เช้าวันจันทร์ หลังฝนหยุดตก
สำนักพิมพ์คนึงนิจกลับมามีชีวิตอีกครั้งท่ามกลางกลิ่นกาแฟลอยคลุ้ง กับเสียงแป้นพิมพ์และโทรศัพท์สลับกันดังไม่ขาดสาย
ธารากำลังจะเดินเข้าห้องประชุม เมื่อเสียงแจ้งเตือนจากมือถือดังขึ้นถี่ผิดปกติ
ข้อความจากไลน์หลายกลุ่ม ทวิตเตอร์ และอีเมลแจ้งเตือนจากระบบติดตามคีย์เวิร์ดแฮชแท็กของสำนักพิมพ์
ชื่อเดียวกันทั้งหมด. . .
“ชาโดว์”
เธอหยุดเท้า พลันขนลุก
นิ้วรีบแตะหน้าจอเข้าไปที่แอคเคาท์ทวิตเตอร์ที่ไม่ได้อัปเดตมาเกือบ 5 ปีเต็ม
@ShadowWrites
และที่นั่น...
มีโพสต์ใหม่ ปรากฏขึ้นเพียงหนึ่งข้อความ
"ถ้าใครบางคนยังเชื่อว่าคำพูดบนหน้ากระดาษเปลี่ยนโลกได้... ก็จงลองเปลี่ยนใจคนอย่างผมดู"
— Shadow
ข้อความเรียบง่าย ไม่แท็กใคร ไม่ติดแฮชแท็ก
แต่ธารารู้…
เขาหมายถึงเธอ
“ลองเล่นกับเขาดูสักหน่อยดีไหมนะ” ธารายิ้มชอบใจ
ภายในห้องประชุมเรียบหรูแต่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายของความเก่าแก่ที่คงไว้ซึ่งความขรึม หน้าต่างกระจกสูง แสงแดดยามสายที่กรองผ่านม่านโปร่งขาวบาง สะท้อนลงบนโต๊ะไม้โอ๊คขนาดใหญ่ที่เรียงรายด้วยเอกสาร ปากกา และกาแฟอุ่นๆ ที่ยังมีไอน้ำลอยอยู่จางๆ
ทว่าในใจของธาราตรงข้ามกับบรรยากาศ
ในใจของธาราอยากจะพุ่งตัวเข้าไปเผชิญหน้ากับเจ้าของข้อความที่เธอพึ่งจะอ่านไปจริงๆ
ปลายนิ้วกดปากกาเสียงกระทบกันเป็นจังหวะ
“ใจลอยไปถึงไหนกัน” เสียงจิกกัดเจื้อยแจ้วดังขึ้นมาจากฝั่งตรงข้ามเธอ
หัวหน้ากองบรรณาธิการ 2 ที่ธารามักจะขัดแย้งกับเธออยู่เสมอ
ธารายังไม่ทันได้ตอบโต้อะไรกลับไปก็มีเสียงแย้งขึ้น “เอาล่ะ ทุกคนทำได้ดีมาก วันนี้ก็พอเท่านี้ก่อน”
“หัวหน้าบรรณาธิการ 1 อยู่ก่อน” ธาราพยักหน้ารับคำ
ทว่าเจ้าของคำสั่งนั้นคือหัวหน้าฝ่ายบริหาร ลุงของเพื่อนสนิทเธอผู้ที่ดูแลธารามาแทนพ่อของเธอที่เสียไป
“ก่อนเข้าประชุมเธอคงจะเห็นแล้วสินะ…ลุงจะไม่พูดอะไรมาก แต่ดึงตัวเขามาให้ได้” น้ำเสียงของคุณลุงเข้มงวด ทว่าสายตากลับดูเชื่อมั่นในตัวของธารากว่าใคร
“ฉันจะทำให้ดีที่สุดค่ะหัวหน้า”
“ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีน้ำเงินควักบางอย่างจากกระเป๋าในสูท ก่อนจะยื่นให้ธาราอย่างช้าๆ นามบัตรใบเก่า ซีดซีดแต่ยังชัดเจน”
หญิงสาวหยิบมันมาดูพร้อมยิ้มออกมา
. . .
ห้องทำงานส่วนตัวที่กั้นกลางด้วยกระจกบานใหญ่เผยให้เห็นความวุ่นวายของเหล่าบรรณาธิการในกองที่ 1 เสียงหัวเราะคละเคล้ากับเสียงพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดดูเหมือนจะเป็นสัญญาณของเช้าวันจันทร์อันแสนธรรมดา
แต่ในใจของธารา กลับสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
เธอนั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน เสียงเงียบสงบที่รายล้อม นามบัตรใบเล็กในมือถูกพลิกไปมาอย่างไม่รู้ตัว
ธาราก้มมองนามบัตรอีกครั้ง ปลายนิ้วลูบผ่านตัวอักษรที่ซีดจางเล็กน้อย…มันเก่ากว่าเวลา
“ลองเอาผมออกจากเงาดูสิ…คุณบรรณาธิการ”
ความหมายของคุณหมายถึงแบบนี้รึเปล่านะ
ธาราตัดสินใจโทรไปตามเบอร์บนนามบัตรซีดจางที่อยู่ในมือ
เสียงสัญญาณดังทอดยาว
ตู๊ดดดดด... ตู๊ดดดดด... ตู๊ดดดดด...
ไม่มีใครรับสาย
เธอมองหน้าจอที่ดับลงช้า ๆ แล้วหลุบตามองนามบัตรในมืออีกครั้ง
“ไม่รับสายงั้นเหรอ...” ธาราพึมพำ พลางใช้นิ้วลูบผ่านขอบกระดาษที่เริ่มหลุดรุ่ย
“งั้นคงต้องไปตามที่อยู่ในบัตรแล้วสิ”
เธอลุกขึ้น หยิบกระเป๋าสะพายแล้วเดินออกจากห้องทำงานอย่างแน่วแน่
ปลายนิ้วกดโทรศัพท์เรียกรถผ่านแอป ทว่าหัวใจของเธอกลับลอยลิ่วไปถึงจุดหมายก่อนร่างกายจะเคลื่อนถึงเสียอีก
...
เอี๊ยดดดด...
รถหยุดลงในหมู่บ้านหรูใจกลางเมือง ถนนด้านหน้าเงียบสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง
ธารามองบ้านหลังใหญ่ตรงหน้า สลับสายตาระหว่างมันกับนามบัตรในมือ กระดาษใบเล็กที่พาเธอมาไกลถึงจุดนี้
หวังว่าเขาคงจะไม่ไล่ฉันทันทีหรอกนะ...
เธอสูดหายใจลึก แล้วเปิดประตูรถลง ทว่ามีเม็ดฝนบางเบาปะทะเข้ากับหน้าของเธอ
ขาทั้งสองก้าวไปหยุดที่หน้าประตูรั้วเหล็กสูง ธาราเงยหน้ามองฟ้า
วันนี้ฝนก็ยังคงตกอยู่สินะ
ธาราเอื้อมมือไปกดกริ่งหนึ่งครั้ง
เงียบงัน
ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีสัญญาณตอบรับใด ๆ
เธอกดซ้ำรัวรัวอีกครั้ง
ทุกอย่างก็ยังคงเงียบจนในใจเธอเกิดคำถามขึ้น หรือว่านามบัตรนี่จะพาฉันมาผิดที่กันนะ
ปี๊บบบ
เสียงแตรจากรถสีดำ คันหรูดังขึ้นจากด้านหลังของธารา
เธอตกใจสะดุ้งโหยง
กระจกรถค่อยๆ เลื่อนลงช้าๆ ทว่าคนที่อยู่ในรถคือเขา…
“เป็นคุณจริงๆ ด้วย” เธอจ้องมองไปที่ชายหนุ่มหลังพวงมาลัย
ประตูรั้วขนาดใหญ่เปิดออกช้าๆ รถสีดำคันหรูเคลื่อนตัวเข้าไปอย่างไม่รีรอ
ธาราเห็นจังหวะพอเหมาะรีบพุ่งตัวเข้าไปเช่นกัน ด้วยใจหนึ่งก็อยากจะหลบฝน
และอีกใจก็กลัวจะพลาดโอกาส
เธอยืนรอเขาอยู่ที่ข้างรถฝั่งคนขับพร้อมยกยิ้มหวานให้เขา
ประตูรถเปิดออก “ใครให้คุณเข้ามา” ชายหนุ่มตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
สีหน้าและสายตาของเขากลับขัดแย้งกับคำพูดโดยสิ้นเชิง
ธาราเม้มปาก
“ลองเอาผมออกจากเงาดูสิ” เธอพึมพัมเบาๆ แต่เสียงดังพอให้ฝ่ายตรงข้ามได้ยิน
สายตาคู่นั้นเลื่อนขึ้นประสานกับสายตาของชายหนุ่ม นิ่ง แน่วแน่ และไม่ยอมแพ้
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนยกยิ้ม พลางกอดอกยืนพิงรถ
“หึ... แบบนี้สิ ถึงจะน่าสนใจ”
“บรรณาธิการธาราใช่ไหม?”
เธอพยักหน้า “ค่ะ เรียกว่าธาราก็ได้”
เขาทำหน้าครุ่นคิด “ธารา...เหมือนชื่อแมวผมเลย”
ธาราขมวดคิ้วทันที “แมวคุณชื่อธารา?”
“อ้อ ไม่ใช่ครับ ผมล้อเล่น” เขาหัวเราะเบา ๆ
ชายหนุ่มเดินนำเธอไปที่ประตูบ้านบานใหญ่ เขาไม่ได้มีทีท่าว่าจะไล่เธอเหมือนตอนแรก
เขาหยุดชะงักก่อนจะเปิดประตู หันมาถามเธอ “เธอทำกับข้าวเป็นรึป่าว?”
ธาราขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ฉันทำเก่งกว่าที่คิดนะ” พร้อมยิ้มกว้าง
“แค่... อย่าหวังว่าเชฟจะรับออร์เดอร์ตอนอารมณ์ไม่ดีละกัน”
เขาเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับ “งั้นเรื่องสัญญา..
ชายหนุ่มไม่ทันได้พูดจบธาราก็รีบแทรกขึ้น
“ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายจะทานอะไรดีคะ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากกระตุกขึ้นคล้ายจะยิ้ม
“เล่นบทแม่บ้านเลยเหรอ?”
ธารายักไหล่ขึ้นพรางกอดอก
ประตูบานใหญ่เปิดออก
ธาราไม่รีรอให้เจ้าบ้านเชิญแต่อย่างใด
เธอเดินตรงเข้าไปเอาพระเป๋าที่สะพายอยู่วางลงบนโซฟาหนังหลังใหญ่
ทว่ามีเจ้าเหมียวนอนขดตัวอยู่ เธอตื่นเต้นเล็กน้อยพรางยิ้มกว้าส่งเสียงทักทาย
เจ้าของโซฟากระพริบตาให้ธาราประหนึ่งตอบรับคำทักทาย
. . .
ชายหนุ่มยกยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาหันกลับมามองประตูบ้านที่ยังเปิดอยู่
ด้านนอกฝนเริ่มเทลงมาอย่างหนัก
เสียงฝนตกกระทบพื้นหน้าบ้านดังแผ่วเบา แต่กลับกึกก้องอยู่ในใจเขา
ถ้ากลับมาช้ากว่านี้อีกนิด… เธอคงเปียกโชกอยู่นอกรั้วนั่นคนเดียว
เขาถอนหายใจเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว ดวงตาหยุดนิ่งอยู่ที่ภาพรองเท้าของเธอที่เปียกน้ำอยู่ตรงประตู
ไม่รู้ว่าทำไม แต่แค่เห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้น... หัวใจเขาก็รู้สึกเหมือนบ้านหลังนี้ไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป
ชาโดว์ค่อย ๆ ปิดประตูลงอย่างเงียบงัน ปล่อยให้เสียงฝนด้านนอกกลายเป็นเพียงฉากหลังของความอุ่นในบ้านที่กำลังเกิดขึ้น
หญิงสาว เดินตรงไปที่ครัวที่อยู่ติดกับห้องนั่งเล่น
ภายในครัวกว้างขวาง ตกแต่งสไตล์มินิมอลเรียบหรู เคาน์เตอร์หินอ่อนสีเทาและเครื่องครัวทันสมัยทุกชิ้นกลับถูกทิ้งให้ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่กลิ่นของอาหารหรือเศษความอบอุ่น
ธารามองไปรอบ ๆ แล้วหัวเราะเบา ๆ “นี่คุณใช้ครัวเป็นที่วางของเหรอ?”
“แค่ยังไม่มีใครทำให้รู้สึกว่าอาหารมันจำเป็น” เขาตอบเสียงเรียบ
ธาราชะงักมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ไข่มีมั้ย?”
“มี”
“ผัก?”
“ไม่แน่ใจ”
“ตู้เย็นอยู่ไหน?”
“ทางนั้น” เขาชี้ไปที่ตู้เย็นสองประตูด้านในสุด
เธอเดินตรงไปเปิดมัน พลางหันกลับมามองที่ชายหนุ่ม
“งั้นเรามาเปลี่ยนให้ครัวนี่รู้สึกมีชีวิตกันหน่อยดีไหม?”
ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร แต่ยืนพิงเคาน์เตอร์มองเธอเงียบ ๆ
ไม่นาน อาหารง่าย ๆ ก็จัดวางลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของไข่เจียวกับข้าวสวยร้อนลอยคลุ้ง
ธารากำลังจะจัดจานสุดท้าย มือซ้ายจับมีดไว้หลวม ๆ พลันรู้สึกแสบวาบขึ้นที่ปลายนิ้ว
“โอ๊ะ…” เธอชะงัก ก้มลงดู พบเลือดซึมออกจากนิ้วชี้
“ให้ตายสิ…โดนจนได้”
“เกิดอะไรขึ้น?” น้ำเสียงเขาขึงขังอย่างผิดปกติเมื่อเห็นเธอกำลังกุมมือตัวเอง
“แค่โดนมีดบาด ไม่เป็นไรหรอกน่า”
เธอยังพูดไม่จบ ชาโดว์ก็พุ่งตัวเข้ามาคว้ามือเธอไว้แน่น
ก่อนที่เธอจะทันได้ตั้งตัว ปลายนิ้วของเธอก็อยู่ในปากเขาแล้ว
ธาราตาเบิกกว้าง ร่างแข็งค้าง เงียบไปชั่วอึดใจ
สัมผัสอุ่นชื้นจากปลายลิ้นของเขากับแรงดูดเบา ๆ ที่ปลายนิ้วทำให้เลือดหยุดไหลอย่างประหลาด
ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกช้า ๆ ดวงตาคมสบเข้ากับสายตาเธอ
“แบบนี้...แผลจะหายไวขึ้น”
ธารายังคงนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าร้อนวาบขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ เธอกระแอมเล็กน้อยพลางเบือนหน้าไปอีกทาง
“เอ่อ... แบบนี้เรียกว่าความสามารถพิเศษของนักเขียนหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ดวงตาเป็นประกายบางอย่างที่เธอไม่อาจอ่านได้
“ก็แล้วแต่คุณจะตีความ...คุณบรรณาธิการ”
. . .
หลังจากมื้ออาหารธาราถามขึ้น
“รสชาติดีพอให้คุณสนใจจะคุยเรื่องสัญญากับฉันรึยังคะ”
ชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ให้คำตอบฉัน เขาเงียบพรางค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้
รอยยิ้มมุมปากทั้งสองข้างยกขึ้น
ดวงตาคู่นั้นมองมาประหนึ่งกำลังสำรวจลึกลงไปในใจฉัน
รอยยิ้มของเขาดูคุ้นตา มันอ่อนโยนทว่ากลับไม่เจ้าเล่ห์เหมือนก่อนหน้า
“เอาสิ ผมเองก็อยากรู้ว่าบรรณาธิการแสนเจ้าเล่เห์ตรงหน้าผม จะทำให้ผมเชื่อใจได้รึป่าว. . .”
หลังเขาพูดจบ บางสิ่งผุดขึ้นในความทรงจำ
ทว่ามันเลือนลาง
ปี 2020… วันที่เท่าไหร่กันนะ
“ลอกผลงานคนอื่นไปแล้วยังมีหน้ามางานเปิดตัวหนังสืออีกเหรอ!”
เสียงแว่วแหลมดังขึ้นกลางบรรยากาศพลุกพล่านของฮอลล์จัดงานในวันนั้น
ใบหน้าเด็กสาวในชุดนักศึกษาที่ตะโกนคำนั้นยังติดอยู่ในมุมสายตา แม้ผ่านไปหลายปี
เขาไม่ได้เถียง ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเลยในวันนั้น
เพียงแค่ยืนนิ่ง ปล่อยให้สายตานับร้อยไหลทะลักมาทิ่มแทง
ตั้งแต่นั้นมา... "ชาโดว์" ก็หายไปจากโลกออนไลน์
ชายหนุ่มกระพริบตาไล่ภาพในหัว ก่อนจะยิ้มจาง ๆ แล้วพูดขึ้นเบา ๆ
“ผมไม่ชอบสัญญา... เพราะมันไม่มีใครรักษามันได้จริง ๆ หรอก”
เขาพูดพลางมองมือข้างที่เคยจับปากกาไว้อย่างเชื่อมั่น
ตอนนี้มันกลับลังเลแม้แต่จะหยิบช้อน
ธาราเงียบไป
เธอมองเขาราวกับเพิ่งเห็นเงาในดวงตาของเขา
ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ โซฟาหนังสีน้ำตาล และเจ้าเหมียวที่นอนขดตัวอยู่บนตักภายในอบอวลไปด้วยบรรยากาศแปลกๆ ระหว่าง “เขา กับ เธอ”“เรื่องข่าวนามปากกา…”“ฉันจะจัดการโพสชี้แจงนามปากกาใหม่ของคุณเองค่ะ”“ไม่จำเป็นหรอกครับ…ถ้ามันเป็นไปแล้วก็ปล่อยมันเถอะ”สายตาและคำพูดของเขาดูไม่เหมือนจะพูดเล่นแม้แต่น้อย“แต่…” สายตาของฉันเหลือบมองไปที่หน้าของเขา คนตรงหน้าตอนนี้ ใช่คนที่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ก่อนหน้าหรอ“ผมคิดดีแล้ว ก็ก่อนหน้านี้คุณเล่นเข้ามากอดผมนี่”มุมปากที่ยกขึ้นข้างเดียว มีเสน่ห์จัง ไม่ใช่สิธารา …ตั้งสติหน่อยอืดดดด อืดดดดเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความคิด ทว่าหน้าจอนั้นแสดงชื่อ “หัวหน้าบริหาร”“ค่ะ หัวหน้า”“ตอนนี้เรื่องลบโพส คงจะเป็นไปได้ยากแล้วล่ะ คนเริ่มตั้งความสงสัยถึงการกลับมา และตั้งความสงสัยไปถึงข่าวเมื่อ5ปีที่แล้ว”“ถ้าเราโต้ข่าว..”“มีสิทธ์ที่ข่าวจะยิ่งโจมตีกลับมา”“แปลว่าทำอะไรไม่ได้เลยหรอคะ?”“ตอนนี้คงต้องเงียบไปก่อน ฝากขอโทษคุณลีด้วยนะ”“ค่ะเข้าใจแล้ว”หลังสายตัดไป ความคิดตีกันไปหมด ฉันควรจะทำยังไงดีคนที่นั่งอยู่ตรงหน้ากลับยกยิ้มขึ้นมาซะอย่างนั้นนี่เขาตั้งใจจะกวนประสาทกันรึไงนะ“คุ
ฝนยังโปรยปรายอยู่เบื้องนอก เสียงขูดเบา ๆ ของปลายปากกากับกระดาษเขาก้มหน้าลง ข้อมือขวาค่อย ๆ ขยับ ปลายปากกาไล้ไปตามเส้นจรดตัวอักษรแรก… ลีธาราขมวดคิ้วเล็กน้อยตัวอักษรถัดมา… ลภัสเธอเผลอพึมพำชื่อในใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบดวงตาเขาที่กำลังเฝ้ามองปฏิกิริยาเธอ“คุณ...”ลีวางปากกาลงอย่างมั่นคง ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้“ชาโดว์...เป็นชื่อที่คนอื่นสร้างให้ผม” เขาว่าเสียงเบา แต่หนักแน่น “แต่ลี ลภัส เป็นชื่อที่ผมเลือกเอง”เขาหยุด ก่อนยิ้มมุมปาก จากนั้นพูดต่ออย่างมีแววหยอก“เลือกแล้วก็ต้องใช้ให้คุ้ม...อย่าเผลอเรียกผมว่าชาโดว์ล่ะ เดี๋ยวผมจะคิดว่าคุณไม่เห็นค่าความพยายามของผม”ธาราเลิกคิ้ว ก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ“ค่ะ คุณ...ลี”“อืม...แบบนั้นแหละ” เขายิ้มกว้างขึ้นเหมือนพอใจ“ครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมรู้สึกว่า ผมเป็นเจ้าของตัวหนังสือของตัวเองจริง ๆ”ธาราไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลยในวินาทีนั้น ชายหนุ่มตรงหน้าเธอ...ไม่ใช่เงามืดที่เธอเคยไล่ตาม แต่เป็นแสงบางอย่าง ที่กำลังค่อย ๆ เริ่มเรืองขึ้นจากขอบฟ้าธารายิ้มกว้างออกมาพร้อมพายมือออก“ฉันจะรับผิดชอบทั้งคุณและผลงานของคุณเองค่ะลี”ลีทำท่าเลิกคิ้วก่อนจะยื่นมือ
เช้าวันจันทร์ หลังฝนหยุดตกสำนักพิมพ์คนึงนิจกลับมามีชีวิตอีกครั้งท่ามกลางกลิ่นกาแฟลอยคลุ้ง กับเสียงแป้นพิมพ์และโทรศัพท์สลับกันดังไม่ขาดสายธารากำลังจะเดินเข้าห้องประชุม เมื่อเสียงแจ้งเตือนจากมือถือดังขึ้นถี่ผิดปกติข้อความจากไลน์หลายกลุ่ม ทวิตเตอร์ และอีเมลแจ้งเตือนจากระบบติดตามคีย์เวิร์ดแฮชแท็กของสำนักพิมพ์ชื่อเดียวกันทั้งหมด. . .“ชาโดว์”เธอหยุดเท้า พลันขนลุกนิ้วรีบแตะหน้าจอเข้าไปที่แอคเคาท์ทวิตเตอร์ที่ไม่ได้อัปเดตมาเกือบ 5 ปีเต็ม@ShadowWritesและที่นั่น...มีโพสต์ใหม่ ปรากฏขึ้นเพียงหนึ่งข้อความ"ถ้าใครบางคนยังเชื่อว่าคำพูดบนหน้ากระดาษเปลี่ยนโลกได้... ก็จงลองเปลี่ยนใจคนอย่างผมดู"— Shadowข้อความเรียบง่าย ไม่แท็กใคร ไม่ติดแฮชแท็กแต่ธารารู้…เขาหมายถึงเธอ“ลองเล่นกับเขาดูสักหน่อยดีไหมนะ” ธารายิ้มชอบใจภายในห้องประชุมเรียบหรูแต่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายของความเก่าแก่ที่คงไว้ซึ่งความขรึม หน้าต่างกระจกสูง แสงแดดยามสายที่กรองผ่านม่านโปร่งขาวบาง สะท้อนลงบนโต๊ะไม้โอ๊คขนาดใหญ่ที่เรียงรายด้วยเอกสาร ปากกา และกาแฟอุ่นๆ ที่ยังมีไอน้ำลอยอยู่จางๆทว่าในใจของธาราตรงข้ามกับบรรยากาศในใจของธาราอยากจะพ
“หากครั้งหนึ่งเคยมีใครส่งผ้าเช็ดหน้าให้คุณในวันที่คุณร้องไห้ แล้วหายไปจากชีวิตเหมือนไม่เคยมีอยู่จริง... คุณจะยังจำเขาได้ไหม หากได้เจอกันอีกครั้ง?” เสียงฝนโปรยเม็ดเบา ๆ สัมผัสหน้าต่างห้องสมุดในบ่ายวันหนึ่ง เธอจำไม่ได้แน่ชัดว่าเรื่องราววันนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ รู้เพียงแค่ความเปียกชื้นจากหยาดน้ำตายังฝังใจ และมือหนึ่งที่ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้อย่างเงียบงัน ไม่มีคำพูด ไม่มีชื่อ แต่รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนราวแสงแรกของฤดูหนาว ...ก่อนที่เขาจะหายไปพร้อมสายฝน “บางครั้งฉันก็คิดไปเองหรือจะเป็นแค่ฝัน…” — เวลาผ่านไปหกปี ‘ธารา’ บรรณาธิการสาวของสำนักพิมพ์คนึงนิจ เดินฝ่าสายฝนเข้าสู่ร้านกาแฟเล็ก ๆ กลางย่านถนนพระอาทิตย์ เธอผละประตูเข้าไปอย่างรีบร้อน กลิ่นของเมล็ดกาแฟที่คั่วกำลังดี ตัดกับกลิ่นของสายฝน เธอชายตามองไปรอบร้าน มุมเคาท์เตอร์ที่เกือบจะอยู่ด้านในสุด มีพื้นที่ว่างให้เธอพอดี เธอสั่งกาแฟและเค้กเดินตรงดิ่งเข้าไป เลื่อนเก้าอี้ออกเบาๆ และหยิบสมุดขึ้นมาหนึ่งเล่ม เธอนั่งลงบรรจงจดบางสิ่ง หญิงสาวเงยหน้าเปรยตามองบรรยากาศรอบๆ สายตาของธาราสะดุดกับหน้าจอโน๊ตบุ๊คของชายหนุ่มริมหน้าต่าง