@หน้าตึกคณะศิลป์ - เอกออกแบบ
“กว่าจะเสด็จมาได้นะ ไอ้ลูกเจ้าของมหาลัย”
ผมยังก้าวขาไม่ถึงโต๊ะที่มีมนุษย์หน้าหล่อสามตัวนั่งอยู่ ไอ้เคซิส ก็เริ่มกัดผมเป็นคนแรก จะรอให้ผมก้นถึงเก้าอี้ก่อนไม่ได้หรือไงวะ
‘เคซิส’ คือเพื่อนอีกคนในกลุ่มผมอีกคน มันเป็นถึงนักเรียนนอก แต่ดันมา
ซิ่วต่อที่ไทย ผมก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน เรียนที่เมืองนอกจบแล้ว แต่ดันอยากมาลองเข้าเรียนที่มหาลัยเมืองไทยดูอีกที เหตุผลเพราะ... ‘กูอยากจีบสาวไทยในชุดนักศึกษา’
ไอ้เคซิส เป็นเจ้าของผับ S นิสัยค่อนข้างสุขุมและเยือกเย็น ใบหน้าคมเข้มออกแนวลูกครึ่งเยอรมัน แถมอายุเยอะกว่าพวกผมตั้งสองปี
แต่ด้วยความที่ซิ่วกับซิ่วมาเจอกัน คบกันมาถึงสามปี เลยไม่ค่อยจะเรียกมันว่าพี่เท่าไหร่ แต่ถามว่าพวกเราเคารพมันมั้ยก็... เคารพนะ แต่ไม่อยากเรียกพี่ มีไรป้ะ?
“ได้ข่าวเจอดีเหรอมึง” ไอ้การ์เซียถามผมเสียงนิ่งๆ แบบไม่มองหน้า
‘การ์เซีย’ หนุ่มหล่อ รวย คมเข้ม ดีกรีเจ้าของสนามแข่งรถเถื่อน ขอเตือนเลยนะ อย่าคิดอยากไปรู้จักมันเด็ดขาด เพราะมันค่อนข้างเลือดเย็น ใจแม่งหิน!
“ไอ้ขันแม่งมาฟ้องอีกละสิ” ปากผมพูด แต่ตานี่กำลังก่นด่าไอ้ขันที ที่แท้ที่รีบวิ่งออกจากห้องน้ำมาก่อนผมเพราะมันจะรีบมาเล่าเรื่องในห้องน้ำที่ผมถูกยัยบ้าที่ไหนก็ไม่รู้ทำหัวปูดนี่สินะ ไอ้ขี้ฟ้อง!!
“มึงตัวดีเลยไอ้ขัน จะให้กูเจาะหูทั้งทีดันกลัวคนเห็นว่าตัวเองอ้อนแอ้น ให้ไปเจาะที่ห้องน้ำลับตาคน เป็นไงล่ะ หัวกูปูดมั้ยถามใจมึงดู”
ผมชี้หน้าคาดโทษไอ้ขันที ที่ตอนนี้มันเบะปากทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่
แม่งน่าตื้บสักทีสองทีจริงๆ
“เออ... ทำไมมึงต้องชวนกันไปทำพิเรนท์ที่ห้องน้ำด้วยวะ”
“เจาะหูเหอะ!”
พอไอ้เคซิสพูดไม่เข้าหูหัวร้อนรีบแก้ต่างเหมือนคนโดนไฟลนก้นเลยนะ
ไอ้เชี่ยขันทีมันคิดจะเล่นประตูหลังผมเหมือนที่ยัยนั่นว่าไว้หรือเปล่าวะ!?
พวกเรานั่งเถียงกันเสียงดังลั่นหอศิลป์ ตึกที่พวกเราเลือกลงเรียนกัน ไม่ใช่ว่าเป็นพวกสร้างสรรค์อะไรหรอกนะ ก็แค่ไม่รู้จะเรียนอะไร เลยเลือกเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกออกแบบกันทั้งสี่คน แถมยังอยู่ปีสี่ด้วยกันครบกลุ่มอีกต่างหาก
“เอ่อ...”
ขณะที่พวกเราสี่คนกำลังคุยเล่นกันเพลินๆ ก็มีเสียงนุ่มหูดังแว่วๆ อยู่ข้างหลังผม ไอ้พวกสามคนที่นั่งอยู่คนละฝั่งกับผมก็พร้อมใจกันเงยหน้ามองไปด้านหลังผมที่มีเสียงปริศนาดังขึ้นเมื่อกี้
“ว่าไงครับคนสวย” ไอ้ขันทีรีบเดินจ้ำอ้าวมานั่งม้านั่งตัวเดียวกับผม
ตางี้หว่านเสน่ห์เชียว
“คนไหนคือพี่ซาดีนส์คะ”
ว่าไงนะ? ในมหาลัยนี้ยังมีคนไม่รู้จักผมอยู่อีกเหรอ โคตรอเมซิ่งอะ!
“พี่เองน้อง มีอะไรกับพี่อะ” น้ำเสียงผมแข็งกระด้าง สงสัยจะหงุดหงิดที่เพิ่งรู้ตัวว่ามีคนไม่รู้จักตัวเองอยู่ในมหาลัยแห่งนี้
“คะ คือ มีคนให้หวาเอานี่มาให้ค่ะ” ผู้หญิงที่บอกไม่รู้จักผมในตอนแรก ยื่นซองสีชมพูหวานแหววมาให้ แล้ววิ่งเขินอายออกจากพื้นที่นั้นแทบจะล้ม
“โว๊ะ...แม่ง! หัวบันไดบ้านไม่เคยแห้งนะมึง” ไอ้เคซิสแซวผม
“ก็คนมันหล่อ ทำไงได้”
“กูว่าเพราะมึงเป็นลูกคุณลุงพงศ์มากกว่า”
อ้าว! ไอ้การ์เซียพูดแบบนี้ อยากมีเรื่องกับผมหรือไงครับ
คุณลุงพงศ์ที่ไอ้การ์เซียเรียกนะ คือพ่อของผม หรือก็คือ
ท่านอธิการพัฒนพงษ์ รัตนะวานนท์ เจ้าของมหาลัย RNN ที่ย่อมาจากนามสกุลรัตนะวานนท์ แห่งนี้ยังไงล่ะ
“กูก็เห็นด้วยกับไอ้เซีย”
ไอ้ขันที ไอ้ห่า แม่งแปลพรรคเหรอมึง ฝากไว้ก่อนเหอะ
แล้วก็ไม่ต้องแปลกใจนะ ว่าทำไมเพื่อนในกลุ่มถึงเรียกผมว่า ‘ซีนส์’
เพราะว่าชื่อนี้ผมจะให้เฉพาะคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทเรียกเท่านั้น ต่อให้จะเป็นสาวๆ ที่ผมควงแล้วทะลวงบนเตียงก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกชื่อต้องห้ามนี้ สำหรับผู้หญิงที่จะเรียกได้ นอกจากแม่ ก็ เมีย เท่านั้นแหละครับ
“อย่าไปสนใจพวกมันเลย ไหนเอามาให้เฮียอ่านสิ!”
ไอ้เคซิสมักแทนตัวเองว่าเฮียตลอด มันบอกว่าเป็นการช่วยกระตุ้นสมองพวกผมให้สำนึกว่ามันน่ะแก่กว่าตั้งสองปี ช่วยให้ความเคารพกูด้วย อะไรทำนองนั้น
แล้วที่มันพูดเมื่อกี้คือมันคิดดีแล้วใช่มั้ย? คิดว่าผมจะโง่ยื่นจดหมายสีหวานแหววที่แม้แต่เด็กอมมือยังรู้ว่ามันคือจดหมายรักที่สาวๆ ส่งให้ผมให้มันอ่าน?
ไอ้เคซีสขี้เสือก!!
ผมมองหน้ามันเย้ยๆ แกะซองสีชมพูออก กวาดสายตาคมๆ ของตัวเองมองลายมือที่สวย อ่านง่าย และได้ใจความว่า...
‘คืนนี้เจอกันที่ผับS นะคะ พี่ซาดีนส์
...จากน้องหวา’หืม! เดี๋ยวนะ ชื่อหวา? เหมือนกับยัยคนเมื่อกี้เลย
แหม!! เดี๋ยวนี้พัฒนาเนอะ ส่งเอง จีบเอง แต่เนียนกลบเกลื่อน
“ขอตัวว่ะ มีธุระ… ด่วนมาก!!” ผมพูดไว้เท่านั้นก็เดินผิวปากอารมณ์ดี สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวเข้ามา เห้ย! ไม่ใช่แล้ว คนละคอนเซป
แต่ช่างมัน! เพราะตอนนี้ผมก็สองมือล้วงกระเป๋า แต่สองเท้าก้าวเดินไปขึ้นแลมโบสีฟ้าน้ำทะเลรุ่นใหม่ล่าสุดเพื่อที่จะไปรอน้องหวายังผับเอสของไอ้เคซิส
[Endpart]
“แต่งเลย / แต่งเลย”ฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงตะโกนจากด้านล่างก็ดังขึ้น ทุกคนยืนขึ้นพร้อมกับตะโกนให้ฉันตอบรับซาดีนส์ ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ของพวกเรา“ฉะ ฉัน” มันตื้นตันจนตอบออกมาเป็นคำพูดไม่ได้“ว่าไงครับ เพลย์น้อยของซีนส์ วันนี้จะยอมเป็นเจ้าสาวของเจ้าชายคนนี้หรือเปล่า” รอยยิ้มที่มาพร้อมกับประโยคร้องขอทำให้ฉันฝืนน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป“ฮึก อึก”“เด็กขี้แย ถ้าไม่ตอบ...” ซาดีนส์เงียบเสียงลง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยคำพูดที่ไม่มีเสียง ‘ฉันจะจับเธอกินทั้งคืน’ ฉันถึงกับกัดปากแน่น แบบนี้เรียกมัดมือชกไหมนะ“อื้อ” ฉันพยักหน้า อยากตอบเขาเป็นคำพูดแต่ตอนนี้มันดีใจสุดๆ มันตื้นตันจนไม่มีเสียงที่จะเปล่งออกมาแล้ว“ไม่เอาสิ อยากได้ยินคำพูดหวานๆ พูดให้ซีนส์ดีใจสักคำสิครับ” เสียงออดอ้อนพร้อมกับแววตาเว้าวอนและโหยหาของซาดีนส์ทำเอาฉันกลืนน้ำลายลงคออึกๆ“ก็บอกว่าอื้อไง” ฉันกัดปากอีกครั้ง เบือนหน้าไปทางอื่นตอนนี้มันทั้งอายและก็ดีใจไปในเวลาเดียวกัน อายเพื่อนๆ และพ่อแม่ดีใจ ที่คำสัญญาในวัยเด็กเป็นจริงสักที“ดื้ออีกแล้ว คนเขาอุตส่าห์บอกความในใจหมดแล้วนะ”ทำเป็นน้อยใจ ชิ! ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ’ฉันพูดแบบไม่มีเสียงให้เขา
“สวัสดีค่ะ / ครับ” ทั้งตาหวาน ตาโตรวมถึงยีนส์ยกมือไหว้ป๊ากับแม่เล็กหลังจากได้ยินท่านถามประโยคนั้น “ตามสบายนะเด็กๆ วันนี้เป็นวันพิเศษของพิเศษ” ฉันมองหน้าป๊าแบบงงๆ นิดหน่อยวันพิเศษของพิเศษ คือมันแสนจะพิเศษใช่ไหมนะ?“เด็กๆ เข้าบ้านกันเถอะจ๊ะ เดี๋ยวเลยฤกษ์ดีกันพอดี”ฤกษ์ดี? ฉันกำลังจะเอ่ยถามแม่เล็กแต่ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อท่านเดินนำเข้าไปยังตัวบ้านที่ประดับประดาหรูหราไม่แพ้ด้านนอกเลยสักนิดเดียว“สวัสดีค่ะคุณป้า” เมื่อเข้ามาในตัวบ้านเรียบร้อยฉันมองเห็นแม่ซาดีนส์นั่งรออยู่ที่โต๊ะข้างเวทีทรงเตี้ยที่มีป้ายอะไรสักอย่างถูกปิดด้วยผ้าสีขาวผืนบางอีกที “นั่งก่อนสิจ๊ะหนูเพลย์”ป้าแพรวกวักมือเรียกให้ฉันไปนั่งข้างๆ ท่าน“คุณพิณนี่ตาถึงนะคะ เลือกชุดให้หนูเพลย์เข้ากับงานวันนี้จริงๆ” เสียงป้าแพรวแซวแม่เล็กขำๆ ฉันว่าชุดที่แม่เล็กส่งมาให้มันดูหรูมากเกินไปด้วยซ้ำในตอนแรกเดรสลูกไม้แบบรัดรูปสีชมพูอ่อน เปิดโชว์ช่วงเนินอก กระโปรงยาวคลุมเข่าปลายระบายกว้างนิดๆ เหมือนจะไปงานการ่าดินเนอร์เสียด้วยซ้ำ“เอ่อ คุณป้าคะ” ฉันเสียมารยาทพูดแทรกผู้ใหญ่ทั้งสองที่กำลังนั่งเม้าท์กันตามประสาคนไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน “ว่าไงจ๊ะลูก”
“หึ” ฉันมองเห็นรอยยิ้มที่มุมปากเฮียการ์เซียผ่านกระจกมองหลังด้วยแหละ แต่คนถูกถามกลับไม่ตอบคำถามฉัน ทำไมแลดูมีลับลมคมนัยจังนะ“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” เมื่อรถจอดหน้าคอนโดเรียบร้อย ยีนส์ลงไปจากรถเป็นคนแรกโดยที่ไม่ได้ล่ำลาหรือกล่าวขอบคุณเฮียการ์เซีย เลยทำให้ฉันที่ยังไม่ลงจากรถรีบเอ่ยขอบคุณเขาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ กับความเสียมารยาทของเพื่อนรัก“อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวมันกลับมาเธอจะยิ่ง... หลงมัน”“คะ? เมื่อกี้เฮียว่าอะไรนะคะ” เพราะคำพูดท้ายๆ เฮียการ์เซียเบาเสียงลงฉันเลยไม่ได้ยินว่าเขาพูดว่าอะไร “รีบลงไปเถอะ เพื่อนเธอจะกินหัวฉันอยู่แล้ว”เขาไม่ตอบอีกแล้ว ฉันมองตามออกไปนอกรถตามคำบอกเล่าเฮียการ์เซีย เห็นยีนส์กำลังยืนทำท่าทางเบื่อหน่ายและเซ็งๆ จ้องมองมาทางพวกเราที่อยู่ในรถเลยต้องรีบปลีกตัวลงไป@สามวันต่อมาฉันอยากเอาหัวโขลกกำแพงให้มันตายรู้แล้วรู้รอดรู้อะไรไหม? ตั้งแต่ที่ซาดีนส์บอกไปธุระต่างประเทศนี่ก็ผ่านมาสามวันแล้วนะ ไหนเขาบอกจะไปแค่สองวัน วันแรกที่เขาไปคือวันที่เฮียการ์เซียมาส่งฉันกับยีนส์ และหลังจากวันนั้นก็ผ่านมาอีกแล้วสองวัน ซึ่งซาดีนส์ควรจะกลับมาตั้งแต่เมื่อวานแต่นี่ฉันยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของ
“นั่นสิเพลย์ เฮียซาดีนส์เขาอาจจะติดธุระจริงๆ จนรอเพลย์ตื่นไม่ไหวมั้ง”ฉันกำลังจะอ้าปากเถียงตาหวาน แต่ยีนส์ก็ดันพูดแทรกมาก่อน“ว่าแต่…” ยีนส์เงียบ เหล่ตามองคล้ายกับจับผิดอะไรฉัน“อะไรของแก” ฉันหลบสายตาคาดคั้นของเพื่อนรัก“ปกติแกไม่น่าจะนอนขี้เซาขนาดนั้นนะ แกบอกว่าตื่นมาเกือบแปดโมง นั่นมันเลยเวลาปกติที่แกจะต้องตื่นมาเตรียมตัวเรียนเช้าแล้วไม่ใช่เหรอ”ไม่ได้มาแค่คำถามนะ แต่สายตาอยากรู้อยากเห็นพร้อมกับจ้องจับผิดของยีนส์ที่ส่งมาทำเอาฉันเสียวสันหลังวาบ“กะ... ก็เมื่อวานไปทำธุระมา เมื่อยไปหน่อยเลยเผลอหลับยาว” นิ้วกลางไขว่นิ้วชี้ไว้เพลย์เยอร์ แค่โกหกเพื่อนเองไม่บาปหรอกเนอะ“เหรอ~” เสียงลากยาวแบบไม่เชื่อสุดๆ ของเพื่อนรักทำเอาฉันหน้าแดงฉ่าแค่มองตายีนส์ฉันก็รู้แล้วว่าเธอไม่เชื่อที่ฉันพูด แถมฉันยังคิดว่าเธอต้องคิดไปถึงเรื่อง... เอ่อ ช่างมันเถอะ อย่าไปคิดแทนคนอื่นเลยเนอะ!“เฮ้อ! หิวข้าวจัง” แกล้งยกมือลูบท้องเปลี่ยนเรื่อง“เปลี่ยนเรื่องแบบนี้...” ยังไม่เลิกล้อฉันอีกนะ ยัยยีนส์บ้า!“ยีนส์เลิกแกล้งเพลย์เถอะ ดูสิ จะร้องไห้อยู่แล้ว” น่ารักมากตาหวานที่ช่วยพูด“รักหวานที่สุดเลย งั้นเราไปกินข้าวกัน ปล่อยใ
ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว รู้แค่ว่าพอรู้สึกตัวมาเหมือนร่างกายผ่านสงครามรบที่ไหนมาไม่รู้ เรี่ยวแรงที่ควรจะมีหลังจากได้หลับพักผ่อนมันน่าจะกลับมาแล้ว แต่เปล่าเลย ตอนนี้ฉันยังรู้สึกปวดเมื่อยไปทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะตรงนั้น!“ไอ้บ้าซาดีนส์” ฉันพึมพำกับตัวเองหลังจากตื่นเต็มตาแล้วคิดแล้วก็น่าโมโห! เมื่อวาน ไม่สิ ไม่น่าพลาดท่ายอมรับข้อแลกเปลี่ยนของหมอนั่นตั้งแต่ก่อนไปถ่ายแบบให้เฮียทีมเลย น่าจะรู้นะว่านิสัยแฟนตัวเองเป็นคนเจ้าเล่ห์แค่ไหน ยอมรับเลยว่าครั้งนี้ฉันพลาดมาก พลาดเองเต็มๆ“อ๊ะ ชิ!” แค่ลุกขึ้นนั่งยังรู้สึกปวดแปรบตรงส่วนอ่อนไหว ไม่ต้องคิดถึงตอนเดินเลยว่ามันจะทรมานขนาดไหน“ไอ้บ้าซา...” เสียงฉันหยุดลงเมื่อคิดว่าหันกลับมาจะเจอกับคนที่ทำให้ร่างกายฉันเป็นแบบนี้แต่เปล่าเลย... ซาดีนส์ไม่ได้อยู่บนเตียงกับฉันไปไหนของหมอนี่? เมื่อคืนเขาก็น่าจะหมดแรงเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ แล้วนี่เพิ่งจะแปดโมงเช้าเอง เขาไม่น่าจะตื่นเช้าแล้วหายตัวไปแบบนี้ แถมตอนนี้ฉันยังกลับมานอนห้องตัวเองแล้ว คงจะเป็นฝีมือซาดีนส์นั่นแหละที่อุ้มฉันมาส่ง“อูย!” ฉันสูดปากระบายความระบมอีกรอบเมื่อกวาดขาจะลงจากเตียงนั่งทำใจอยู่นาน
“อื้อ” จบคำพูดเอาแต่ใจ คนตัวโตด้านหลังก็คว้าปลายคางฉันให้หันไปรับรสจูบที่แสนดูดดื่มและเร่าร้อน เรียวลิ้นหนาสอดแทรกเข้ามาได้อย่างง่ายดายเมื่อฉันไม่ทันตั้งตัวเปิดโอกาสให้เขาเข้ามาตักตวงความหวานหอมด้านในจากแค่จูบ ตอนนี้มือไม้ซาดีนส์ที่ว่างอยู่ค่อยๆ ไต่แตะไปตามเรือนร่างของฉัน จวบจนมือหนาใหญ่ข้างหนึ่งตะปบเข้ากับหน้าอกคู่งามที่มีเตียงรองรับน้ำหนักของมัน“อืม” เสียงครางแหบพร่าหลุดออกมาจากคนที่กำลังพันธนาการฉันด้วยสัมผัส เขาคงกำลังควบคุมอารมณ์บางอย่างที่ตอนนี้มันตื่นตัวจนฉันแทบเป็นบ้า“ขอสด... นะ!” ฉันเบิกตาโพลง ไม่ได้โง่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของฉันทำไมแค่ประโยคนี้ฉันจะแปลความหมายมันไม่ออก“มะ ไม่ได้นะซาดีนส์ มัน อ๊ะ!”ฉันห้ามไม่ทันเมื่อคนเขาแต่ใจค่อยๆ ดุนดันส่วนแข็งขืนนั้นกับสะโพกฉันจากทางด้านหลัง “นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในข้อแลกเปลี่ยน”ชิ! ฉันได้แต่จิ๊ปากให้กับความพลาดครั้งใหญ่หลวงของตัวเองตอนแรกก็คิดไว้ไม่ผิดเพี้ยน ว่าซาดีนส์ต้องขออะไรพิเรนทร์ๆ แบบนี้ แต่ฉันไม่ได้คิดว่ามันจะเลยเถิดถึงขั้นไม่สวมเครื่องป้องกัน!หมับ! ตุ้บ!“อ๊ะ” ตัวฉันลอยกลางอากาศ เมื่อคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังยกสะโพกฉันลอยขึ้นเหนือพื