로그인30 ปีต่อมา
ปี 3012 เขตซานโบซ่า
“ขอให้เดตวันนี้ราบรื่นนะ อีริน” คุณหมอกล่าวอวยพรนางพยาบาลคนหนึ่งในทีม พวกเขาเพิ่งเปลี่ยนชุดผ่าตัดเป็นชุดเครื่องแบบปกติเสร็จ
“ขอบคุณค่ะคาเลบ ตื่นเต้นจังเลย กลับก่อนนะคะ”
พอเห็นอีรินถลันวิ่งออกไป คนอื่นยิ่งพยายามสะกดกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมา
คาเลบหันไปจับมือและกล่าวขอบคุณสมาชิกคนอื่นในทีม ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปยังห้องทำงานของแต่ละคน
การผ่าตัดประสบความสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เมื่อทีมแพทย์สามารถนำช้อนออกมาจากท้องของผู้ป่วยได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดช้อนเจ้ากรรมจึงไหลผ่านหลอดอาหารลงสู่ท้องของคนไข้ได้ก็ตาม
คาเลบ เดวิส วัยสี่สิบห้าปีเป็นคุณหมอประจำอยู่ที่โรงพยาบาลซานโบซ่า ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กในเมืองขนาดย่อม เขตซานโบซ่าอยู่ในรัฐอิดริน่า ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสหพันธรัฐนิวโฮป เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่สงบสุขมาก ผู้คนส่วนใหญ่จึงรู้จักค่าหน้าค่าตากันเป็นอย่างดี อย่างคนไข้ที่คาเลบเพิ่งผ่าตัดเอาช้อนออกมาก็เป็นเจ้าของร้านอาหารที่เปิดขายอยู่ใจกลางตัวเมือง ร้านของเขาตั้งมานานหลายปี บริหารกิจการจากรุ่นสู่รุ่น
เคสผ่าตัดแบบนี้ไม่ค่อยมีมาให้เห็นหรือเกิดขึ้นบ่อยนัก สิ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่หัวหมุนก็คือพวกคนไข้ที่ชอบคิดว่าตัวเองป่วยใกล้ตายมากกว่า ซึ่งในความเป็นจริง คนไข้เหล่านี้ยังห่างไกลจากมือยมทูตมากนัก คาเลบไม่กล้ายอมรับออกมาตรง ๆ ว่าสิ่งที่ทำให้เขากระชุ่มกระชวยก็คือเวลามีเคสผ่าตัดด่วนหรือผ่าตัดใหญ่ แต่มันก็มาพร้อมกับความรู้สึกผิดที่ยินดีต่อความเจ็บป่วยของคนไข้เหล่านี้ด้วย
บนผนังห้องหลังเก้าอี้ประจำตัว คาเลบได้แขวนรูปภาพประดับไว้มากมาย หนึ่งในนั้นเป็นรูปของนายมาคาริโอ เดลกาโด ผู้ว่าการเขตซานโบซ่า จากในรูปจะเห็นว่า ท่านผู้ว่ากำลังตัดริบบิ้นเปิดงานฉลองโรงพยาบาลที่ได้รับการบูรณะ เนื่องจากโรงพยาบาลซานโบซ่าได้รับงบสำหรับซ่อมแซม (ยื่นขอไปราวสามปีได้) รูปนี้มีอายุสองปีแล้ว คาเลบยืนอยู่ข้างหลังผู้ว่าโดยที่ตากำลังมองไปยังสิ่งอื่นที่ไม่อยู่ในรูป (และเขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองมองอะไร) ผิวสีทองแดงเปล่งประกายอันเนื่องจากแสงแดดที่ตกกระทบกับเหงื่อ คาเลบมีรูปร่างสูงผอมจึงยืนเด่นกว่าคนอื่น พอลูกสาวของเขาเห็นรูปนี้ พวกเธอจะพูดว่า พ่อของพวกเธอหล่อจริง ๆ พร้อมกับหัวเราะคิกคักกันสองคน เขารู้ทันทีว่าพวกเธอกำลังล้อเลียนเขาอยู่ เพราะรูปก็บอกอยู่โต้ง ๆ ว่าคาเลบทำหน้าซึมกะทือขนาดไหน
ถัดจากรูปผู้ว่าการเขต ยังมีมีรูปของประธานาธิบดีจอร์จิน่า ลอว์เลนซ์ หญิงสาวผู้มีผมสีแดงแถมยังตัดสั้นกุด เป็นรูปที่ทุกหน่วยงานรัฐต้องมีติดประดับไว้ทุกที่ ส่วนรูปอื่น ๆ ข้างเคียงคือรูปครอบครัวของเขาเอง
“ลาก่อนยุคสมัยแห่งความหวาดกลัว ประชาชนชาวนิวโฮปทุกท่าน เรามาเฉลิมฉลองให้แก่ความรุ่งโรจน์แห่งอิสรภาพครั้งใหม่ สันติภาพชั่วนิรันดร์ และความยุติธรรมที่แท้จริงกันเถิด”
อิสรภาพครั้งใหม่...งั้นหรือ ช่างเป็นการเลือกคำที่ฉลาดเสียจริง เธอหมายความว่าอย่างไรกันแน่กับคำว่า ‘อิสรภาพครั้งใหม่’ คาเลบนึกสงสัยในคำโฆษณาชวนเชื่อของท่านประธานาธิบดีลอว์เลนซ์เหลือเกิน ข่าวสมัยนี้ต่างแสดงให้เห็นว่าโลกเผชิญกับปัญหารุมเร้ามากมาย แต่ประชาชนกลับถูกชักจูงให้เอาแต่หมกมุ่นแต่ข่าวไร้สาระ ทุกวัน คาเลบจะได้ยินข่าวการก่อการร้ายแถบชายแดน ปล้น ลักขโมย อยู่ในมุมเล็ก ๆ ขณะที่หัวข้อที่สื่อให้ความสำคัญกลับเป็นเรื่องของคนดังออกเดตกับคนนั้นคนนี้ อิสรภาพเป็นเพียงคำสวยหรูที่เอาไว้ลวงคนเท่านั้น ในเมื่อคนเรามีทางเลือกจำกัด
คาเลบชายตามองที่ขอบประตู เห็นเงาคนผ่านช่องว่างตรงนั้น เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อบุคคลดังกล่าวเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต คนคนนี้ชอบทำกิริยาไม่มีมารยาทอยู่ตลอด
แขกที่เข้ามาเป็นหญิงสาวที่ดูดีมากคนหนึ่ง เธอสวมชุดพยาบาลสีขาวสะอาดส่งกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มผสมผสานกับกลิ่นน้ำหอม ผมสีบลอนด์สว่างถูกมัดเป็นมวยต่ำ ดวงตาสีเขียวหยกจับจ้องที่เขาอย่างหมายมั่น เธอเป็นหนึ่งในพยาบาลของที่นี่ และเป็นเพื่อนเก่ามานานแสนนาน..อันที่จริง คำว่าเพื่อนอาจเป็นคำที่คาเลบสงวนไว้เพียงคนเดียว สำหรับเธอ ชื่อเสียงในสังคมโรงพยาบาลไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เพราะเธอชอบเล่นหูเล่นตากับเพื่อนร่วมงานเพศชายไปทั่ว ปั่นหัวพวกเขา จากนั้นก็หักอกให้หักดังเป๊าะ คาเลบเป็นหนึ่งในภารกิจที่เธอทำไม่สำเร็จเสียที แม้เธอจะรู้ว่าเขาแต่งงานแล้วก็ตาม เธอไม่เคยสนใจข้อเท็จจริงนี้เลย
นางพยาบาลมองคุณหมอด้วยสายตาที่ค่อนข้างแสดงออกชัดเจน กิริยาที่ทำให้เขาอึดอัด คาเลบจึงมองเธอตอบด้วยสายตาตำหนิแทน เขาไม่ชอบเล่นเกมเด็ก ๆ แบบนี้
“อะไรกัน ทำไมมองฉันแบบนั้นล่ะคะ นี่ฉันเข้ามาเพื่อคุยเรื่องลูกสาวของคุณต่างหาก นี่ไง ในนิตยสารเล่มนี้ ฉันเห็นลูกคุณด้วย อยากรู้ด้วยว่าเรื่องทุนการศึกษาเป็นอย่างไรบ้าง เธอชนะหรือเปล่า” เสียงของเธอบ่งบอกว่าตื่นเต้นเอามากเลยทีเดียว
หญิงสาวเปิดนิตยสาร ‘ฟาม (Femme) ให้เขาดู คาเลบเห็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยหลายคนสวมกางเกงยีนยี่ห้อ ‘เล็กซี่’ ซึ่งเป็นยี่ห้อเสื้อผ้ายอดฮิตในหมู่วัยรุ่นช่วงนี้ สายตาของเขาจับอยู่ที่เด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อน ผู้ซึ่งมีเม็ดไพลินสีน้ำเงินส่องประกายอยู่ในดวงตา ด้วยรูปลักษณ์หน้าตาแบบนี้ ก่อนหน้าที่คาเลบและเบียนน่าจะพาเธอเข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัว พวกพนักงานในศูนย์รับเลี้ยงเด็กเรียกนางฟ้าตัวน้อยว่า ‘แองเจล่า’ แต่ตอนนี้เธอกลายมาเป็น ‘อเล็กซิส’ ของพวกเขาแล้ว
“เธอสวยจริง ๆ นะคาเลบ สวยขึ้นทุกครั้งที่เจอเลย”
“อืม ลูกสาวผมสวยจริง ๆ นั่นแหละ” คาเลบไม่อาจซ่อนความภาคภูมิใจไว้ข้างในได้ เขาคุ้นชินกับคำชมของคนอื่นที่มักชื่นชมลูกทุกคนอยู่เสมอ
“ยินดีด้วยนะคะ คุณพ่อยอดเยี่ยมประจำปี ไม่สิ ทุกปีเลยต่างหาก ฉันว่านะ” หล่อนขยิบตา
คาเลบส่ายหัวอย่างถ่อมตัว “คุณก็พูดเกินไป เด็ก ๆ เก่งและฉลาดด้วยตัวของเขาเอง พระเจ้าทรงมอบพรอันประเสริฐและล้ำค่าให้กับพวกเขา เบียนน่ากับผมต่างหากที่เหมือนกับถูกรางวัล เป็นโชคดีของพ่อแม่อย่างพวกเรามากกว่า”
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







