ฟังจากที่เพื่อนเล่าแล้ว ต้องรักอดคิดกระหวัดไปถึงชายหนุ่มที่เจอวันนี้ไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นก็มีใบหน้าและแววตานิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ รูปร่างก็สูงใหญ่จนเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกข่มอยู่ แถมยังเคลื่อนไหวได้เงียบเชียบอีกด้วย
หวังว่าเขาคงจะไม่ใช่คนที่เพื่อนของเธอกำลังพูดถึงหรอกนะ
ต้องรักหยิบบัตรคิวขึ้นมาดูแล้วต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ มาโรงพยาบาลทีไรเธอกับมารดาไม่เคยเสร็จธุระก่อนเที่ยงได้เลยสักครั้ง และวันนี้ก็คงเช่นกัน
“คิวยาวเลยละแม่ ทนหน่อยนะจ๊ะ” ทั้งที่ออกจากบ้านมาตั้งแต่หกโมงเช้า แต่พอมาถึงโรงพยาบาลกลับมีคนมาเช้ากว่า ต้องรออีกกว่าหกสิบคิวจึงจะถึงคิวของมารดา
“โรงพยาบาลรัฐก็อย่างนี้แหละ รักนั่งหลับไปก่อนก็ได้นะลูก เมื่อคืนเราก็กลับมาดึกมากไม่ใช่หรือ”
มือผอมเกร็งของมารดาลูบศีรษะบุตรสาวด้วยความรักใคร่และสงสารจับใจ เมื่อคืนต้องรักกลับถึงบ้านเกือบตีสี่ นอนได้แค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ต้องรีบตื่นพาหล่อนมาหาหมอ เสร็จจากที่นี่ก็ต้องเดินทางไปเรียนที่มหาวิทยาลัยต่ออีก หล่อนรู้ว่าลูกสาวนั้นเหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่ก็ไม่เคยปริปากบ่นให้ได้ยิน
ต้องรักในชุดนักศึกษานั่งกอดกระเป๋าสะพายพร้อมกับเอนตัวข้างหนึ่งพิงกำแพงก่อนจะหลับตาลงอย่างว่าง่าย คิดว่ากว่าจะถึงคิวของมารดา เธอคงได้งีบหลับอย่างน้อยสองหรือสามชั่วโมง
ทันทีที่ปิดเปลือกตาลง หญิงสาวก็เข้าสู่ห้วงนิทรา เสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้ที่มาใช้บริการไม่มีผลกระทบกับต้องรักนัก เพราะนอนง่ายเป็นปกติอยู่แล้ว ตั้งแต่หันมาทำงานกลางคืน เธอต้องฝึกให้ตัวเองหลับง่ายและตื่นไวอยู่เสมอ บางครั้งขณะนั่งรอเรียนวิชาต่อไปที่มหาวิทยาลัย เธอก็อาศัยฟุบหลับตามโต๊ะใต้ต้นไม้ที่คณะเป็นประจำ
“รัก...รักเอ๊ย...ใกล้ถึงคิวแล้วลูก”
เสียงของมารดาที่ได้ยินอยู่ใกล้ๆ ส่งผลให้ต้องรักรีบผุดนั่งตัวตรงทันที แม้จะยังงัวเงียอยู่มากแต่เธอก็ต้องรีบดึงสติกลับมาให้เร็วที่สุดด้วยการตบแก้มของตัวเองเบาๆ สองสามครั้ง
ต้องรักชะเง้อมองลำดับคิวปัจจุบันบนแผงตัวเลขดิจิทัลที่หน้าห้องตรวจ อีกสี่คิวจึงจะถึงคิวของมารดา ยังพอมีเวลาไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้นกว่านี้
“รักไปห้องน้ำก่อนนะแม่ เดี๋ยวรักมาจ้ะ”
หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่มุมสุดของทางเดิน เปิดก๊อกแล้ววักน้ำขึ้นล้างหน้าสองสามครั้ง ก่อนจะดูเวลาที่นาฬิกาข้อมืออีกที
“ค่อยยังชั่วหน่อย ได้หลับไปอีกสองชั่วโมงครึ่ง” เสร็จเรียบร้อยเธอก็เดินมานั่งข้างมารดาตามเดิม
ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลจนถึงสิบเอ็ดโมงเศษ หลังจากรับยาเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็พามารดาเดินออกมาหน้าโรงพยาบาลเพื่อหารถกลับบ้าน
“เดี๋ยวแม่นั่งแท็กซี่กลับเองก็ได้ลูก รักไปเรียนเถอะ”
ผู้เป็นมารดาหันมาบอก ต้องรักจึงพยักหน้ารับ ทุกครั้งที่มาโรงพยาบาล หากเธอต้องไปมหาวิทยาลัยต่อ มารดาจะนั่งแท็กซี่กลับไปเองทุกครั้ง
“จ้ะแม่ งั้นเดี๋ยวรักเรียกแท็กซี่ให้”
หญิงสาวมองหารถแท็กซี่ เมื่อเจอคันที่ว่างอยู่จึงโบกเรียกให้จอดเทียบริมบาทวิถี หลังบอกจุดหมายปลายทางให้โชเฟอร์ทราบพร้อมกับส่งมารดาขึ้นรถไปแล้ว เธอก็รีบเดินจ้ำอ้าวไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นทันที เพราะรถประจำทางสายที่เธอต้องนั่งไปมหาวิทยาลัยนั้นกำลังจอดรอรับผู้โดยสารอยู่ที่ป้าย โดยไม่ได้สังเกตรถยุโรปคันงามที่จอดเยื้องอยู่ด้านหน้ารถประจำทางคันที่เธอกำลังเดินขึ้นไปแม้แต่น้อย
คิ้วหนาขมวดมุ่นเมื่อเห็นร่างเล็กของหญิงสาวคนที่เขาเจอเมื่อคืน เขาเห็นเธอตั้งแต่เดินออกมาจากโรงพยาบาลพร้อมกับผู้หญิงดูมีอายุคนหนึ่งซึ่งคงเป็นมารดา จนกระทั่งเห็นเธอวิ่งขึ้นรถประจำทางไป เป็นเพราะการจราจรที่ติดขัดด้านหน้าโรงพยาบาลที่ทำให้เขากวาดตามองไปเรื่อยเปื่อย จนไปสะดุดกับเธอเข้าโดยบังเอิญ และเขาก็จำเธอได้ในทันที แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือชุดนักศึกษาที่เธอสวมอยู่ต่างหาก
“เอก ประวัติพนักงานที่ฉันให้ดูน่ะ ได้ดูรึยัง”
ชายหนุ่มถามขึ้นลอยๆ เอกรัฐซึ่งนั่งอยู่ข้างชัชวาลที่ทำหน้าที่เป็นคนขับจึงหันมาตอบคำถามผู้เป็นนาย
“ดูแล้วครับคุณธิป ขอโทษครับที่ผมลืมบอก ผู้หญิงคนนั้นชื่อต้องรักครับ อายุยี่สิบเอ็ดแล้ว รู้สึกว่ากำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย”
เอกรัฐรายงานคร่าวๆ แล้วหันหน้ากลับไปตามเดิม ในขณะที่คนถามทำเพียงตอบรับในลำคอเบาๆ
ต้องรัก...งั้นหรือ
ระหว่างที่ต้องรักกำลังวางขวดโซดาให้ลูกค้า หญิงสาวก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกได้ว่ามีมือตะปบลงมาที่บั้นท้ายพร้อมออกแรงบีบอย่างหนักหน่วง ด้วยความตกใจต้องรักรีบปัดมือนั้นออกไปอย่างแรงพร้อมกับหันไปมองหน้าคนที่คิดลวนลามอย่างเอาเรื่อง
ทว่าอีกฝ่ายกลับคิดว่าตนเองเป็นลูกค้าจึงไม่นำพาต่อสายตาไม่พอใจของหญิงสาว ด้วยความมึนเมาและต้องการเอาชนะ เขาจึงตวัดเอวคอดของต้องรักให้เข้าไปใกล้ พร้อมกับยื่นใบหน้าเข้าไปหมายจะหอมแก้มนวลสักฟอด
“น้องชื่ออะไรจ๊ะ น่ารักจังเลย คืนนี้ไปต่อกับพี่ไหมคนสวย”
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้ปล่อยไง”
หญิงสาวยกมือขึ้นปัดป้องเต็มกำลังพลางร้องบอกให้ลูกค้ากลัดมันรายนี้ยอมปล่อยตัวเธอ แต่ด้วยเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มไปทั่ว กอปรกับนักท่องเที่ยวแน่นขนัดจึงไม่มีใครสนใจไยดีกับเสียงร้องที่ถูกกลืนหายของต้องรักเท่าไรนัก หนำซ้ำผู้ชายคนอื่นๆ ที่มากับลูกค้ากลัดมันรายนี้กลับหัวเราะร่วนอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน
“จะเล่นตัวไปทำไมน้อง ยอมๆ มันไปเหอะน่า ไอ้นี่มันกระเป๋าหนักนะจะบอกให้ มันจ่ายไม่อั้น สนรึเปล่าจ๊ะ ฮ่าๆ”
“สนบ้าอะไรเล่า ฉันมาทำงานนะไม่ได้ขายตัว ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะฟ้องผู้จัดการ”
ต้องรักตะเบ็งเสียงขู่แข่งกับเสียงเพลงที่ดังกรอกหูอยู่รอบทิศ สายตาก็พยายามมองหาผู้จัดการร้านหรือเพื่อนพนักงานด้วยกันให้มาช่วย ทว่าจู่ๆ ก็มีมือหนึ่งกระชากต้นแขนเธอให้หลุดพ้นจากวงแขนของลูกค้าคนนั้นได้สำเร็จ
“เฮ้ย! อะไรวะ หาเรื่องกันนี่หว่า”
ชายหนุ่มสี่ห้าคนในโต๊ะนั้นลุกพรวดขึ้นแทบจะพร้อมกัน ต่างมองหน้าผู้ที่เข้ามาสอดอย่างไม่พอใจและตั้งใจเอาเรื่องเต็มที่ ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคที่เอ่ยออกมาจากปากของผู้มาใหม่
“ผับของผมไม่มีนโยบายให้ลูกค้าลวนลามหรือข่มเหงพนักงานได้ ยกเว้นเด็กจะเต็มใจเอง”
ชนาธิปจ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ ท่าทางนิ่งขรึมดูน่าเกรงขาม อีกทั้งบอดีการ์ดที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังทั้งสองข้างที่ยืนล้วงปกเสื้อสูท ราวกับจะบอกว่าพร้อมชักปืนขึ้นมายิงได้ทุกเมื่อ ชายหนุ่มในโต๊ะเลยทำได้เพียงมองหน้ากันไปมา แต่เพราะกลัวเสียฟอร์มจึงแสร้งอารมณ์เสียกลบเกลื่อน
“ลวนลามบ้าอะไร นังเด็กนี่มันยอมเองต่างหาก เขาตกลงราคากันเรียบร้อยแล้วคุณมายุ่งอะไรด้วย”
เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่แทรกซึมอยู่ในเส้นเลือดทำให้ชายหนุ่มกลัดมันกล้าต่อปากต่อคำกับผู้เป็นเจ้าของสถานที่อย่างไม่ลดราวาศอก
ชนาธิปปรายตามองไปยังหญิงสาวที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังเขาเป็นเชิงถาม ต้องรักนั้นรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“ไม่จริงค่ะ เขาโกหก เขาลวนลามฉัน ฉันไม่เคยคิดขายตัวนะ”
ต้องรักเผลอจับแขนของเขาเขย่าไปมาเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง นาทีนี้เธอลืมไปเสียสนิทว่าชายหนุ่มคนที่มาช่วยไว้นั้นเป็นคนเดียวกันกับที่เจอเมื่อคืนวาน
“อีตอแหล!”
คนเมาชี้หน้าด่าต้องรักพร้อมกระโจนเข้าหา แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นบอดีการ์ดร่างใหญ่สองคนปรี่เข้ามาขวางไม่ให้เข้าถึงตัวเจ้านายได้ พร้อมกับเปิดสาบเสื้อให้เห็นวัตถุสีดำมะเมื่อมที่เหน็บไว้กับเอว
“เด็กคนนี้เป็นพนักงานของผม และผมก็ไม่ชอบให้ลูกค้าแย่ๆ มาทำร้ายคนของผมด้วย ผมหวังว่าจะไม่เจอพวกคุณที่นี่อีก”
พูดจบเขาก็กลับหลังหันพร้อมแตะหลังของต้องรักเบาๆ ให้เดินตามเขาออกไปจากบริเวณนั้นทันที ทิ้งให้เอกรัฐกับชัชวาลอยู่จัดการลูกค้านิสัยเสียกลุ่มนั้นต่อไป
ต้องรักพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ทว่ามือของดิลกก็เลื่อนขึ้นมาตรึงข้อมือไว้ทั้งสองข้าง หญิงสาวจึงก่นด่าพร้อมทั้งข่มขู่ด้วยความแค้นเคือง“ไอ้หลก แกฆ่าแม่ฉัน ฉันจะเอาแกเข้าคุกให้ได้ ไอ้เลว!”“กูไม่ได้ฆ่าแม่มึง นังจงมันตกบันไดลงมาเอง”ดิลกรีบแก้ต่างให้ตัวเอง ก่อนจะพูดบางอย่างที่ต้องรักได้ฟังก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นร้อยเท่าพันทวี“กะอีแค่ทองเส้นเท่าหนวดกุ้ง แม่มึงจะหวงไว้ทำไมนักหนา กูแค่ขอยืมไปหมุนหน่อยเดียวแต่มันไม่ยอมให้ กูก็ต้องขโมยเอาสิ แม่มึงวิ่งตามกูจะเอาคืนแล้วพลาดตกบันไดมาเองไม่เกี่ยวกับกูสักหน่อย”“ไอ้ชาติชั่ว! ปล่อยนะ ไอ้ทุเรศ! ปล่อยฉัน” ต้องรักดิ้นรนสุดแรงเท่าที่ตัวเองจะมี ปากก็ร้องด่าทอดิลก พ่อเลี้ยงไปด้วย“ปล่อยก็โง่แล้ว กูเล็งมึงมาตั้งนาน ตอนแม่มึงอยู่กูทำอะไรไม่ได้เพราะติดคำสาบานที่ให้ไว้กับแม่มึง แต่ตอนนี้แม่มึงมันก็ตายไปแล้ว ยอมๆ กูไปเถอะน่ากูรู้ว่ามึงเองก็ไม่ได้สดซิงอะไรนักหรอกทำงานกลางคืนอย่างนั้นน่ะ”ถ้อยคำต่ำทรามที่พ่นออกมาจากปากของดิลกทำเอาหญิงสาวแ
“ไปคุยกันที่บ้านเอ็งดีกว่า” พูดจบก็เดินนำหน้าหญิงสาวไปอย่างเชื่องช้า ต้องรักจึงเดินไปข้างๆ พร้อมกับชะลอฝีเท้าให้ช้าลงตามไปด้วยยายสาเป็นคนแก่คนหนึ่งที่คนในซอยมักไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไรนัก อาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้านเช่าใกล้วัด นานๆ จึงจะมีลูกหลานมาเยี่ยมมาหาสักครั้ง ซึ่งเธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจลูกหลานของยายสานักว่ากำลังคิดอะไรกันอยู่ ถึงได้ปล่อยปละละเลยให้คนชราที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่เพียงลำพังได้“ยายมีของมาคืนให้เอ็งน่ะ”เมื่อเข้ามาในบ้าน หญิงชราก็นั่งลงที่เก้าอี้แล้วรูดซิปล้วงหยิบเอาถุงกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อคอกระเช้าพลางยื่นให้หญิงสาวตรงหน้าต้องรักเอื้อมมือไปรับมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างงุนงงสงสัย เห็นยายสาพยักพเยิดให้เธอเปิดถุงออกดูจึงได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในคือแหวนทองประดับด้วยทับทิมสีแดงเม็ดเดี่ยวๆ ไม่ใหญ่มากนัก แต่มันกลับทำให้หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมาทันที เพราะจำได้ดีว่าแหวนวงนี้มีความสำคัญกับมารดามากเพียงใด“นังจง แม่เอ็งน่ะเอามาฝากยายไว้ตั้งนานแล้ว เพราะขืนเอาเก็บไว้ที่บ้านไอ้หลกมันคงขโมยไปขายเอาเงิ
ร่างผอมบางของจงรักถูกลุงเพิ่มอุ้มพาไปยังเบาะรถสามล้ออย่างทุลักทุเล โดยมีต้องรักและนวลตามขึ้นไปนั่งอยู่บนพื้นด้วย จากนั้นรถก็มุ่งไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็สุดรู้เพราะต้องรักไม่ได้สนใจ ตอนนี้สายตาของหญิงสาวจ้องเขม็งไปยังประตูห้องฉุกเฉินที่มารดาเข้าไปอยู่ในนั้นได้พักใหญ่แล้ว การรอคอยช่างแสนทรมาน ยิ่งยาวนานก็ยิ่งรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบอัดให้เล็กลงเรื่อยๆ จนเหมือนจะหายใจไม่ออก“รักเอ๊ย...แม่เอ็งถึงมือหมอแล้ว เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”นวลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาบีบหัวไหล่เบาๆ อย่างปลุกปลอบ ต้องรักหันมามองครู่หนึ่งก่อนน้ำตาที่สู้อุตส่าห์กักเก็บไว้จะไหลทะลักออกมาจากหน่วยตาอีกครั้ง“รักไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รักกลับมาจากทำงานก็เห็นแม่นอนอยู่หน้าบันไดแล้ว” ต้องรักพูดปนสะอื้น ในขณะที่นวลนั้นทำท่านึกอะไรบางอย่าง“รู้สึกป้าจะได้ยินไอ้หลกมันทะเลาะกับแม่เอ็งนะ เหมือนมันจะเอาอะไรสักอย่างแล้วแม่เอ็งไม่ยอมให้น่ะ ป้าเองก็ไม่ได้สนใจเพราะเห็นทะเลาะกันเกือบทุกวันอยู่แล้ว”ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต
ต้องรักเดินเกาะกลุ่มกับเพื่อนพนักงานออกมาจากอาคารเพื่อกลับบ้านดังเช่นทุกวัน นัยน์ตาคู่สวยชะเง้อมองไปยังที่จอดรถทางฝั่งของผู้บริหารอย่างลืมตัว รถยุโรปคันหรูที่เธอเคยนั่งยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม อันเป็นการบอกว่าเขาคนนั้นยังไม่ได้ออกจากที่นี่ อยากหยุดยืนเพื่อรอส่งตอนที่รถของเขาแล่นผ่าน แต่ก็เกรงว่าหากทำอย่างนั้นเขาจะมองว่าเธอกำลังทอดสะพานให้เขา คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินตามกลุ่มเพื่อนออกไปทว่ายังไม่ทันเดินพ้นเขตลานจอดรถดี รถคันที่ต้องรักมองดูอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวแล่นผ่านหน้าของทุกคนไป ต้องรักมองไปยังกระจกของที่นั่งตอนหลังพร้อมกับคลี่ยิ้มให้ มองผิวเผินอาจจะดูเหมือนว่าเธอกำลังยิ้มให้เงาของตัวเองที่สะท้อนกลับมา แต่ใครเลยจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอกำลังยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังนั้นต่างหาก“รัก!”ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งเรียกมาจากด้านหลัง แต่เจ้าของชื่อไม่ได้หันกลับไปเพราะมัวแต่มองส่งรถคนนั้นจนกระทั่งลับสายตา พร้อมกับที่ผู้ตะโกนเรียกมาหยุดรถมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างๆ“รักขึ้นรถเราเถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”อน
“ไม่เป็นไรหรอกบอย รักกลับเองดีกว่า อีกอย่างนะ ทางไปบ้านบอยกับบ้านรักมันคนละทางกันเลยนะ บอยไม่ต้องไปส่งเราหรอก”ต้องรักรีบปฏิเสธออกมาทันทีพร้อมกับยกแขนของยุวรรณดาขึ้นมาดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของเพื่อน“จะสี่โมงแล้วเดี๋ยวเรากลับบ้านก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เจอกันนะ บาย”เมื่อเห็นว่าอีกสิบนาทีจะบ่ายสี่โมง ต้องรักจึงรีบตัดบทแล้วหาทางเลี่ยงออกมาทันที เพราะกลัวว่าอนุวัฒน์จะดึงดันขอไปส่งบ้านให้ได้ เพื่อนชายคนนี้คิดกับตนอย่างไรใช่ว่าเธอจะไม่รู้ แม้ว่าเขาจะดีและมีน้ำใจกับเธอมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถคิดกับเขาเกินเพื่อนได้จริงๆเดินห่างเพื่อนออกมาได้ไม่เท่าไร โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าก็สั่นเตือนขึ้นมาว่ามีคนโทร.เข้า ต้องรักเอามือควานหาโดยไม่หยุดเดิน เมื่อเจอแล้วก็กดรับสายทันที โดยไม่ต้องดูชื่อเพราะรู้ว่าใครโทร.มา“ค่ะ รักกำลังจะถึงหน้ามอแล้วค่ะคุณธิป...ได้ค่ะ”หลังจากวางสาย ร่างเล็กก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางหน้ามหาวิทยาลัย ยิ่งเขาบอกว่ากำลังจอดรถรออยู่ หญิงสาวก็ยิ่งลนลานรีบไปให้ถึงโดยเร็วที่สุดเพราะไม่อยากให้เขารอนาน จึง
ต้องรักตื่นนอนประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง รู้สึกว่าอาการปวดตึงที่ข้อเท้าเริ่มดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะเมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมาเธอได้เล่าให้มารดาฟังว่าเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนเล็กน้อยจนข้อเท้าแพลง ท่านจึงนวดจับเส้นให้จนสามารถเดินลงน้ำหนักได้เต็มเท้ามากขึ้นหญิงสาวจัดการทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ เสร็จเรียบร้อยก็เดินลงไปชั้นล่าง ได้ยินเสียงตำน้ำพริกอยู่ในครัวจึงเดินเข้าไปดูเผื่อมีอะไรที่พอช่วยได้บ้าง“มีอะไรให้ช่วยไหมแม่”ร่างเล็กเดินเข้าไปยืนเมียงมองที่โต๊ะเล็กข้างเตาแก๊สปิกนิก เห็นมีไข่ไก่วางไว้ในชามใบเล็กสองฟอง มีต้นหอมที่ยังไม่ได้ซอยวางอยู่บนเขียง เธอจึงเดินเข้าไปจัดการต่อให้ทันที“งั้นรักเจียวไข่เองนะ” พูดพลางลงมือหั่นต้นหอมสำหรับใส่ไข่เจียว พอดีกับที่มารดาตำน้ำพริกเสร็จจึงหันมาถามบุตรสาวอย่างเอาใจใส่ เพราะเห็นเวลาเพิ่งจะเที่ยงเท่านั้น เท่ากับว่าต้องรักเพิ่งนอนไปได้แค่ห้าชั่วโมง“นอนอิ่มแล้วเหรอลูก น่าจะนอนอีกสักหน่อยไหนๆ ก็หยุดเรียนแล้ว”“ไม่ไหวละจ้ะแม่ ท้องร้องโครกครากเลยต้องลงมาหาอะไรกินนี่แหละ อีกอย่างนะ วันนี้รักจะไปแถวที่ทำงานเร็วกว่าเดิมสักหน่อย ว่าจะลองไปเดินดูห้องเช่าหรืออพาร์ตเมนต์แถว