ต้องรักพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ทว่ามือของดิลกก็เลื่อนขึ้นมาตรึงข้อมือไว้ทั้งสองข้าง หญิงสาวจึงก่นด่าพร้อมทั้งข่มขู่ด้วยความแค้นเคือง
“ไอ้หลก แกฆ่าแม่ฉัน ฉันจะเอาแกเข้าคุกให้ได้ ไอ้เลว!”
“กูไม่ได้ฆ่าแม่มึง นังจงมันตกบันไดลงมาเอง”
ดิลกรีบแก้ต่างให้ตัวเอง ก่อนจะพูดบางอย่างที่ต้องรักได้ฟังก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นร้อยเท่าพันทวี
“กะอีแค่ทองเส้นเท่าหนวดกุ้ง แม่มึงจะหวงไว้ทำไมนักหนา กูแค่ขอยืมไปหมุนหน่อยเดียวแต่มันไม่ยอมให้ กูก็ต้องขโมยเอาสิ แม่มึงวิ่งตามกูจะเอาคืนแล้วพลาดตกบันไดมาเองไม่เกี่ยวกับกูสักหน่อย”
“ไอ้ชาติชั่ว! ปล่อยนะ ไอ้ทุเรศ! ปล่อยฉัน” ต้องรักดิ้นรนสุดแรงเท่าที่ตัวเองจะมี ปากก็ร้องด่าทอดิลก พ่อเลี้ยงไปด้วย
“ปล่อยก็โง่แล้ว กูเล็งมึงมาตั้งนาน ตอนแม่มึงอยู่กูทำอะไรไม่ได้เพราะติดคำสาบานที่ให้ไว้กับแม่มึง แต่ตอนนี้แม่มึงมันก็ตายไปแล้ว ยอมๆ กูไปเถอะน่ากูรู้ว่ามึงเองก็ไม่ได้สดซิงอะไรนักหรอกทำงานกลางคืนอย่างนั้นน่ะ”
ถ้อยคำต่ำทรามที่พ่นออกมาจากปากของดิลกทำเอาหญิงสาวแทบอยากเอามีดมากรีดปากคนพูด
เอ๊ะ...มีด!
ทันทีที่นึกถึง เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเคยเอามีดปอกผลไม้วางไว้ใต้หมอนเพื่อป้องกันตัว ทว่าข้อมือที่ถูกล็อกเอาไว้ทั้งสองข้างทำให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ดั่งใจคิด สุดท้ายจึงเลิกต่อต้าน กัดฟันทนให้อีกฝ่ายจับต้องได้ตามใจแม้จะรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงแค่ไหนก็ตาม แต่เพื่อหลอกให้พ่อเลี้ยงตายใจ เธอจำต้องยอม
“หึ...จุดติดง่ายเหมือนกันนี่หว่า ดี! แบบนี้กูชอบ”
ดิลกแค่นยิ้มเมื่อเห็นคนใต้ร่างเลิกดิ้นรนขัดขืน มือข้างที่จับข้อมือทั้งสองข้างของต้องรักไว้จึงเผลอปล่อยเพื่อจะมาจัดการกับอาภรณ์ของตนเอง และระหว่างที่มัววุ่นวายกับการปลดเข็มขัด สีข้างของหนุ่มใหญ่ก็ถูกวัตถุปลายแหลมแทงจนเกือบมิดด้ามพร้อมกับแรงถีบจากฝ่าเท้าของหญิงสาวจนร่างลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น มือก็เปลี่ยนมากุมบริเวณที่ถูกแทงพลางร้องโอดโอย
“อีรัก! กูจะฆ่ามึง!”
ดิลกตะโกนลั่นเมื่อเอามือขึ้นมาดูแล้วเห็นเลือดสีแดงสดไหลออกมาจนดูน่ากลัว แต่ต้องรักไม่มีเวลาคิดอะไรทั้งนั้น รีบผลุนผลันลุกขึ้นวิ่งไปยังประตูห้องนอนทันที สองเท้าวิ่งลงบันไดมาอย่างเร็วจนก้าวพลาด ส่งผลให้ร่างเล็กกลิ้งหลุนๆ มาตามขั้นบันไดจนกระทั่งร่างกระแทกกับพื้นปูน
วินาทีนี้หญิงสาวลืมความเจ็บไปจนสิ้น เมื่อลุกขึ้นยืนได้ก็ปรี่ไปที่ประตูบ้าน แล้วออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
สองเท้าเปล่าเปลือยวิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ป้ายรถประจำทางหน้าปากซอยเข้าชุมชน ร่างบอบบางหอบจนตัวโยนพลางทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างหมดแรง อกใจเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หันไปมองทางที่ตัวเองวิ่งผ่านมาอย่างหวาดระแวงด้วยเกรงว่าพ่อเลี้ยงจะวิ่งตามมาฉุดกลับไป เมื่อไม่เห็นจึงรู้สึกโล่งขึ้นมาเปลาะหนึ่ง
แล้วถ้ามันตายล่ะ เธอจะติดคุกไหม!
ร่างเล็กนั่งคู้เข่าขึ้นมากอดเอาไว้ ปากเม้มแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นเมื่อนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น แล้วเธอจะทำอย่างไรดีหนอ จะหันหน้าไปพึ่งพาใครได้ เงินก็ไม่มีติดตัวแม้แต่บาทเดียว เพราะเมื่อครู่ตอนที่วิ่งออกมาอารามตกใจและหวาดกลัวสุดขีดจึงไม่ได้หยิบอะไรออกมาเลย แม้กระทั่งรองเท้าก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะไปนึกถึง สมองสั่งเพียงอย่างเดียวว่าให้หนีเท่านั้น
ชนาธิปเปิดประตูแล้วแทรกตัวเข้าไปในรถด้วยอารมณ์กรุ่นๆ จนคนสนิททั้งสองจับกระแสความขุ่นมัวนั้นได้ เอกรัฐกับชัชวาลมองหน้ากัน ต่างคนต่างถามอีกฝ่ายทางสายตา ทว่าคำตอบที่แต่ละคนมีให้กันมีเพียงอาการส่ายหน้าเล็กน้อยเท่านั้น เป็นการบอกกับอีกฝ่ายว่า ไม่รู้...
นัยน์ตาคมกริบกวาดมองไปยังพนักงานแทบทุกคนที่เดินอยู่ริมทางเมื่อรถเคลื่อนผ่าน เมื่อไม่เห็นบุคคลที่ตนมองหาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ จนคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าลอบมองหน้ากันอีกรอบ
“วันนี้ขับไปอีกทางนะ”
เสียงเรียบๆ ที่ดังจากเบาะหลังท่ามกลางความเงียบทำให้ชัชวาลที่ทำหน้าที่ขับรถอดสะดุ้งขึ้นมาไม่ได้ พลางนึกในใจว่าอีกทางของเจ้านายนั้นคือทางไหนกัน แต่ดูเหมือนคนพูดจะรู้ว่าลูกน้องกำลังงุนงงสงสัย จึงชิงพูดขึ้นมาเสียเองโดยที่ไม่ต้องให้เอ่ยปากถาม
“ผ่านทางวัด”
“ครับ” ชัชวาลขานรับก่อนจะลอบสบตากับเอกรัฐที่นั่งอยู่ด้านข้าง เริ่มรับรู้รางๆ แล้วว่าสาเหตุของอาการไม่สบอารมณ์ของเจ้านายนั้นเกิดจากอะไร
ผ่านไปราวสิบห้านาที รถก็เคลื่อนที่ผ่านละแวกที่เขาเคยมาส่งต้องรักจนถึงบ้าน ชนาธิปมองจ้องเข้าไปในนั้นระหว่างที่รถกำลังขับผ่านปากซอยทางเข้าชุมชนของหญิงสาว คนขับก็ดูเหมือนจะรู้ใจเจ้านายดีเพราะชะลอรถให้วิ่งช้าจนแทบจะเรียกได้ว่าคลาน จนกระทั่งรถค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านจุดนั้นไป
“เดี๋ยว! จอดก่อน”
คำสั่งจากเจ้านายทำให้ชัชวาลเหยียบเบรกแทบจะทันที พร้อมกับที่ร่างสูงใหญ่ของคนสั่งเปิดประตูรถแล้วเดินย้อนกลับไปยังทางที่พวกเขาเพิ่งผ่านมา
เอกรัฐมองกระจกข้างรถจึงได้เห็นว่าชนาธิปกำลังเดินไปหาใครคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งกอดเข่าฟุบหน้าอยู่ที่ป้ายรถประจำทาง คราแรกเขานึกว่าเป็นคนจรจัดแถวนี้จึงไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะผมเผ้ายุ่งเหยิงแถมรองเท้าก็ไม่ใส่ แต่พอเห็นเจ้านายเดินลงไป เขาจึงต้องลงตามไปด้วยเพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่เจ้านายตามหน้าที่
ชนาธิปก้าวเร็วๆ ไปหาหญิงสาวที่นั่งตัวสั่นราวกับกำลังสะอื้นไห้ นัยน์ตาคู่คมกวาดมองสภาพของคนตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วมุ่นทันที เขาวางมือที่หัวไหล่สั่นไหวนั้นเบาๆ
“ต้องรัก!”
เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองคนเรียกทันควัน แววตาหวาดกลัวเมื่อแรกเห็นแปรเปลี่ยนเป็นดีใจ เมื่อเห็นร่างสูงสง่าที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“คุณชนาธิป!”
แค่เรียกชื่อของเขา น้ำตาเจ้ากรรมก็รินไหลออกมาไม่ขาดสาย ทั้งดีใจทั้งโล่งใจที่ได้เจอเขาในเวลาที่กำลังมืดมนอย่างนี้
ร่างสูงย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าพร้อมกับยื่นมือไปข้างหน้าราวกับจะให้หญิงสาวได้ตัดสินใจ ต้องรักมองมือนั้นเพียงชั่วครู่ก็วางมือของตัวเองลงบนมือใหญ่นั้นทันที ตามมาด้วยแรงช้อนจากคนตัวโตจนร่างเล็กลอยหวือขึ้นไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“ไปทำแผลก่อน แล้วค่อยคุยกัน”
เสียงทุ้มของเขาฟังแล้วอบอุ่นหัวใจของหญิงสาวยิ่งนัก ต้องรักเผลอตัวยกแขนขึ้นโอบรอบคอเขาพร้อมกับซุกหน้าลงกับไหล่ของชายหนุ่มอย่างหาที่พึ่งแล้วร้องไห้ออกมาอีกครา แต่คราวนี้เกิดจากความดีใจ
เอกรัฐรีบเปิดประตูด้านหลังให้ชนาธิปพาหญิงสาวเข้ามาในรถอย่างรู้งาน อดทึ่งเจ้านายตัวเองไม่ได้ที่จดจำต้องรักได้แม้ว่าจะเห็นเพียงแค่ด้านข้างก็ตาม เพราะขนาดเขามองยังนึกว่าเป็นคนจรจัดแถวนี้เลย
ชายหนุ่มวางต้องรักลงบนเบาะก่อนจะแทรกตัวตามเข้าไป จากนั้นเขาก็คว้ามือของหญิงสาวมาวางไว้บนตักพร้อมกับหันไปหยิบกระดาษทิชชูด้านหลังเพื่อเช็ดคราบเลือดให้
“ไปโดนอะไรมา” เขาถามเบาๆ ราวกระซิบ แต่คนฟังกลับรู้สึกได้ถึงความห่วงใยในน้ำเสียงเรียบนิ่งนั้น
“ไม่...ไม่ใช่เลือดของรักหรอกค่ะ” ต้องรักอ้อมแอ้มตอบเสียงแผ่ว ก่อนจะก้มหน้างุดแล้วบอกเขาเสียงสั่นๆ
“รัก...รักแทงคนมา!”
ตอบออกไปแล้วก็นั่งเงียบ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเขา ทว่าสัมผัสอุ่นร้อนที่แสนอ่อนโยนจากมือใหญ่คู่นั้นก็ทำเอาหญิงสาวอดน้ำตารื้นขึ้นมาไม่ได้
“ไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว”
เขาพูดเพียงแค่นั้นโดยไม่ได้มองหน้าเธอแม้แต่น้อย แต่มือก็ยังคงใช้กระดาษทิชชูเช็ดทำความสะอาดคราบเลือดแห้งกรังที่ติดอยู่กับมือเล็กนั้นอย่างไม่นึกรังเกียจ
ต้องรักพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ทว่ามือของดิลกก็เลื่อนขึ้นมาตรึงข้อมือไว้ทั้งสองข้าง หญิงสาวจึงก่นด่าพร้อมทั้งข่มขู่ด้วยความแค้นเคือง“ไอ้หลก แกฆ่าแม่ฉัน ฉันจะเอาแกเข้าคุกให้ได้ ไอ้เลว!”“กูไม่ได้ฆ่าแม่มึง นังจงมันตกบันไดลงมาเอง”ดิลกรีบแก้ต่างให้ตัวเอง ก่อนจะพูดบางอย่างที่ต้องรักได้ฟังก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นร้อยเท่าพันทวี“กะอีแค่ทองเส้นเท่าหนวดกุ้ง แม่มึงจะหวงไว้ทำไมนักหนา กูแค่ขอยืมไปหมุนหน่อยเดียวแต่มันไม่ยอมให้ กูก็ต้องขโมยเอาสิ แม่มึงวิ่งตามกูจะเอาคืนแล้วพลาดตกบันไดมาเองไม่เกี่ยวกับกูสักหน่อย”“ไอ้ชาติชั่ว! ปล่อยนะ ไอ้ทุเรศ! ปล่อยฉัน” ต้องรักดิ้นรนสุดแรงเท่าที่ตัวเองจะมี ปากก็ร้องด่าทอดิลก พ่อเลี้ยงไปด้วย“ปล่อยก็โง่แล้ว กูเล็งมึงมาตั้งนาน ตอนแม่มึงอยู่กูทำอะไรไม่ได้เพราะติดคำสาบานที่ให้ไว้กับแม่มึง แต่ตอนนี้แม่มึงมันก็ตายไปแล้ว ยอมๆ กูไปเถอะน่ากูรู้ว่ามึงเองก็ไม่ได้สดซิงอะไรนักหรอกทำงานกลางคืนอย่างนั้นน่ะ”ถ้อยคำต่ำทรามที่พ่นออกมาจากปากของดิลกทำเอาหญิงสาวแ
“ไปคุยกันที่บ้านเอ็งดีกว่า” พูดจบก็เดินนำหน้าหญิงสาวไปอย่างเชื่องช้า ต้องรักจึงเดินไปข้างๆ พร้อมกับชะลอฝีเท้าให้ช้าลงตามไปด้วยยายสาเป็นคนแก่คนหนึ่งที่คนในซอยมักไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไรนัก อาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้านเช่าใกล้วัด นานๆ จึงจะมีลูกหลานมาเยี่ยมมาหาสักครั้ง ซึ่งเธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจลูกหลานของยายสานักว่ากำลังคิดอะไรกันอยู่ ถึงได้ปล่อยปละละเลยให้คนชราที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่เพียงลำพังได้“ยายมีของมาคืนให้เอ็งน่ะ”เมื่อเข้ามาในบ้าน หญิงชราก็นั่งลงที่เก้าอี้แล้วรูดซิปล้วงหยิบเอาถุงกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อคอกระเช้าพลางยื่นให้หญิงสาวตรงหน้าต้องรักเอื้อมมือไปรับมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างงุนงงสงสัย เห็นยายสาพยักพเยิดให้เธอเปิดถุงออกดูจึงได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในคือแหวนทองประดับด้วยทับทิมสีแดงเม็ดเดี่ยวๆ ไม่ใหญ่มากนัก แต่มันกลับทำให้หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมาทันที เพราะจำได้ดีว่าแหวนวงนี้มีความสำคัญกับมารดามากเพียงใด“นังจง แม่เอ็งน่ะเอามาฝากยายไว้ตั้งนานแล้ว เพราะขืนเอาเก็บไว้ที่บ้านไอ้หลกมันคงขโมยไปขายเอาเงิ
ร่างผอมบางของจงรักถูกลุงเพิ่มอุ้มพาไปยังเบาะรถสามล้ออย่างทุลักทุเล โดยมีต้องรักและนวลตามขึ้นไปนั่งอยู่บนพื้นด้วย จากนั้นรถก็มุ่งไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็สุดรู้เพราะต้องรักไม่ได้สนใจ ตอนนี้สายตาของหญิงสาวจ้องเขม็งไปยังประตูห้องฉุกเฉินที่มารดาเข้าไปอยู่ในนั้นได้พักใหญ่แล้ว การรอคอยช่างแสนทรมาน ยิ่งยาวนานก็ยิ่งรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบอัดให้เล็กลงเรื่อยๆ จนเหมือนจะหายใจไม่ออก“รักเอ๊ย...แม่เอ็งถึงมือหมอแล้ว เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”นวลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาบีบหัวไหล่เบาๆ อย่างปลุกปลอบ ต้องรักหันมามองครู่หนึ่งก่อนน้ำตาที่สู้อุตส่าห์กักเก็บไว้จะไหลทะลักออกมาจากหน่วยตาอีกครั้ง“รักไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รักกลับมาจากทำงานก็เห็นแม่นอนอยู่หน้าบันไดแล้ว” ต้องรักพูดปนสะอื้น ในขณะที่นวลนั้นทำท่านึกอะไรบางอย่าง“รู้สึกป้าจะได้ยินไอ้หลกมันทะเลาะกับแม่เอ็งนะ เหมือนมันจะเอาอะไรสักอย่างแล้วแม่เอ็งไม่ยอมให้น่ะ ป้าเองก็ไม่ได้สนใจเพราะเห็นทะเลาะกันเกือบทุกวันอยู่แล้ว”ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต
ต้องรักเดินเกาะกลุ่มกับเพื่อนพนักงานออกมาจากอาคารเพื่อกลับบ้านดังเช่นทุกวัน นัยน์ตาคู่สวยชะเง้อมองไปยังที่จอดรถทางฝั่งของผู้บริหารอย่างลืมตัว รถยุโรปคันหรูที่เธอเคยนั่งยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม อันเป็นการบอกว่าเขาคนนั้นยังไม่ได้ออกจากที่นี่ อยากหยุดยืนเพื่อรอส่งตอนที่รถของเขาแล่นผ่าน แต่ก็เกรงว่าหากทำอย่างนั้นเขาจะมองว่าเธอกำลังทอดสะพานให้เขา คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินตามกลุ่มเพื่อนออกไปทว่ายังไม่ทันเดินพ้นเขตลานจอดรถดี รถคันที่ต้องรักมองดูอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวแล่นผ่านหน้าของทุกคนไป ต้องรักมองไปยังกระจกของที่นั่งตอนหลังพร้อมกับคลี่ยิ้มให้ มองผิวเผินอาจจะดูเหมือนว่าเธอกำลังยิ้มให้เงาของตัวเองที่สะท้อนกลับมา แต่ใครเลยจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอกำลังยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังนั้นต่างหาก“รัก!”ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งเรียกมาจากด้านหลัง แต่เจ้าของชื่อไม่ได้หันกลับไปเพราะมัวแต่มองส่งรถคนนั้นจนกระทั่งลับสายตา พร้อมกับที่ผู้ตะโกนเรียกมาหยุดรถมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างๆ“รักขึ้นรถเราเถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”อน
“ไม่เป็นไรหรอกบอย รักกลับเองดีกว่า อีกอย่างนะ ทางไปบ้านบอยกับบ้านรักมันคนละทางกันเลยนะ บอยไม่ต้องไปส่งเราหรอก”ต้องรักรีบปฏิเสธออกมาทันทีพร้อมกับยกแขนของยุวรรณดาขึ้นมาดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของเพื่อน“จะสี่โมงแล้วเดี๋ยวเรากลับบ้านก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เจอกันนะ บาย”เมื่อเห็นว่าอีกสิบนาทีจะบ่ายสี่โมง ต้องรักจึงรีบตัดบทแล้วหาทางเลี่ยงออกมาทันที เพราะกลัวว่าอนุวัฒน์จะดึงดันขอไปส่งบ้านให้ได้ เพื่อนชายคนนี้คิดกับตนอย่างไรใช่ว่าเธอจะไม่รู้ แม้ว่าเขาจะดีและมีน้ำใจกับเธอมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถคิดกับเขาเกินเพื่อนได้จริงๆเดินห่างเพื่อนออกมาได้ไม่เท่าไร โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าก็สั่นเตือนขึ้นมาว่ามีคนโทร.เข้า ต้องรักเอามือควานหาโดยไม่หยุดเดิน เมื่อเจอแล้วก็กดรับสายทันที โดยไม่ต้องดูชื่อเพราะรู้ว่าใครโทร.มา“ค่ะ รักกำลังจะถึงหน้ามอแล้วค่ะคุณธิป...ได้ค่ะ”หลังจากวางสาย ร่างเล็กก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางหน้ามหาวิทยาลัย ยิ่งเขาบอกว่ากำลังจอดรถรออยู่ หญิงสาวก็ยิ่งลนลานรีบไปให้ถึงโดยเร็วที่สุดเพราะไม่อยากให้เขารอนาน จึง
ต้องรักตื่นนอนประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง รู้สึกว่าอาการปวดตึงที่ข้อเท้าเริ่มดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะเมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมาเธอได้เล่าให้มารดาฟังว่าเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนเล็กน้อยจนข้อเท้าแพลง ท่านจึงนวดจับเส้นให้จนสามารถเดินลงน้ำหนักได้เต็มเท้ามากขึ้นหญิงสาวจัดการทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ เสร็จเรียบร้อยก็เดินลงไปชั้นล่าง ได้ยินเสียงตำน้ำพริกอยู่ในครัวจึงเดินเข้าไปดูเผื่อมีอะไรที่พอช่วยได้บ้าง“มีอะไรให้ช่วยไหมแม่”ร่างเล็กเดินเข้าไปยืนเมียงมองที่โต๊ะเล็กข้างเตาแก๊สปิกนิก เห็นมีไข่ไก่วางไว้ในชามใบเล็กสองฟอง มีต้นหอมที่ยังไม่ได้ซอยวางอยู่บนเขียง เธอจึงเดินเข้าไปจัดการต่อให้ทันที“งั้นรักเจียวไข่เองนะ” พูดพลางลงมือหั่นต้นหอมสำหรับใส่ไข่เจียว พอดีกับที่มารดาตำน้ำพริกเสร็จจึงหันมาถามบุตรสาวอย่างเอาใจใส่ เพราะเห็นเวลาเพิ่งจะเที่ยงเท่านั้น เท่ากับว่าต้องรักเพิ่งนอนไปได้แค่ห้าชั่วโมง“นอนอิ่มแล้วเหรอลูก น่าจะนอนอีกสักหน่อยไหนๆ ก็หยุดเรียนแล้ว”“ไม่ไหวละจ้ะแม่ ท้องร้องโครกครากเลยต้องลงมาหาอะไรกินนี่แหละ อีกอย่างนะ วันนี้รักจะไปแถวที่ทำงานเร็วกว่าเดิมสักหน่อย ว่าจะลองไปเดินดูห้องเช่าหรืออพาร์ตเมนต์แถว