หนึ่งปีต่อมา
จนเวลาล่วงเลยมาเขาขึ้นปีที่สอง อายุถึงยี่สิบปีเขาสามารถเข้าสถานบันเทิงได้แล้ว จึงไปรับงานพาร์ทไทม์ และย้ายออกมาเช่าห้องพักอยู่นอกมหาวิทยาลัยแทน เพื่อที่จะสะดวกต่อการไปทำงาน และอีกอย่างตอนนี้ลุงหมานและป้าสะใภ้ย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดแล้ว เพราะมีอายุที่เพิ่มขึ้น และสู้ค่าครองชีพไม่ไหว
“วิชญ์ พักที่ไหนเหรอ” เสียงหวานของร่างบอบบางที่เดินมาตามหลังถามเขาขึ้นมาทันที
เมยาวี หรือ เมย์ หญิงสาวคณะนิเทศศาสตร์ชั้นปีที่สาม รุ่นพี่ที่คณะและควบตำแหน่งของดาวคณะไปด้วยเพราะความสวยที่ไม่มีใครเทียบติด
“รู้จักชื่อผมด้วยหรือครับ” ชนาวิชญ์มองหญิงสาวอย่างพิจารณา แล้วถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ เพราะส่วนน้อยนักที่จะมีคนเข้ามาทักเขา และเขาแทบจะไม่มีเพื่อนเลย เพราะไม่ค่อยมีเวลาเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ แต่หญิงสาวรุ่นพี่ดีกรีดาวคณะคนนี้กลับเข้ามาทัก แถมยังรู้จักชื่อเขาอีก
“รู้จักสิ ฉันเมย์ปีสามไง ไม่รู้จักเหรอ เหมือนเราจะอยู่คณะเดียวกันนะถ้าจำไม่ผิด”
“ผมรู้จักพี่ดีครับ ดาวคณะใครจะไม่รู้จัก”
“เรียกเมย์ก็พอแล้วมั้ง ไม่ต้องเรียกพี่หรอก แล้วนี่จะไปไหน เห็นนายรีบกลับเร็วกว่าคนอื่น ๆ ทุกวันเลย”
“ต้องรีบไปทำงานครับ ผมกลับก่อนนะครับ” เขาบอกเช่นนั้นก็เดินเลี่ยงออกไปทันที เพราะต้องรีบกลับไปเตรียมตัวไปทำงานต่อ
ช่วงปิดเทอมภาคเรียนแรก เขาทำงานทั้งตอนกลางวันและตอนกลางคืน ไม่เกี่ยงงานแม้แต่น้อย ขอแค่เป็นงานที่สุจริตเขาสามารถทำมันได้หมด และได้ดีอีกด้วย
จนวันหนึ่ง เขาได้มีโอกาสไปขับรถให้คนบ้านมีฐานะชั่วคราว เพราะคนขับรถประจำเกิดประสบอุบัติเหตุ และเขาที่หางานทำพอดี เลยไม่เลือกงาน...
แต่ก็ไม่ได้ทำเป็นประจำ นอกเสียจากทางนั้นจะโทรเรียกเพียงเท่านั้นเขาถึงจะไป และวันหนึ่งก็ได้มีโอกาสเจอกับหญิงสาวที่เป็นรุ่นพี่เขา ที่เขานำกระเป๋าสตางค์ไปคืนให้ในวันนั้นด้วย เพราะเธอคือลูกสาวของคนที่บ้านหลังนั้น...
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปอีกปี เขาจึงตัดสินใจคบหาดูใจกัน กับหญิงสาวรุ่นพี่ดาวคณะ เพราะความสนิทที่เริ่มก่อตัว เมื่อหญิงสาวเข้ามาทักทายแทบทุกวัน แล้วยังรอมาทานข้าวมื้อกลางวันพร้อมกับเขาอยู่เป็นประจำ และหญิงสาวก็เป็นฝ่ายที่ขอเขาคบหาในฐานะแฟนกันมาจนตอนนี้เขาขึ้นปีที่สามแล้ว
*
*
*
หนึ่งปีต่อมา
เขาเลยยอมตอบตกลง เพราะความขี้เกรงใจ และไม่รู้จะปฏิเสธหญิงสาวอย่างไรไม่ให้เสียน้ำใจ เพราะเขาเองก็รู้สึกดีกับเธอเช่นกัน และตัดสินใจตอบตกลงคบหากับเธอในวันนั้นจนเกือบจะเข้าปีที่สองแล้ว
“พรุ่งนี้หยุดงาน แล้วไปค้างกับเมย์ที่คอนโดฯนะ” เมยาวีเอ่ยขึ้นมาทันที เมื่อนั่งมองชายหนุ่มที่กำลังแต่งตัวจะออกไปทำงาน
“แต่ผมมีงานต้องทำน่ะเมย์” เขาเอ่ยบอกเธอไป เพราะตั้งแต่ที่เธอมาหาเขาวันนี้ เธอก็เอาแต่เอ่ยคำเดิม ๆ ที่เธออยากให้เขาหยุดงานไปค้างที่คอนโดฯเธอ
เมยาวี คือหญิงสาวที่ทางบ้านมีฐานะมากพอสมควร จึงมีคอนโดฯและรถยนต์ส่วนตัวเป็นของตัวเอง แต่เขาที่ฐานะทางบ้านหาเช้ากินค่ำ มีเพียงรถมอเตอร์ไซค์มือสองที่หาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขาเอง
เธอพยายามหยิบยื่นมือเข้ามาช่วยเขาตลอด แถมยังบอกให้เขาย้ายไปอยู่ที่คอนโดฯกับเธอด้วย แต่เขาก็ปฏิเสธ เจียมตัวอยู่เสมอว่าตัวเองอยู่ในฐานะไหน จึงเลือกที่จะอยู่ห้องแถวราคาถูกเช่นเดิม อะไรที่เขาไม่ได้หามาเขาจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายเด็ดขาด แค่เขาคบกับเธอเพื่อนของเธอที่มหาวิทยาลัยก็มองเขาเหยียดเขาอยู่แล้ว ว่าเป็นแค่หมาวัดแต่ริอ่านจะเด็ดดอกฟ้า
“แต่อีกไม่นาน เมย์ก็จะจบแล้วนะ แล้วพักหลังมานี้ วิชญ์เองก็ไม่เคยไปหาเลย มีแต่เมย์ที่เป็นฝ่ายมาหาวิชญ์เอง แถมที่นี่ก็ไม่สะดวกที่เราจะทำอะไรกันด้วย” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ปนน้อยใจ
“ผมต้องทำงาน ผมเหนื่อยนะเมย์...”
“งาน งาน อะไรก็มีแต่งาน วิชญ์เคยคิดถึงจิตใจเมย์บ้างหรือเปล่า ตั้งแต่ที่เราคบกันมาจนเกือบสองปี วิชญ์ไปหาเมย์แทบนับครั้งได้” หญิงสาวลุกขึ้นยืนเอ่ยขึ้นมาอย่างเอาแต่ใจ เธออุตส่าห์เทนัดเพื่อนเพื่อมาหาเขา แต่เขากลับเอาแต่งานมาเป็นที่หนึ่ง
“แล้วจะให้ผมทำยังไง ผมก็อยากให้เกียรติเมย์ แล้วผมก็ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ที่ไม่ต้องทำอะไรเลยก็มีกินมีใช้ ผมต้องทำงานเพื่อปากท้อง เพื่อคนที่บ้าน และอนาคตของเราไงเมย์ ผมตั้งใจทำงานเก็บเงินเพื่ออนาคตของเราน่ะ...” เขาเคยบอกเธอก่อนที่จะตัดสินใจคบกันแล้ว ว่าเขาไม่มีเวลาให้เธอ แต่เธอก็ยังเลือกดื้อดันที่จะคบกับเขา เขาจึงพยายามทำงานหาเงินให้ได้มากที่สุด เพื่ออนาคตของเขาและเธอทั้งนั้น
“หึ อนาคตของเรา วิชญ์ทำงานได้วันละไม่กี่ร้อยเอง เมย์ยังมองไม่เห็นอนาคตของเราเลย เมย์เคยบอกให้วิชญ์ไปรับงานเสริมกับครอบครัวของเมย์ วิชญ์ก็ไม่เอา แล้วไอ้เงินวันละไม่กี่ร้อยเนี้ย มันไม่พอยาไส้ปากท้องของเมย์หรอก แล้วเมื่อไหร่จะมีอนาคต...” เธอแค่นหัวเราะออกมาทันที เมื่อเขาวาดฝันไปถึงอนาคต
“ผมต้องไปแล้ว เดี๋ยวจะเข้างานสาย” เขารีบตัดบททันที เพราะไม่อยากต่อความยาวกับเธอตอนนี้ เขารู้ดีว่าค่าแรงในแต่ละวันของเขา ไม่พอค่าใช้จ่ายของเธอในแต่ละวันเลย
ถึงจะได้แค่วันละไม่กี่ร้อย แต่รวมทิปในแต่ละคืน เขาก็ได้หลายพันอยู่ บางวันแตะหลักหมื่นก็มี แต่เขาต้องแบ่งส่งไปทางบ้านในแต่ละเดือน และเก็บไว้เองบ้าง เขาเคยซื้อของขวัญให้เธอในวันครบรอบหนึ่งปีที่ผ่าน ด้วยเงินเก็บของเขาเอง ในราคาหลักหมื่นแต่เธอกลับปฏิเสธที่จะรับ ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอแพ้ใส่ทองคำไม่ได้..
“ถ้าวิชญ์ ออกไปเราจบกัน” เธอออกคำสั่งทันที เมื่อเขากำลังจะก้าวออกไปจากห้อง
“เมย์! มีเหตุผลบ้างสิ”
“เหตุผลของเมย์คืออยากอยู่กับวิชญ์ เมย์ยกให้วิชญ์มาก่อนเสมอ แต่วิชญ์กลับเห็นงานมาก่อนเมย์”
“เมย์ใจเย็น ๆ ก่อนนะ ไว้พรุ่งนี้เมย์อารมณ์ดีกว่านี้ เดี๋ยวผมไปหา ผมจะให้รางวัลเมย์หนัก ๆ เลย โอเคไหม” เขาเอ่ยปลอบเธออย่างใจเย็น เพราะทราบดีว่าเธอต้องการอะไร
“ก็ได้”
เมื่อเธอตกลง ชนาวิชญ์จึงเดินทางมาทำงานที่ในเวลาเกือบถึงสองทุ่ม ดั่งเช่นทุกวัน แต่วันนี้เขามารอพบผู้จัดการเพื่อขอลาหยุด และจะกลับไปหาหญิงสาวแทน เมื่อคำพูดของเธอที่ฝั่งในใจเขา ทำให้เขาคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง ว่าควรมีให้เวลากับเธอบ้าง เพราะเธอก็ไม่เคยได้รับเหมือนหญิงสาวคนอื่น ๆ ที่ทุกวันหยุดได้ไปเที่ยวกับคนพิเศษ
ชอบกลิ่นนี้“ถ้าฉันพูดออกไป แล้วนายจะเชื่อในสิ่งที่ฉันพูดหรือเปล่า อีกอย่างนายจะไม่ต่อว่าไม่โกรธฉันใช่ไหม แล้วนายจะไม่คิดว่าฉันใส่ร้ายเมย์เหรอ” เธอลองถามดูเชิงขึ้นมาก่อน เพราะเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่ละเอียดอ่อนมาก เธอก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายเท่าไหร่นัก“ก็ลองเล่ามาก่อนสิ” ตอนนี้เขามีท่าทีที่ดูปกติ ไม่ได้แสดงกิริยาอะไรออกมา เหมือนคนที่กำลังอกหักอยู่ก่อนหน้านั้นเลย“นายเป็นแฟนกันกับเมย์ แล้วที่นายดื่มจนเมาแทบไม่มีสติแบบนี้ ก็เพราะถูกเธอหักอกมาใช่ไหม” ปาณิศาจึงสรุปได้ทันที ว่าที่เขาเมาแทบไม่ได้สติแบบนี้คือคงจะมีปัญหากันแน่นอน ถ้าเธอคิดไม่ผิด“ทำไมพี่ถึงรู้ อาการผมมันดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาถามเธอกลับไปทันที เมื่อเธอพูดเหมือนกับว่ารู้อะไรมาสักอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องของเขาปาณิศามีท่าทางลำบากใจขึ้นมา จึงหันไปมองหน้าเขา เมื่อเขาพยักหน้าบอกให้เธอเล่าออกมา เธอจึงจอมเล่าต่อ“คือ...ฉันเห็นแฟนนาย เอ่อ เมย์มาเที่ยวกับหนุ่มวิศวะเกือบทุกครั้งที่ฉันไปดื่มกับเพื่อนที่่นั่น” เธอจึงตัดสินใจเล่าบอกเขาต่อ ก็ในเมื่อเล่ามาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องไปให้สุด“ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่พี่เจอพวกเขาอยู่ด้วย” เ
คนที่เพ้อถึงซึ่งก็ได้ผลจริง ๆ ชนาวิชญ์ชะงักนิ่ง เมื่อได้ยินชื่อคนที่เขารู้จัก และเป็นคนที่ให้ความเมตตาเขามาตลอด ถึงแม้เป็นเวลาเพียงแค่สั้น ๆ ที่เขาได้ทำงานให้แก่บุคคลนี้ ถือว่าเขามีพระคุณคนหนึ่งของเขาเลยก็ว่าได้“ก็ใช่นะสิ” เธอเสียงยืนยันอีกที“ขอโทษครับ ผมเมามากไปหน่อย...” อาการเมาได้หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนใต้ร่างที่เขาพยายามทำรุ่มร่ามนี้เป็นใคร ก็รีบขอโทษเธอขึ้นมาทันที อย่างรู้สึกผิด“ลุกขึ้นได้แล้ว ฉันหนักหายใจไม่ออกด้วย” เธอเอ่ยบอกเขาอีกครั้ง เพราะเขายังไม่ยอมลุกขึ้นจากตัวเธอสักที ทั้งที่มีสติแล้ว“หายใจไม่ออก เดี๋ยวผมผายปอดให้นะ” แต่เขากลับแซวหยอกเธอขึ้นมาเสียอย่านั้น พร้อมกับก้มหน้าลงมาหาเธอใกล้ ๆ อีก“ไอ้วิชญ์!!!” เธอขึงตาพร้อมกับตวาดเสียงดุใส่เขา พร้อมกับรวบรวมแรงกำลังที่มี ผลักเขาออกทันที เมื่อเขาเริ่มทำรุ่มร่ามใส่เธออีก แล้วบิดเข้าไปที่สีข้างอย่างแรง“โอ้ยยย...เจ็บน่ะ” ร่างสูงร้องโอดครวญขึ้นมาทันที“เจ็บสะบ้าง จะได้สร่างเมาสักที” เธอต่อว่าเขาออกมาอย่างเหลืออด แล้วลุกขึ้นนั่งจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที“ทำไมถึงพาผมมาที่นี่ล่ะ” ชนาวิชญ์ถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ เมื่อ
เมามายเธอเห็นเขาฟุบแนบลงกับโต๊ะ จึงเรียกให้พนักมาคิดบิล แล้วเธอจึงเข้าไปช่วยพยุงคนร่างสูงออกจากตรงนี้ไปยังรถของเธอที่จอดอยู่ลานจอดรถต่อ“นายเดินให้มันดี ๆ หน่อยสิวิชญ์ ฉันหนักนะ” เธอตำหนิเขาออกไปทันที เมื่อเขาเอาแต่ทิ้งน้ำหนักมาที่เธอ ตั้งแต่ที่เดินออกมาจากโต๊ะแล้ว แต่ยังไม่ถึงลานจอดรถ“จ่มได้แท้ว่ะ เมย์...” (บ่นได้จริง ๆ เลย เมย์...) คนเมาเอ่ยออกมาเป็นภาษาบ้านเกิดด้วยความหงุดหงิดเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ แถมยังเปล่งเรียกชื่อหญิงสาวอีกคนออกมาอีก เมื่อเห็นว่าคนที่ช่วยพยุงร่างของเขานั้นคือผู้หญิง“ช่วยพูดภาษาที่ฉันฟังออกด้วย แล้วฉันก็ไม่ใช่เมย์ของนาย ฉันปลาไง...” เธอตอกกลับทันทีอย่างเหลืออด เมื่อได้ยินเขาเอ่ยชื่ออีกคนออกมา“ปลา ปลาอีหยังละ...ปลาแข่ง ปลาคอ หรือปลาปักเป้า” (ปลา ปลาอะไรละ...ปลาหมอ ปลาช่อน หรือปลาปักเป้า) ไม่เพียงแค่ปากที่ยังคงพูดออกมา มือยังยกขึ้นมาขยี้แก้มของเธออีกด้วย“โอ้ยยย เมาแล้วยังจะกวนตีนอีกนะ ไอ้วิชญ์!” เธอต่อว่าออกมาอย่างเหลืออด แล้วกัดฟันฝืนพาเขาขึ้นรถของเธออย่างทุลักทุเล เพราะเขานั้นตัวใหญ่และสูงกว่าเธอ จากนั้นจึงรีบเดินไปทางฝั่งคนขับทันที“ฮู้จักซื่อบักวิดพ้อม..
โดนสวมเขา เขากลับมาถึงที่ห้องพักของเขาในเวลาสองทุ่มกว่า ๆ แต่ก็ไม่พบเธอแล้ว นั่นแสดงว่าเธอคงกลับคอนโดฯของเธอไปแล้ว เขาจึงขี่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจตรงไปยังคอนโดฯเธอทันที เขาไม่ได้บอกว่าจะไปหาเธอ เพราะตั้งใจจะไปง้อ และอยากเซอร์ไพรส์เธอด้วยเขาสามารถเข้าหรือออกคอนโดฯของเธอได้ทุกเมื่อทุกเวลา เพราะเธอนั้นให้คีย์การ์ดไว้ที่เขาด้วย เผื่อว่าเขาอยากไปหาเธอตอนไหนจะได้สะดวก“อ๊ะ พี่เจ แรง ๆ ค่ะ เเรงกว่านี้อีก เมย์ชอบแรง ๆ”“อ่าสสส ได้เลยยัยร่าน ไอ้แฟนเด็กของเธอมันทำไมถึงใจเหรอ เธอถึงเรียกใช้งานฉันอยู่ตลอดเลย”“อยู่กันสองคน อย่าเอ่ยถึงคนอื่นสิคะ พี่มีหน้าที่ทำให้เมย์มีความสุขก็พอแล้ว...”“ได้เลย...อ่า เธอนี่แม่งโคตรเด็ดเลย”เพี๊ยะ!ชนาวิชญ์ไม่อาจยืนดูภาพชายหญิงร่วมรักกันอย่างเร้าร้อนแบบชนิดที่ดุเดือด ภายในห้องนอนที่ประตูไม่ได้ปิดเอาไว้ได้ เขาจึงเดินมานั่งรออยู่ที่โซฟากลางห้อง เผื่อที่จะได้คุยกันให้รู้เรื่องไปเลยเขานั่งรออย่างใจเย็น ใบหน้าคมขบกรามแน่น มือกำหมัดด้วยความเคียดแค้น เขารู้ตัวดีว่าไม่เคยให้ความสุขกับเธอได้ แต่เขาไม่คิดว่าเธอจะสวมเขาแบบนี้...เมื่อศึกรักจบลง เมยาวีเดินออกมาข้างนอกห้อง บนกา
แฟนคนแรกหนึ่งปีต่อมาจนเวลาล่วงเลยมาเขาขึ้นปีที่สอง อายุถึงยี่สิบปีเขาสามารถเข้าสถานบันเทิงได้แล้ว จึงไปรับงานพาร์ทไทม์ และย้ายออกมาเช่าห้องพักอยู่นอกมหาวิทยาลัยแทน เพื่อที่จะสะดวกต่อการไปทำงาน และอีกอย่างตอนนี้ลุงหมานและป้าสะใภ้ย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดแล้ว เพราะมีอายุที่เพิ่มขึ้น และสู้ค่าครองชีพไม่ไหว“วิชญ์ พักที่ไหนเหรอ” เสียงหวานของร่างบอบบางที่เดินมาตามหลังถามเขาขึ้นมาทันทีเมยาวี หรือ เมย์ หญิงสาวคณะนิเทศศาสตร์ชั้นปีที่สาม รุ่นพี่ที่คณะและควบตำแหน่งของดาวคณะไปด้วยเพราะความสวยที่ไม่มีใครเทียบติด“รู้จักชื่อผมด้วยหรือครับ” ชนาวิชญ์มองหญิงสาวอย่างพิจารณา แล้วถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ เพราะส่วนน้อยนักที่จะมีคนเข้ามาทักเขา และเขาแทบจะไม่มีเพื่อนเลย เพราะไม่ค่อยมีเวลาเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ แต่หญิงสาวรุ่นพี่ดีกรีดาวคณะคนนี้กลับเข้ามาทัก แถมยังรู้จักชื่อเขาอีก“รู้จักสิ ฉันเมย์ปีสามไง ไม่รู้จักเหรอ เหมือนเราจะอยู่คณะเดียวกันนะถ้าจำไม่ผิด”“ผมรู้จักพี่ดีครับ ดาวคณะใครจะไม่รู้จัก”“เรียกเมย์ก็พอแล้วมั้ง ไม่ต้องเรียกพี่หรอก แล้วนี่จะไปไหน เห็นนายรีบกลับเร็วกว่าคนอื่น ๆ ทุกวันเลย”“ต้องรีบไปทำง
หนุ่มบ้านนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ภาคอีสาน)ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือที่ขนานเรียกกันติดปากว่า ‘ภาคอีสาน’ นั่นเอง ในพื้นที่ของถิ่นทุรกันดารห่างไกลความเจริญ เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในชนบท ปลายฤดูหนาว มีเพียงฝูงวัวควาย ที่ชาวบ้านต่างนำออกมาเลี้ยงที่กลางทุ่งนา เพราะเป็นช่วงที่ชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้วบ้างก็ขุดปูหาปลาตามหนองน้ำ และน้ำที่พอยังขอดอยู่ตามซอกหลุมเล็ก ๆ (ปลาข่อน) เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้มีชีวิตรอดไปในแต่ละวัน ส่วนคนหนุ่มสาวนั้น ส่วนใหญ่ต่างก็มุ่งหน้าสู่เมืองกรุงกัน เพื่อหางานทำเลี้ยงชีพต่อไป...“บักหล่า แน่ใจแล้วบ้อลูก ว่าสิไปเรียนต่อกรุงเทพฯอีหลี” (ลูกแน่ใจแล้วใช่ไหม ที่จะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯจริง ๆ) เสียงหญิงวัยสี่สิบปีเอ่ยถาม เมื่อลูกชายในวัยเพียงสิบแปดปี ซึ่งเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในบ้าน และเป็นลูกชายคนโต ยื่นรายชื่อนักศึกษาใหม่ที่ลูกชายสอบติดมาให้ดูคำนาง หญิงวัย 40 ปี ตอนนี้กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เมื่อผู้เป็นสามีที่เป็นเสาหลักของครอบครัว เสียชีวิตไปเมื่อ 5 ปีก่อนด้วยอุบัติเหตุ นับจากนั้นมาคำนางจึงทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ให้แก่ลูก ๆ ทั้งสอง และผ