Masukเครื่องตรวจจับควันถูกติดตั้งแทบทุกตารางนิ้ว ยกเว้นห้องใหม่ที่เพิ่งเปิด พวกเขานึกขอบคุณความสะเพร่าของเจ้าหน้าที่ติดตั้งระบบ เบนกับอเล็กซ์จึงได้โอกาสสูบกัญชาอัดปอดกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีสิ่งรบกวน น่าแปลกที่ว่า เบนควรรู้สึกว่าเป็นผู้ชนะ (ซึ่งตอนแรกก็รู้สึกแบบนั้น) ทว่าอารมณ์เริงร่ายินดีกับเรื่องนี้หมดลง เมื่อเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขามีอยู่ทำตัวแปลกไป นับวันอเล็กซ์ยิ่งมีอาการแย่ลง แย่ลง เขาเอาแต่สิงอยู่ในท้องฟ้าจำลองตั้งแต่ที่พบว่ามันเป็นเขตปลอดเครื่องดักจับควัน คิดไปว่าห้องนี้คือพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง เบนมองว่า
อเล็กซ์คงเลือกนอนตายในห้องนี้แน่นอนอเล็กซ์ค่อนข้างหงุดหงิดในช่วงแรกที่คนอื่นรู้ว่ามีห้องใหม่ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบหรือตื่นเต้นไปกับดวงดาวเท่าไรนัก (เหมือนกับเบน) มีไม่เยอะนักที่จะมานั่งแช่นาน ๆ ดังนั้น ไม่กี่วันผ่านไปจึงเหลือไม่กี่คนที่เข้ามาดู อีกเหตุผลหนึ่งที่แขกมีจำนวนน้อย เพราะอเล็กซ์สูบบุหรี่ เมื่อเขาเริ่มจุด คนเริ่มทยอยหนีออกไป เพราะเหตุนี้ ห้องจึงมีกลิ่นกัญชาเกือบตลอดเวลา อเล็กซ์รู้วิธีไล่คนออกไปจากห้อง เขาต้องการยึดห้องนี้ไว้คนเดียว
“พยายามเข้า อเล็กซ์ ควบคุมพลังของนายให้ได้ นายจะได้ลอยขึ้นไปอยู่กับไอ้ดาวปลอม ๆ พวกนี้” เบนตะโกน พอพูดเสร็จก็ปิดปากหาว เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศ มองดูแล้วเหมือนกับราชาแห่งสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
อเล็กซ์มองขึ้นข้างบนแล้วกระโดดอีกรอบ ร่างสูงทะยานขึ้นสู่อากาศค้างอยู่สักพัก จากนั้นระดับความสูงค่อย ๆ ลดลง อเล็กซ์กำลังเรียนรู้วิธีลอยตัวอยู่ในอากาศและต่อต้านแรงโน้มถ่วง “นั่นแหละ อย่างนั้นแหละ” เบนมองดูเพื่อนตัวเองทั้งที่ตาปรือ อเล็กซ์พยายามอยู่หลายรอบจนครั้งสุดท้าย ศีรษะของเขาพุ่งชนเพดานเข้าอย่างจัง
“โอ้ นายอย่าลืมสิ ว่ามันไม่ใช่ของจริง” แต่น้ำเสียงของเบนกลับกลั้วเสียงหัวเราะ ไม่ใช่สงสารเพื่อน
“โธ่เว้ย!” อเล็กซ์คำรามใส่ตัวเอง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเบน แล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้
เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ถูกแรงบางอย่างกระแทกจนพลิกคว่ำ
“ไอ้ชั่ว” เบนเกือบหล่นจากเก้าอี้ โชคดีที่มือข้างขวาคว้าแขนเก้าอี้ได้ทัน เขาควบคุมให้มันเลื่อนลงมาช้า ๆ จนเท้าแตะพื้นและตัวเองปลอดภัย
“แม่ง ไม่เอาแล้วโว้ย ไม่อยู่แล้ว” ชายหนุ่มหัวร้อนขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเมื่อถูกกวนโมโหเข้าให้ และอีกเหตุผลหนึ่ง เขาเบื่อมองดาวดิจิทัลเต็มแก่
“ใจเย็น ๆ น่า” อเล็กซ์จุดบุหรี่ขึ้นอีกม้วน นี่เป็นม้วนที่สี่ของเช้าวันนี้แล้ว
“นี่นายเหลืออยู่กี่ซองวะเนี่ย”
“...เอิ่ม เก้า...มั้ง แล้วนายล่ะ เหลืออยู่เท่าไร”
“สิบแปดซอง”
“ให้ฉันสักห้าซองสิ ถ้านายไม่อยากสูบก็ยกให้ฉันซะ”
“ไม่ให้” เบนเลิกคิ้ว กวนประสาท “เว้นแต่ว่านายจะออกจากห้องนี้แล้วหาอะไรอย่างอื่นทำ” หางตาของเบนมองเห็นบิกแบง เขาดูมันเป็นรอบที่สิบแล้ว “ฉันเบื่อ”
“ไม่ ฉันไม่อยากไปไหน นายไปเหอะ หาสาว ๆ ตามที่อยากได้เลย” อเล็กซ์นอนลงบนพื้น นั่งนิ่งราวกับมีคนมาตอกตะปูยึดไว้ เขากอดอกแน่นเหมือนเด็กดื้อ
“เอางี้ แลกกับบุหรี่ห้าซองไหม”
“ไม่”
“งั้นแปดซอง”
“ไม่”
“สิบเลย”
“ไม่”
“เสียสติไปแล้วเหรอไง” เบนเริ่มหมดความอดทน อเล็กซ์คงเสพติดความสันโดษและกัญชามากเกินขนาด และมันอาจส่งผลให้สติของเขาหลุดไปแล้วก็ได้ “นี่นายปลูกกัญชาในสมองเหรอวะ จะอยู่ที่นี่ไปตลอดไม่ได้ ขยับก้นออกมาบ้าง! แล้วนายได้อาบน้ำแล้วหรือยัง”
อเล็กซ์เงียบไปสักพักก่อนตอบเสียงอ่อน “บางทีฉันอาจเบื่อเหมือนนายนั่นแหละ เบน นายอาจจะแก้เบื่อด้วยผู้หญิง ไปเจอคนนู้นคนนี้ แต่สำหรับฉัน แค่นั่งสูบบุหรี่และมองดวงดาวพวกนี้ก็พอแล้ว” เขาปล่อยควันออกจากปากมากมาย “ท้องฟ้าสวยจะตาย ทำไมนายไม่เห็นเหมือนฉันนะ มันทั้งสวยและน่าค้นหา...ใครสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาก็ไม่รู้”
เบนถอนหายใจ “ใช่ ไอ้สวยน่ะสวย แต่มันโคตรน่าเบื่อเลย พวกมันไม่มีชีวิต ไม่มีความรู้สึก อเล็กซ์ นายกำลังจะเหมือนดาวพวกนี้แล้วนะ”
ควันบุหรี่ปกคลุมไปทั่วตัวอเล็กซ์ เหมือนกับตัวของเขากำลังจะเลือนหายไปด้วย “นายไปเหอะ ฉันไม่เป็นไร ฉันจะไม่ไปไหนจนกว่าพวกเขาจะบอกว่าทำไมถึงส่งพวกเรามาที่นี่”
“อย่างกับจะมีใครมาบอกพวกเราอย่างนั้นแหละ”
อเล็กซ์ยังคงไม่ขยับ เบนเลยสะบัดมือตัวเองออก เก้าอี้ที่นั่งโถมใส่เพื่อนที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ทันที
“อย่ากวนได้ไหมวะ!” อเล็กซ์ตะโกนแล้วฟาดมือ ตีกลับการจู่โจมของเบนด้วยพลังของเขาเอง เก้าอี้ในห้องนอนนิ่ง แต่ในลักษณะกระจัดกระจายไปทั่ว “ไปไกล ๆ เลย”
“สมน้ำหน้า ไอ้หน้ากัญชา”
เบนส่ายหน้าเอือม นายมันบ้าไปแล้ว เขาออกจากห้องแล้วปล่อยให้อเล็กซ์หลงอยู่กับจักรวาลและโลกจอมปลอมที่เขาสร้างขึ้น เกือบเดือนแล้วที่ทั้งสองคนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ พวกเบนมาถึงเป็นกลุ่มแรก ๆ จึงมีเวลาใช้ทุกพื้นที่จนหมด พวกเขาทดลองทุกสิ่งทุกอย่าง สำรวจทุกซอกทุกมุม จนตอนนี้ไม่มีกิจกรรมอะไรหลงเหลือให้อยากทำอีก ถ้าเกิดทั้งสองต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต เบนคิดว่าเขาคงขาดใจตายเพราะความเบื่อหน่าย นอนสำลักสีขาวจนตาย ส่วนอเล็กซ์ก็กลายเป็นดาวพวกนั้น
เบนคิดถึงเด็กผู้หญิงที่ชื่อ อเล็กซิส แต่เธอมักอยู่กับเพื่อนและพวกพี่น้องโธมัสตลอดเวลา มันเป็นเรื่องยากที่จะทำความรู้จักกับเด็กคนนั้นเมื่อในสายตาโนเอลกับเทสซ่า เขาเป็นไอ้โรคจิต ส่วนไอ้หนุ่มร่างกำยำก็คอยกันไว้ ครั้งล่าสุดซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้คุยกับเธอ แก้มของเธอแดงซ่าน เด็กสาวพยายามหลบสายตาเขาอยู่หลายครั้ง ซึ่งมันบ่งบอกว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่ในสัญญาณนั้นมีความลังเลที่ทำให้เบนไม่ได้รวบรัดหรือเร่งความสัมพันธ์ เขาปล่อยให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป
มันมีกฎพื้นฐาน หากคุณต้องการเอาชนะสาวสวย อย่าจีบแซวพร่ำเพรื่อ อย่าทำตัวราวกับว่าคุณพร้อมจะเอาใจเธอทุกอย่าง ทำตัวให้ลึกลับบ้าง ขณะเดียวกันก็เปิดเผยตัวตนออกไป แสดงให้เธอเห็นว่าคุณปรารถนาเธอ ขณะเดียวกัน อย่าลืมทำตัวเป็นสุภาพบุรุษแม้เธอมองออกว่าข้างในคุณเป็นอะไร ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดี แต่อย่าทำให้เธอปฏิบัติกับคุณเหมือนเป็นแค่เพื่อน ทำให้เธอรู้สึกว่าคุณปฏิบัติกับเธอพิเศษกว่าใคร แต่บางครั้งก็ทำแบบนี้กับคนอื่นด้วย ทำตัวใกล้ชิด จากนั้นเว้นระยะห่าง แต่ทำให้สาวคนอื่นตกหลุมรักคุณไปด้วย เล่นกับเธอ ทำให้เธอสับสน จนกระทั่งเธอเป็นฝ่ายตามคุณเอง จนกระทั่งเธอตกหลุมรักคุณ ทำลายความเย่อหยิ่งของเธอซะ แล้วคุณจะชนะ
เขาใช้เวลาเกือบชั่วโมงคุยกับเด็กสาวคนหนึ่งโดยที่ไม่ถามชื่อเลย สำหรับพวกสาวช่างฝันหรือปรารถนาในตัวเขาแต่แรก ขั้นตอนอาจรวบรัดได้ เพราะพวกเธอรอคอยเจ้าชายในฝันอยู่ทุกคืน หากเธอเข้าใจว่าเขาเป็นคนนั้น ทุกอย่างก็จะเร็วขึ้น คืนนี้เขาคงไม่ต้องอยู่คนเดียว แต่ความเหงาใช่ว่าจะจากไปเสียทีเดียว หรือว่าเขาควรอยู่กับอเล็กซ์ในห้องนั้น แล้วปล่อยให้กัญชายึดร่างเสีย ทำไมเขาเกิดรู้สึกหมดอารมณ์ ถ้าหากหน้าจอทีวีหน้าห้องอาหารมีข้อความอะไรขึ้นมาบ้างก็คงจะดี เบนตัดสินใจผละจากเด็กสาวคนดังกล่าว
ติดเชื้ออเล็กซ์หรือไงวะ
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







