนโลโก้ตัววีที่มีลักษณะคล้ายกับสายฟ้าสำหรับรถสปอร์ต แต่ทั้งสองจะมีกลุ่มลูกค้าที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือลูกค้ากระเป๋าหนัก แบบแรกเหมาะสำหรับนักธุรกิจหรือรถประจำตำแหน่งข้าราชการชั้นสูงไปจนถึงพาหนะของประธานาธิบดี แบบที่สองสำหรับพวกรักความเร็ว หรือลูกคุณหนูทั้งหลาย โลโก้ตัวสุดท้ายเป็นตัววีแบบธรรมดา ใช้งานอเนกประสงค์เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป”ซังเกรีย เรนขยับเนกไท แล้วอธิบายต่อ “โวลคอฟไม่เหมือนกับยี่ห้อรถอื่นที่แบ่งแยกเกรดลูกค้าตามชื่อ แต่เราแบ่งตามการใช้งาน ถึงแม้ทั้งหมดจะเป็นยี่ห้อเดียวกัน แต่ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกถึงความต่างชนชั้นแต่อย่างใด เพราะคุณภาพและงานหลังขายที่เท่าเทียมกัน แตกต่างเพียงเชิงรายละเอียดเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าจะกลุ่มไหน จะได้รับบริการและคุณภาพอย่างเต็มเปี่ยม”โลโก้ตัววีปีกเพลิงฟินิกซ์กว่าร้อยคันวางเรียงกันเป็นระเบียบรอเวลาประกอบเข้ากับตัวรถ ด้านหลังเป็นรถรุ่นโวลคอฟ แอลเซเว่น ขนาดสี่ประตูเคลือบสีไวน์แดง เขายืนฟังนายเรนผ
ทั้งสองจับมือกัน มารีน่าเป็นผู้หญิงร่างสูงและอวบกำลังดี ทว่าท่าทางคล่องแคล่วฉับไว เธอพกมือถือติดตัวไม่ต่ำกว่าสองเครื่องเหมือนมอร์ตัน และน่าจะมีอายุราวสามสิบต้น“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณเดวิส”“เช่นกันครับ คุณเบิร์กแมน”เธอหันกลับไปหามอร์ตัน “คุณวลาดิเมียร์ออกมารอแล้ว แต่ว่าท่านประธานยังสนทนาอยู่กับตัวแทน ท่านจึงขอให้พวกเราไปรอในห้องก่อน เราจะคุยกันที่นั่นแทน ทางนี้ค่ะ” เธอกล่าวแล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ พวกเขาจึงขึ้นต่อไปยังชั้นสูงสุดห้องทำงานของฟิโอดอร์ โวลคอฟเป็นห้องกว้างกึ่งพาโรนามา มองเห็นวิวเมืองหลวงได้เกือบรอบทิศ ตรงมุมรับรองมีรูปสมาชิกครอบครัวในเฟรมเดียวกันถึงห้าคน หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวผมสีบลอนด์ซีด ดวงตาสีฟ้ากลมโตเผยอยิ้มไม่เห็นฟัน แม้รูปร่างจัดว่าสูงสง่าแต่อยู่ในข่ายผอมแห้งจนเกินไป ทว่าเจสซี่ติดใจกับใบหน้าเธอเพราะแวบหนึ่งทำให้นึกถึงอเล็กซิส ส่วนสมาชิกชายที่เหลือแทบถอดใบหน้าผู้เป็นพ่อจนเหมือนร่างโคลนนิ่ง ถ้าไม่นับอายุ พวกเขาต่างมีผมและดวงตาสีดำสนิท รูปร่างสูงผอมด้วยกันทั้งหมดเขาพยายามมองหาลูกชายคนกลาง แต่ว่าแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ขวาน่าจะ
“โอเค เข้าเรื่อง” ฟิโอดอร์ชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือรอบที่สอง “มอร์ตันคงอธิบายไปแล้วว่าทีมผู้ช่วยของฉันมีตำแหน่งอยู่ในผังองค์กรก็จริง แต่ขอบเขตงานเน้นที่ตระกูลโวลคอฟ ไม่ว่าจะเป็นฉัน วลาด หรือ...” เขาชี้ไปที่เด็กหนุ่มผิวซีดในรูปอีกสองคน “หรือแม้แต่อเล็กซ์และนิคเนื่องจากขอบเขตค่อนข้างกว้าง และแม้ฉันจะมีผู้ช่วยอย่างโคล สิ่งที่ฉันต้องการคือคนที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระให้โคล มารีน่า และคาร์ล”คาร์ล โครเกต์ เป็นทนายประจำตระกูลโวลคอฟ สืบทอดตำแหน่งนี้จากบิดาและปู่อีกที ซึ่งเจสซี่ยินดีที่มีผู้รู้กฎหมายอาวุโสคอยคุมบังเหียนให้ตัวเอง เพราะถึงแม้เกรดและผลการทำงานอยู่ในเกณฑ์ดีมาก แต่ประสบการณ์ของเขายังไม่มากพอรับผิดชอบคนทั้งตระกูลเพียงลำพังรวมทั้งผลประโยชน์ของคนระดับนี้ด้วย“และนั่นก็คือภาพรวมโดยทั่วไป”เขายืดตัวตรง รู้สึกตัวเองสำคัญขึ้นมาฟิโอดอร์กุมมือ หากว่าสีหน้าเมื่อครู่จริงจังเวลานี้ไอรังสีกดดันแผ่ซ่านยิ่งกว่าเก่า “เธอรู้เรื่องลูกชายฉันใช่ไหม”ชายหนุ่มพยักหน้าพลางชำเลืองมองอเล็ก
บลูรู้แล้วว่าเขาได้อยู่กลุ่มบี แต่ต้องลุ้นว่าตัวเองจะได้อยู่หน่วยไหน และสุดท้าย “บลู เทอร์นเนอร์” เขาตบบ่าเพียซและโอลิแวนเพื่อไปเข้ากับหน่วยรุก ชายหนุ่มจงใจเดินผ่านลูกบ้านสาวตาน้ำเงิน เธออยู่กลุ่มบีกับเขา แต่น่าจะเป็นหน่วยสนับสนุน สีหน้าเด็กสาวบ่งบอกว่าประหลาดใจเมื่อเห็นบลู แค่นั้นเขาพอใจกลุ่มของเขาจะบุกตึกร้าง ซึ่งบลูไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนเพราะไม่ได้เข้าอบรมเหมือนคนอื่น แม้เขาเคยเห็นราซาในสภาพเมืองที่มีชีวิตมาก่อนเมืองร้าง แต่ในเมื่อมันเป็นเมืองร้าง ตึกทุกแห่งย่อมร้างผู้คน รถถังเคลื่อนทัพนำไปก่อน ภายในใจเริ่มปล่อยวางเมื่อเห็นว่าพวกทหารเป็นฝ่ายห้อมล้อมกลุ่มอาสา หาได้ปล่อยให้พวกเขาเป็นแนวหน้าไม่ แม้จะอยู่ในหน่วยรุก พวกเขายังรอฟังคำสั่งจากหัวหน้าหน่วยอยู่ดี และพวกทหารจะเป็นฝ่ายเปิดคอยระแวดระวังให้ก่อน กลุ่มอาสามาเพิ่มกำลังให้จริงดังคำเชิญชวน บลูค่อนข้างเหงานิดหน่อยเพราะโอลิแวนและเพียซอยู่แถวหลัง ๆ แม้บางคนเขารู้จักแต่แค่เพียงผิวเผิน บลูจึงผูกสัมพันธ์กับรีเวอร์ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มต้องสงสัยไม่กี่คนในหน่วยนี้ เขาเรียกว่าไรดี การต่อสู้คราวนั้นก่อให้เกิดมิตรภาพได้ ด
“ถ้างั้นเลือกสักอย่างเผื่อไว้” เจ้าหน้าที่กดปุ่มบนโต๊ะ ตัวแผ่นพลิกขึ้นเผยให้เห็นคลังอาวุธข้างใน ทว่าแม้บลูจะพอเดาได้ว่าอันไหนปืน อันไหนมีด แต่เขาใช้ไม่เป็นเลยสักอัน จึงสุ่มเลือกมีดสั้นด้ามหนาขึ้นมา มันมีลักษณะเหมือนมีดพกธรรมดา เขาถนัดของเบสิก“อันนี้สามารถเสียบไว้ใต้แขน”ชายหนุ่มหงายแขนตัวเองขึ้น เห็นที่เสียบเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ “ใช้ยังไงเหรอ”ทหารหนุ่มจับมีดแล้วตวัด ใบมีดโผล่ออกมา “เหมือนมีดพกก็จริง” เขาตวัดกลับ ใบมีดกลับเข้าไปข้างใน บลูจ้องตาไม่กะพริบ เมื่อใช้นิ้วโป้งกดตรงสัน ใบมีดโค้งโผล่ออกมาจากปลายทั้งสองด้าน และเมื่อมันถูกเขวี้ยงออกไปกลับแล่นกลับมาหาเจ้าของคล้ายกับบูมเมอแรงนั่นเอง “ลองดู”บลูมองมีดในมือแล้วตวัดไปตวัดมา จากนั้นลองใช้แบบบูมเมอแรง อุปกรณ์นั้นใช้ง่าย อาจเป็นเพราะมันมีระบบอัตโนมัติติดตั้งเอาไว้ให้ ไม่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญมากนัก“มีสองที่ ก็เอาไปสอง” เขาหงายมือแล้วเสียบมีด จากที่ตัวเบาก็เริ่มพะรุงพะรังขึ้นนิดหน่อย “หมดแล้วใช่ไหม” เขาถาม&ldqu
หน้าประตูเหล็กสีดำ นายทหารสองนายยืนประจำการเฝ้าอยู่ พวกเขามองไปรอบ ๆ แปลกใจที่ไม่เห็นกลุ่มคนเลยทั้งที่นาฬิกาบ่งบอกเวลาว่าเพิ่งเจ็ดโมงยี่สิบเจ็ดนาที ในใจบลูหวาดกลัวว่ามันอาจเป็นกลลวง และเอมอนอาจตกอยู่ในอันตรายจึงปรี่เข้าไปหาเจ้าหน้าที่ทั้งสอง พอเห็นชายสองคนตรงเข้ามา ทั้งสองนายพร้อมใจกันยกมือให้พวกเขาหยุด “อาสาสมัครใช่หรือไม่ ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้”“พวกเราไม่ได้ลงทะเบียน” เขาตอบ “พวกเขาไปกันแล้วเหรอ”ทั้งสองคนมองหน้ากัน คนหนึ่งพยักหน้า ชี้นิ้วโป้งไปทางประตู “เตรียมตัวอยู่ข้างใน ถ้างั้นพวกนายก็กลับไปซะ”“เดี๋ยว” อีกคนยั้งเพื่อนไว้ ทำมือบอกพวกเขาให้รอตรงนี้ทหารคนนั้นทาบมือกับบานประตู แผ่นเหล็กเลื่อนลงเผยให้เห็นช่องทึบข้างใน บลูจะชะโงกหน้าดู แต่เมื่อเห็นอีกคนที่เฝ้าอยู่เหล่มองก็ก้มหน้า ไม่กี่วินาทีต่อมา “บอกชื่อพวกนายมา” เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับริงโก้ แล้วตอบไป“บลู เทอร์นเนอร์”“โบธิสต้า ซานโดวอล”นั่นคือจริงของริงโก้ เขาไม่รู้ที่มาว่าทำไมชายคนนี
บลูสลัดมือแล้วเช็ดเสื้อชายหนุ่ม เวลาเขาอยู่ข้างริงโก้ทีไรรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์บอบบางที่พยายามล้มช้างแมมมอธ พอโดนแกล้งคืน ริงโก้ฮึดฮัด บลูยิ่งหัวเราะสะใจ “ฝากที่เหลือด้วยนะจ๊ะที่รัก” แล้วคว้าลังเบียร์เดินออกไปเลย ใครจะอยู่ฟังคำสบถแสลงหูเล่าดาดฟ้ากลายเป็นที่ประจำของบลูไปเสียแล้ว มือหนึ่งดีดฝาไฟแช๊ก อีกมือหยิบบุหรี่ ปากคาบแล้วจุดลมเย็นพัดผ่านร่าง หากไม่ได้สวมเสื้อแจ็กเกตกันหนาวคงสะท้านน่าดู ไม่ทันที่เขาจะหย่อนก้นลงบนม้านั่ง เอมอนเปิดประตูเหล็กอย่างแรง มือหนึ่งถือกล่องกระดาษ อีกข้างถือแผ่นพับกระดาษ “เล่นกันไหม”“เออ จัดเลย”น้องชายกางตารางกระดาษลงบนโต๊ะ เทของข้างในออกจากกล่อง มันเป็นฝาขวดที่เขาสะสม จากนั้นวางมันลงแทนหมากบนตาราง “ยัยเด็กนั่นเป็นไงบ้างล่ะ”เอมอนแบมือ เขาส่งซองบุหรี่ให้ “อย่างที่ริงโก้ว่า เธอใช้ยาระงับอาการ ตอนริงโก้เคาะเลยเปิดให้ไม่ได้ ตอนนี้เดสก็ทดลองถอนพิษให้อยู่” ชายหนุ่มหยุดคิด “แต่ไม่น่าจะทำได้”ดูเหมือนว่าความล้มเหลวทำให้เอมอนเลิกโลกสวย “แ
เครื่องหมักเนยผสมกระเทียม มะนาว และผักชีลอยฟุ้งส่งความหอมละมุนผสมเปรี้ยว กลิ่นตลบผสานกับเนื้อแซลมอนบนกระทะร้อนส่งเสียงฉู่ฉ่าชวนให้น้ำลายสอ ด้านหลังโอลิแวน ไฟในเตาอบส่องสว่างฉายให้เห็นเนื้อหมูสันในอบกับมันฝรั่งหั่นเต๋าคละเคล้ากับเครื่องเทศมากมาย ส่วนผู้ปรุงแต่งสวมผ้ากันเปื้อนสีส้มอ่อน มือจับชามและทัพพีคลุกน้ำสลัด มีเพียซ ลูกมือคอยหั่นมะเขือเทศเป็นแว่นอยู่ข้างกาย ระหว่างนั้นเอมอนวางผ้าปูเตรียมมีด ส้อมและแก้ว แต่ละคนล้วนปิดปากเงียบ ไม่พูดคุยกัน หมกมุ่นกับเรื่องในใจบลูเห็นดังนั้นจึงถามขึ้น “พรุ่งนี้ไปกันกี่โมง” ตั้งใจทำลายความเงียบและปลุกทุกคนออกจากภวังค์ เขาเขยิบก้นนั่งบนเก้าอี้ริมข้างเคาท์เตอร์บาร์“เจ็ดโมง” เอมอนวางแก้วเปล่าลงข้างหน้าพี่ชาย “หรือจะเอาเบียร์”“น้ำนี่แหละ” บลูตอบ “เจ็ดเลยเหรอวะ โคตรเช้า”เมื่อเดสซิเรเดินเข้ามา ไอ้น้องบ้าผู้หญิงไม่รอช้าบริการหญิงสาวทันที เธอนั่งมุมโต๊ะ จากนั้นริงโก้เข้ามาเป็นคนสุดท้าย เลือกนั่งข้างบลู สายตามองถาดเนื้อหมูในเตาอบ พอโอลิแวนวางชามสลัดลงตรงกลาง หนุ่มร่างใหญ่ยืดตัวขึ้นตักแบ่งใส่จานตัวเองทันที บลูฟังเดสซิเรทวนกำหนดการสำหรับวันพรุ่งนี้ พวกเหล่าอ
สาวผมแดงนั่งมองพวกเขาอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมร่างกายเปลือยเปล่าเพราะเสื้อผ้าถูกถอดออกทิ้งไว้บนพื้น อเล็กซิสกระตุกแขนไมเคิลที่ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ เธอส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มมากกว่าแสดงออกว่าโกรธ “อยากร่วมด้วยเหรอ” เสียงของหล่อนแหบกระเส่าจงใจยั่วอีกฝ่าย สุดท้ายอเล็กซิสลากไมเคิลออกไปได้สำเร็จไมเคิลมองหน้าเธอ ใบหน้าแดงก่ำ “ฉันคิดว่าเธอถูกทำร้าย” แล้วชี้ไปที่บลูชายหนุ่มชี้หน้าตัวเอง “ฮะ ถูกทำร้าย?” จากนั้นระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น จากที่โมโหดูจะพอใจมากกว่า “ขอโทษที่รุนแรงจนนายตกใจ แต่ช่วยไม่ได้เพราะลีลาชั้นมันเผ็ดร้อน” เขาตบไหล่ชายหนุ่ม แต่ไมเคิลมีกะใจเบี่ยงตัวออก“คือ...บลู ไมเคิลค่อนข้างจะสับสนนิดหน่อย ฉันขอโทษจริง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจ” อเล็กซิสแก้ตัวให้เพื่อนและพยายามมองแค่หน้าของบลู ปกติแล้วเขาไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่เธอชอบ หรือตรงสเป็ก แต่หุ่นของเขานี่มัน...หน้าอกชายหนุ่มยังคงสั่นไปตามแรงหัวเราะ “พูดจริงดิ เพื่อนเธอไม่รู้จักเสียงเมื่อกี้เหรอ เอ แล้วที่อยู่ในห้องกันสองคนทำอะไรกันวะ” เขาหันไป
ไมเคิลพยายามทำตัวเป็นปกติ เขามานอนเล่นในห้องเธอตั้งแต่สี่โมงเย็น เพราะในห้องตัวเองเต็มไปด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสามหนุ่มไอทีอย่างโคดี้ เรมี กับอาคุสะที่พยายามถอดรหัสเข้าเครื่องให้ได้ ทอยซิตี้ไม่ใช่เมืองพักตากอากาศ หากพวกเขาไม่ดื่มหรือชมลานประลองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรอีก ทั้งสองคุยกันว่าจะหางานทำช่วงเย็นดีไหม อย่างน้อยอาจแก้เบื่อแถมได้ชิปนิดหน่อย ไมเคิลเคยลองทำแล้วออกมาและอาจจะกลับเข้าไปใหม่วันนี้จึงผ่านไปอย่างช้า ๆ สำหรับทั้งสองคน บางครั้งเธอนั่งจดบันทึกอยู่ เขาจะเริ่มเข้ามากระแซะ หลายครั้งเธออยากให้ตัวเองคล้อยตามแต่มันมีบางอย่างที่ทำให้เธอหยุด สัมผัสของไมเคิลไม่ได้ทำให้เธอใจสั่น ทั้งที่หน้าตาและรูปร่างเป็นต่อ อาจเป็นเพราะแววตาของเขาแสดงความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าต้องการจริง ๆ และอาจเป็นเพราะเขาทำให้เธอรู้สึกกึ่ง ๆ ระหว่างออสโล่กับลิ้ตเติ้ลชาร์ลีมากเกินไป ความใกล้ชิดของพวกเขายิ่งกว่าก่อนอเล็กซ์จะตีจากเสียอีก แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนอนตัก กอด หรือถูกเนื้อต้องตัว พวกเขาไม่เคยไปไกลเกินกว่านี้ ถ้าไม่นับจูบทดลองคราวนั้นและสุดท้าย เด็กหนุ่มมักผล็อยหลับบนตักเธอเสมอ ไมเคิลชอบให้เธอเ
คำสุดท้ายแรงเหมือนตบหน้าโดยไม่ใช่มือ แววตาหยิ่งผยองเมื่อครู่กลายเป็นหวาดหวั่น และเมื่ออเล็กซิสเห็นเงาตัวเองในดวงตาคู่นั้นก็ตกใจไม่แพ้กัน ความเกลียดชังในตัวเธอส่งผ่านออกมาจนเห็นชัดผ่านเงาสะท้อน และแม้แต่ตัวเองยังแทบรับไม่ได้กับใบหน้านั้น ดวงตาเธอเหลือบมองเทสซ่าและรีเวอร์ที่ยังคุยกันดี ไม่มีทะเลาะ จึงจับตัวมินนี่เลื่อนออกไป ให้ตัวเองมีช่องว่างปลีกตัวมินนี่ไม่สนใจ เธอเขยิบตัวแล้วก้าวไปเกาะกำแพงข้างหน้าแทน สายตาจดจ่ออยู่ที่พี่สาวตัวเองมากกว่าคนรอบข้าง เวลานี้อเล็กซิสไม่สนใจแล้วว่าต้องรอเทสซ่าหรือไม่ แต่ฉวยโอกาสนี้กลับเขต ใบหน้าอาฆาตเมื่อครู่ยังติดอยู่ในหัว“ฉันไม่เคยอยากให้พวกเขาตาย”เท้าเธอหยุดกะทันหัน เบลินดาเดินตามมา “เวดยังไม่ตาย” เธอสวน หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่มาจากที่เดียวกัน “เธอไม่เคยขอโทษ ไม่เคยรู้สึกผิด ตลอดเวลาฉันเห็นเธอลอยหน้าลอยตาราวกับตัวเองเป็นเหยื่อ...”“เพราะฉันเป็นเหยื่อ” เด็กสาวตรงหน้ากำหมัดแน่น มือทั้งสองข้างสั่นอเล็กซิสหัวเราะ “กล้าพูด”“เหยื่อของผองเพื่อ
“โอ้” ทำไมเราต้องรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ด้วยนะ เธอเหลือบมองเพื่อนสาวอีกที สองคนนั้นยังหัวเราะคิกคัก ไม่รู้ตัวว่ามีคนกล่าวถึง “หมอนั่นไม่ได้เป็นโรคจิตใช่ไหม” เธอถาม เพราะมินนี่ไม่เคยเก็บความลับของพี่สาวอยู่มินนี่ส่ายหัว “รีเวอร์น่ารักจะตาย ไม่กวนประสาทเหมือนโคดี้ด้วย เขาเป็นผู้ใหญ่ โนเอลก็ชอบ” แววตาสีฟ้าอ่อนสลดลงเมื่อนึกถึงพี่ชายที่จากไป อเล็กซิสลุกขึ้นกอดเธอเป็นการปลอบโยน “ถ้าเขาไม่หายไปและไม่ทำให้เทสซ่าเสียใจก็ดี แต่มันไม่ได้แปลว่าฉันเชียร์เขาแทนโคดี้นะ” เด็กสาวเงยหน้าทำตาปริบ ๆ ถึงแม้เธอค่อนข้างประหลาดไปสักหน่อย แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เอ็นดูน้องเล็กของพวกโธมัสคนนี้อเล็กซิสยิ้ม “ฉันรู้”เธอมองรีเวอร์อีกครั้ง ครั้งนี้เขารู้ตัวจึงเดินหายไป เธอไม่เคยรู้เรื่องเขาเลย ไม่แน่ใจว่าเทสซ่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับแฟนเก่า แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีเรื่องขัดข้องใจกับแฟนปัจจุบันก็คงดี อเล็กซิสถอนหายใจ เธอนึกถึงวันที่อเล็กซ์เจอเธอแอบอยู่หลังถังขยะข้างตึกที่พักไมเคิล สติตกอยู่ใต้อำนาจฤทธิ์ยา ถึงแม้เธอไม่อาจตอบได้