LOGINเขาเดินเตร็ดเตร่ไปตามทาง พวกเขาอาจจะถูกปล่อยให้เน่าตายอยู่ในนี้ก็ได้
ทั้งสองคนตกนรกมาเกือบเดือน มันเริ่มมาจากคืนนั้น เบน อเล็กซ์ และซาร่าห์ ดื่มมากเกินไปหน่อย หรืออาจจะเรียกว่า บริโภคแอลกอฮอล์ไปเกือบถัง ไม่ใช่ถังปกติ แต่ระดับถังกักเก็บน้ำก็เป็นได้ ปกติแล้ว เท่าที่เบนศึกษาจากตัวพวกเขาเอง มนุษย์ที่มีพรสวรรค์ต้านทานฤทธิ์แอลกอฮอล์และยาได้ดีกว่าคนทั่วไปมาก หรืออาจจะเรียกว่าของพวกนี้ทำอะไรเขาไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเขาสูบหรือดื่มในปริมาณขนาดนั้น สุดท้าย ร่างกายก็ยอมแพ้อยู่ดี เมื่อสมองถูกแอลกอฮอล์หรือยาสักชนิดเล่นงาน สติค่อย ๆ ลดลง มันเป็นความประมาทเลินเล่อของพวกเขาด้วย วันนั้น ในห้องเพนต์เฮาส์ของอเล็กซ์ (ของอเล็กซ์จริง ๆ ไม่ใช่ของครอบครัว) ด้วยปราศจากสติสัมปชัญญะ พวกเบนทำเรื่องโง่เง่าที่สุดลงไป นั่นก็คือแสดงพลังเพื่อข่มกันและกัน
เบนค้นพบความสามารถเหนือมนุษย์มาตั้งแต่เด็ก ส่วนอเล็กซ์ได้รับพลังพิเศษมาจากอุบัติเหตุ สำหรับซาร่าห์ เขาไม่แน่ใจว่าเธอได้มาได้อย่างไร เพราะเธอไม่เคยเล่าให้ฟัง วันนั้นพวกเขาเพียงแค่แสดงความสามารถที่มี ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคนใกล้ชิดคิดทรยศ ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง พวกตำรวจบุกเข้ามาพร้อมกับหมายจับพิเศษ แน่นอนว่าพวกเขาสู้ ไม่ยอมให้จับง่าย ๆ และถ้าหากคิดหนีจริง ๆ เบนเชื่อว่าคงทำได้ไม่ยาก แต่อยู่ ๆ พวกเขาใช้พลังไม่ได้ หรืออาจเป็นเพราะยังมึนงงบวกกับแอลกอฮอล์ เจ้าหน้าที่พวกนั้นข่มขู่ว่าจะดึงครอบครัวของอเล็กซ์และซาร่าห์มาเกี่ยวข้องกับคดี ยิ่งไปกว่านั้น ยังจับน้องชายของอเล็กซ์ไว้เป็นตัวประกัน ทั้งหมดจึงยอมให้จับแต่โดยดี น่าขันตรงที่ว่า พวกเขายอมแพ้เพื่อช่วยคนที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน เพราะน้องชายของอเล็กซ์ หรือนิค กลับเป็นคนที่แจ้งตำรวจ เขาบังเอิญเห็นความลับของพี่ชายเข้า ก็เลยตัดสินใจทำอย่างนั้น
เบนยอมรับว่าเขาแปลกใจมากเมื่อรู้ว่าเป็นฝีมือของนิค เพราะเท่าที่โตมาด้วยกัน นิคเป็นเด็กน่ารัก จิตใจอ่อนโยน...แต่อย่างว่า เป็นความเข้าใจผิดมหันต์ เบนใช้เวลาในห้องขังลองวิเคราะห์ครอบครัวของอเล็กซ์ ไม่นาน เขาพอมองเห็นอะไรบางอย่าง พ่อที่แสนเย็นชาคาดหวังให้ลูกทุกคนมีความสามารถและเก่งกาจในระดับสูงกว่าคนทั่วไป ฟิโอดอร์ โวลคอฟต้องการให้ลูกชายทั้งสามสานต่อกิจการของโวลคอฟทั้งหมด วลาด พี่ชายของอเล็กซ์ไม่ต่างจากพวกมิสเตอร์เพอร์เฟกต์ดี ๆ นี่เอง เขาสามารถตอบสนองความคาดหวังของผู้เป็นพ่อได้ทุกอย่าง อเล็กซ์เกือบจะเป็นมิสเตอร์เพอร์เฟกต์คนที่สอง ถ้าหากเขาไม่ทะเลาะกับบิดาบ่อย ๆ พ่อของอเล็กซ์ไม่ชอบใจที่ลูกชายชื่นชอบการถ่ายรูป อเล็กซ์เป็นคนมีศักยภาพที่ไม่น้อยไปกว่าพี่ชายเลย แต่เพราะมีนิสัยหัวขบถจึงไม่ใช่ลูกชายสมบูรณ์แบบ ในอนาคตอันใกล้ สามพี่น้องต้องช่วยกันบริหารอาณาจักรธุรกิจของบิดา แต่นิคกลับไม่อยากแบ่งสมบัตินั้นกับพี่น้องคนไหน เขามองพี่ชายตัวเองเป็นศัตรู เพราะเหตุนี้ เมื่อนิคมองเห็นโอกาสกำจัดทายาทไปได้คนหนึ่ง เขาจึงไม่ลังเล
เขารู้ดีว่าอเล็กซ์เจ็บปวดขนาดไหนเมื่อรู้ว่าน้องชายหักหลัง กลายเป็นคนที่ไม่รู้จัก แม้แต่เรื่องที่เบนลวงซาร่าห์ให้ตกหลุมเสน่ห์และเธอตัดสินใจตีจากอเล็กซ์เพื่อมาหาเบนก็ยังไม่อาจทำ
อเล็กซ์เจ็บได้เท่ากับคนในครอบครัวหักหลังตัวเอง หากเทียบบาดแผลก็คงเหมือนกับแผลรอยข่วนกับแผลถูกมีดแทง และอาจเป็นเพราะเบนมักล่อลวงแฟนสาวของอเล็กซ์อยู่เสมอ เขาก็คงชินแล้ว สิ่งที่ทำให้อเล็กซ์เจ็บเจียนตายจริง ๆ ก็คือนิค และอีกเหตุผลหนึ่ง เขาอยากกลับไปคืนดีกับพ่อตัวเองใครจะรู้ ว่าพ่อที่ขึ้นชื่อว่าเข้มงวดและใจแข็งที่สุดจะแสดงออกว่ารักลูกมากกว่าที่เข้าใจ พออเล็กซ์ถูกจับ ในฐานะประธานเครือบริษัทโวลคอฟ คอร์เปอเรชั่น กรุ๊ป ฟิโอดอร์ใช้อำนาจทางการเงินและเส้นสาย หรือเรียกว่าทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูกชายคนที่สองให้หลุดจากคดีนี้ให้ได้ ทว่าเมื่อเทพบุตรตกสวรรค์แล้ว โอกาสชำระล้างบาปเป็นศูนย์ แม้แต่พระเจ้าแห่งโวลคอฟยังไม่อาจช่วยลูกชายของตัวเองให้พ้นจากขุมนรกได้ เพียงแต่ความพยายามของเขาทำให้อเล็กซ์เพิ่งตระหนักรู้ มันละลายอคติในใจของไปจนหมด เบนคิดว่า นี่อาจเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้อเล็กซ์กลายเป็นคนเก็บตัวเมื่อมาอยู่ที่นี่ ตั้งแต่แม่ของเขาจากไป อเล็กซ์กับฟิโอดอร์มีปากเสียงกันบ่อยมาก อเล็กซ์คงอยากกลับไปแก้ไขความสัมพันธ์ของตัวเองกับพ่อ หรืออย่างน้อย ก็ได้พูดเปิดใจ พูดในสิ่งที่อยู่ในใจ แต่โอกาสนั้นถูกพรากไปแล้ว และที่สำคัญ ความเจ็บปวดที่เกิดจากน้องชายจอมทรยศก็ไม่อาจลืมได้ลง
“น้องชายของฉันถูกหลอกใช้ เขาไม่ได้คิดจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกหรอก เขาเปลี่ยนไปเพราะป้าแคทแน่ ๆ เธอต้องคอยเสี้ยมให้พวกเราแตกกัน เธอทำให้นิคเปลี่ยนไป” อเล็กซ์บอกกับเบนในเวลาที่ทั้งสองถูกขังอยู่ในห้องขัง
“ถ้านายคิดแบบนั้นแล้วสบายใจ ก็เอาเลย”
เรื่องของอเล็กซ์มีรายละเอียดมากมาย แล้วของเขาเล่า พอคิดถึงครอบครัวตัวเอง เบนอยากจะหัวเราะ เบนเป็นหนึ่งในบุตรนอกสมรสที่พ่อผลิตไว้มากมาย เขาไม่เคยรู้จักแม่ของตัวเอง เธออาจจะเป็นโสเภณีอยู่ที่ไหนสักแห่ง พ่อมักบอกว่าเบนฉลาดที่สุดและมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นทายาทของตระกูลโรซิเยร์ ตั้งแต่เด็ก พ่อพาเบนตัวน้อยไปทำงานด้วยเสมอ เขาเรียนรู้การทำงานจากพ่อ และเขาภูมิใจที่ได้เป็นลูกคนโปรด หลงคิดว่าพ่อเลือกเขาแล้ว และพ่อยอมรับในตัวเขาว่าเป็นลูกเพียงคนเดียว นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม คนถึงไม่มองว่าเขาเป็นบุตรนอกสมรสเหมือนเด็กโรซิเยร์คนอื่น แต่เป็น ‘เบนจามิน โรซิเยร์’ ผู้มีสิทธิสืบทอดกิจการของวงศ์ตระกูล ทว่าเมื่อพ่อทราบข่าวว่าลูกชายถูกจับ เขาตัดเบนจากความเป็นลูกทันที วันที่สองหลังจากที่ถูกจับกุม จูเลียน น้องชายต่างแม่มาเยี่ยมที่ห้องขังพร้อมกับรอยยิ้มเยาะที่สงวนไว้ให้พี่ชายโดยเฉพาะ น้องชายตัวดีมาเพื่อเย้ยว่า ต่อจากนี้ไป เขาเป็นลูกคนโปรดและเป็นว่าที่ทายาทตระกูลแทนเบน และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้จูเลียนจมูกหักและฟันแหว่ง เพราะเบนจับหน้าน้องชายสุดที่รักกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะสุดแรง ในวันที่เขาเดินทาง มีเพียงพี่เลี้ยงวัยดึกมาส่งเท่านั้น พ่อคงยุ่งอยู่กับการหาหมอศัลยกรรมหน้าจูเลียน เพราะทายาทที่จมูกหักและฟันโหว่คงไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามต่อธุรกิจเท่าไร
หมอนั่นควรฟันหักมากกว่านี้อีก หรือน่าจะหมดปาก เบนคิดว่าเขาใจดีเกินไป
เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกรักและกลายเป็นเพียงลูกนอกสมรสที่ไร้ประโยชน์ เขาไม่เสียใจเลยที่ทำกับไอ้จูเลียนเป็นแบบนั้น พ่อไม่เหมือนพ่อแม่คนอื่น มองเด็กเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่เขาผลิตขึ้นมา เด็ก ๆ แต่ละคนเป็นเพียงว่าที่ผู้สืบทอดเท่านั้น หากคนนั้นใช้การไม่ได้ เขาก็คัดทิ้ง แล้ว
คัดสรรตัวใหม่ พอคิดถึงครอบครัวตัวเองทีไร เบนอยากกลับไปหาพวกเขาเสมอ เขาจะกลับไปเอาคืนพ่อและพี่น้องคนไหนก็ตามที่ได้ขึ้นมาแทนที่เขา“นี่นาย!”
โนเอล โธมัสเป็นคนสุดท้ายที่เขาคิดว่าจะเดินเข้ามาหา เบนแปลกใจที่เห็นพี่ชายของเทสซ่า ท่าทีของชายร่างใหญ่สุภาพผิดจากวันนั้น วันที่เขาเข้าใจเบนผิด
“มีเรื่องอะไรอีกล่ะ ฉันยังคงนั่นยัน นอนยัน ว่าน้องสาวนายนั่นแหละที่ยั่วฉัน” เบนโพล่งตอบทันที
โนเอลทำเสียงเหมือนมีอะไรจุกที่คอ แต่แล้วก็บอกว่า “ฉันแค่ต้องการขอโทษนายสำหรับครั้งนั้น ฉัน...หยาบคายใส่นาย ฉันเข้าใจผิดเองว่านายคุกคามน้องสาว แต่ความจริงแล้ว นายถูกแกล้ง...ฉันควรสอบถามให้แน่ใจก่อนกล่าวหานายแบบนั้น”
“แกล้งเหรอ ใช้คำเบาไปมั้ง เธอทำให้ฉันอับอายต่อหน้าทุกคนเลยนะ เธอทำลายชื่อเสียงของฉันเกือบป่นปี้” ชายหนุ่มเบ้ปาก “แล้วนายรู้ความจริงได้อย่างไรล่ะ พ่อหนุ่มน้อย ทำไมไม่ให้เธอมาเองเล่า ถ้าเทสซ่ามาขอโทษด้วยตัวเอง ฉันถึงจะยอมฟังคำขอโทษ”
“นั่นไม่ใช่ประเด็น ฉันแค่มาขอโทษนาย จะรับหรือไม่รับ ก็แล้วแต่ อย่างน้อย ฉันได้ขอโทษนายแล้ว ไม่มีอะไรค้างคาอีก”
เขามาแล้วก็ไป เบนหัวเราะในลำคอ พวกพิลึก แต่ทันใดนั้น เขานึกได้ว่าตัวเองสามารถเข้าหาสาวน้อยที่หน้าเหมือนตุ๊กตาคนนั้นได้ง่ายขึ้น เพราะโนเอลคงรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่พวกโรคจิต และเทสซ่าก็เป็นเพียงอีตอแหล ก็เหลือเพียงไอ้หัวทองคนเดียว อเล็กซ์พูดถูก สิ่งเดียวที่ทำให้เบนสนุกขึ้นมาได้ ก็คือการไล่เก็บพวกผู้หญิงให้หมด
ไม่จริงหรอก ไม่ใช่สิ่งเดียว ยังมีอีกสิ่ง นั่นคือการกวนประสาทนายไงล่ะ อเล็กซ์
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







