“คงไม่ได้ นายท่านอยากได้ที่ดินตรงนั้นมาก กำชับมาหลายครั้งแล้วว่าอย่าปล่อยให้หลุดมือไปเป็นของคนอื่น”
ชนาธิปถอนหายใจแผ่ว นึกถึงคำสั่งจากแดนไกลที่ย้ำนักย้ำหนาเรื่องที่ดินผืนนั้นสลับกับใบหน้าสะสวยของแพรวาแล้วเส้นตรงขมับก็เต้นตุบๆ ขึ้นมาทันที
“โอเค ถ้างั้นก็ช่วยนัดคุณแพรวาให้ฉันด้วย บอกเธอว่าทุ่มตรงฉันจะไปรับที่คอนโดฯ” สั่งความเสร็จชายหนุ่มก็กดตัดสาย ก่อนจะเดินเข้าไปหาต้องรักทั้งที่หัวคิ้วยังคงขมวดมุ่นอยู่อย่างนั้น
“เอ่อ...ถ้าคุณธิปมีงานด่วนจะกลับไปก่อนก็ได้นะคะ รักกลับเองได้ค่ะ” หญิงสาวบอกเขาอย่างเกรงใจ เห็นแววตาไม่สบอารมณ์ของเขาก็พอจะเดาได้ว่าคงมีปัญหาเรื่องงานเป็นแน่
“ไม่มีอะไรด่วนหรอก วันนี้ฉันอยู่กับเธอได้ทั้งวัน ไปกันเถอะ” พูดจบเขาก็แตะหลังเธอเบาๆ ให้ออกเดินไปด้วยกัน ต้องรักแอบก้มหน้าลอบยิ้มอย่างสุขใจเพียงลำพังกับคำพูดประโยคนั้นของเขา
หลังจากที่ต้องรักรับเถ้ากับอัฐิมาเรียบร้อยแล้ว ชนาธิปก็หันมาถามหญิงสาวระหว่างเดินมาที่รถด้วยกันว่า
หญิงสาวหยิบเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้มออกมาจากราว ระหว่างที่กำลังนึกไปถึงรูปร่างของเขาว่าควรจะสวมไซซ์อะไร แต่สมองกลับคิดไปถึงเรือนกายสูงใหญ่เปลือยเปล่าอวดกล้ามเนื้อหนั่นแน่น ท่อนแขนทรงพลังยามโอบรัดเธอเข้าสู่แผงอกอบอุ่น เสียงทุ้มสั่นพร่าครางแผ่วอยู่ชิดริมหู ยามร่างใหญ่โตของเขาเคลื่อนไหวอยู่บนกายเธออย่างเร่าร้อนหวามไหวตายแล้ว! เลือกซื้อเสื้อให้เขาอยู่ดีๆ แล้วทำไมไปคิดถึงตอนที่นัวเนียกับเขาบนเตียงได้เล่าผิวแก้มร้อนผ่าวจนต้องรักต้องรีบหันหน้าหลบไปอีกทางเพื่อไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็น พยายามตั้งสติอยู่กับเสื้อที่ถืออยู่ในมืออีกครั้งพร้อมกับยกมันขึ้นยืดออกไปจนสุดแขนเพื่อมองขนาดของมันให้ชัดเจน“พี่โอ๋คะ เสื้อของผู้ชายนี่ไซซ์มันมาตรฐานเท่ากันทุกยี่ห้อรึเปล่า”ต้องรักหันไปถามคนที่กำลังยืนดูเสื้ออีกฝั่ง ชนิดาหันหน้ามาทางคนถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย“เอ...พี่ก็ไม่แน่ใจนะ คงต้องกะขนาดตัวคนใส่เอาเองแล้วละ”ชนิดาไม่กล้าฟันธงลงไป เนื่องจากครั้งหนึ่งเคยซื้อเสื้อให้น้องชายใส่ เธอจำได้ว่าน้องชายใส่เสื้อไซส์ M แต่พอซื้อไปให้กลับกลายเป็นว่าไซส์ M ของยี่ห้อที่เธอซื้อไปขนา
“ทำอะไรอยู่” มุมปากของคนพูดโค้งขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาคมกล้าจริงจังก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันทีที่ได้ยินเสียงของคนที่อยู่ปลายสาย“กำลังนั่งดูซีรีส์กับพี่โอ๋ค่ะ...คุณธิปเป็นอย่างไรบ้างคะ เดินทางเหนื่อยไหม”รอยยิ้มบางๆ เมื่อครู่คลี่ออกกว้างทันทีเมื่อได้ฟังคำถามที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อเขา“ได้ยินเสียงเธอก็หายเหนื่อยแล้ว” ร่างสูงเอนหลังไปพิงกับพนักโซฟา เห็นอีกฝ่ายเงียบไป ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าคนฟังคงกำลังยิ้มเขินจนหน้าแดงก่ำ อารมณ์ขุ่นมัวที่เคธี่สร้างไว้มลายหายไปแล้ว แทนที่ด้วยความคิดถึงแสนหวานล้ำที่ค่อยๆ โอบล้อมหัวใจเขาเสียจนอยากกลับไปเห็นหน้าเธอวันนี้และเดี๋ยวนี้“จริงสิ...ต้องรัก ฉันต้องอยู่ที่นี่ยาวไปสองอาทิตย์นะ มีธุระด่วนเข้ามาพอดีน่ะ” พูดพลางปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยหน่าย หากรู้ตั้งแต่แรก เขาคงไม่มาอาทิตย์นี้ คงรวบยอดมาอาทิตย์หน้าเลยทีเดียว เจตนาของนิโคลัสเห็นได้ชัดว่าต้องการรั้งเขาให้อยู่ที่นี่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้จึงไม่ยอมปริปากเรื่องงานเลี้ยงอาทิตย์หน้าให้เขาฟังเลยแม้แต่ประโยคเดีย
“ใช่...ถ้ามีโอกาส” วิลผงกศีรษะขึ้นลงช้าๆ รู้สึกใจหายกับประโยคสุดท้ายของเพื่อนรักทั้งคู่นั่งนิ่งกันไปอีกพักใหญ่ๆ แต่สุดท้ายวิลก็เป็นฝ่ายลองพูดโน้มน้าวเพื่อนอีกครั้ง“ฉันว่านายกลับไปคิดให้ดีก่อนดีกว่านะทิม อีกตั้งสามเดือน ยังมีเวลาให้นายได้ตัดสินใจว่าจะเลือกเดินทางไหน แต่สำหรับฉัน ฉันคิดว่าเคธี่เหมาะสมกับนายที่สุดแล้ว นายจะยอมเสียสละทุกอย่าง ยอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของตัวเองเพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ หรือเพื่อน”ชนาธิปผินหน้ามามองคนพูดพลางยกแก้วบรั่นดีขึ้นกระดกลงคอจนหมดในอึกเดียว จากนั้นจึงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ“แต่คนบางคนก็ควรค่าแก่การเสียสละไม่ใช่หรือ”ชนาธิปกับวิลกลับมาถึงคฤหาสน์ในเวลาล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้วเกือบสองชั่วโมง นัยน์ตาสีนิลมองไปยังประตูบานใหญ่เบื้องหน้า เวรยามแน่นหนาและกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้รายรอบเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าคฤหาสน์หลังนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าออกได้ตามอำเภอใจวิลขับรถเข้าไปจอดในโรงรถที่อยู่ด้านหลังคฤหาสน์ จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินไปตามทางที่ปูด้
ภายใต้แสงไฟสลัวรางของผับหรูแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างของบุรุษหนุ่มสองคนที่ต่างเชื้อชาตินั่งประจันหน้ากันอยู่ที่โต๊ะด้านในสุด ทั้งคู่กวาดตามองบรรยากาศโดยรอบด้วยแววตาไร้ความรู้สึก ราวกับว่าเสียงเพลงจังหวะเร้าใจและหญิงสาวสวยมากหน้าหลายตาที่กำลังวาดลีลาเร่าร้อนตามจังหวะเพลงเหล่านั้นหาได้มีความหมายใดๆ กับพวกเขาเลยแม้แต่น้อยกระทั่งในที่สุด ชายร่างใหญ่ผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาก็ผินหน้ามาที่ผู้ร่วมโต๊ะและเป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาก่อน“นายจะปฏิเสธจริงหรือทิม” แม้น้ำเสียงจะฟังดูเรียบเรื่อย แต่หัวคิ้วของผู้พูดกลับขมวดเป็นปมเมื่อมองหน้าอีกฝ่าย“ใช่ ฉันแต่งงานกับเคธี่ไม่ได้”ชนาธิปตอบโดยไม่แสดงอาการลังเลออกมาให้เห็น ก่อนจะยกแก้วบรั่นดีขึ้นจดริมฝีปาก เขารู้ว่าเพื่อนสนิทกำลังกังวลเรื่องอะไร แต่เขาก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว“เคธี่รักนายมากนะ ฉันรู้ดี” วิลพูดพลางหลุบสายตาลงต่ำเพื่อปิดบังไม่ให้คนที่ฉลาดเป็นกรดอย่างชนาธิปจับสีหน้ากับแววตาของตนได้ ในขณะที่อีกฝ่ายหันมามองแล้วลอบยกยิ้มที่มุมปาก“จริงอยู่ว่าเคธี่รักฉัน แต่เธอไม่ได้รักในแบบคนรัก นายก็รู้ว่าเคธี่กับฉันเติบโตมาด้วยกันจนแทบจะเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันอยู
ชนาธิปเดินลงมาจากชั้นสองก่อนเวลาดินเนอร์ประมาณครึ่งชั่วโมง เขาชะงักเท้าทันทีเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่พอกันกับเขาแต่อีกฝ่ายลำตัวหนากว่ายืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงคอยท่าอยู่ตรงเชิงบันได“ยินดีต้อนรับกลับมา พี่ชาย” คนยืนรอเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายขึ้นก่อน ชนาธิปยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอดร่างหนาหลวมๆ แทนคำทักทาย“ผมทรงใหม่ของนายเข้าท่าดีนะวิล”ชนาธิปมองทรงผมทรงใหม่ของบอดีการ์ดหนุ่มด้วยแววตากึ่งทึ่งกึ่งขำ เพราะมันเป็นทรงเดียวกับนักฟุตบอลคนหนึ่งของทีมเรอัลมาดริดคนถูกทักเรื่องทรงผมทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ กระแอมออกมาครั้งหนึ่งก่อนอ้อมแอ้มบอกเสียงค่อย“คุณหนูลากไปตัดเมื่อวานนี้”ได้ฟังอย่างนั้นชนาธิปเกือบหลุดหัวเราะแต่ก็อดเห็นใจอีกฝ่ายไม่ได้ เคธี่นั้นคลั่งไคล้นักฟุตบอลทีมนี้มาก จึงมักพร่ำเพ้ออยู่บ่อยๆ และคนที่ต้องตกเป็นตุ๊กตาให้เธอก็เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากวิล บอดีการ์ดหนุ่มที่คอยตามติดไม่ห่างนั่นเองมื้อค่ำวันนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนนั่นคือชนาธิป เพราะตามปกติแล้วจะมีเพียงแค่นิโคลัส เคธี่ และวิลเ
รถทั้งหมดมาหยุดลงตรงเทอร์เรซหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ บุรุษต่างชาติที่นั่งอยู่ด้านหน้าคู่กับคนขับรีบลงจากรถเพื่อมาเปิดประตูให้ชนาธิป ในขณะที่เอกรัฐเปิดประตูรถด้วยตัวเองเพราะรู้สถานะของตนดีว่าอยู่ในฐานะอะไรร่างสูงก้าวขาลงจากรถ เขาหันไปขอบคุณชายที่เปิดประตูให้เบาๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดหินอ่อนเข้าสู่ตัวคฤหาสน์โดยมีเอกรัฐตามมาด้านหลัง ฝีเท้ามั่นคงหนักแน่นชะงักเล็กน้อยเมื่อยืนอยู่หน้าประตูไม้โอ๊กขัดเงาบานใหญ่ เพราะทันทีที่เขาย่างเท้าเข้าไปด้านใน โซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็จะปรากฏขึ้นมาพันธนาการเท้าทั้งสองข้างของเขาไว้ทันทีซึ่งมันจะถอดออกได้ก็ต่อเมื่อเขากลับไปเมืองไทยเท่านั้น!“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ไอ้ลูกชาย”เสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้นทันทีที่ชนาธิปเหยียบย่างเข้าสู่คฤหาสน์ ชายหนุ่มหันมองไปตามเสียง เห็นร่างสูงใหญ่อย่างชาวอเมริกันของนิโคลัส รูคส์ มาเฟียผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกากำลังยืนดูดซิการ์อยู่หน้าเตาผิงในห้องรับแขก มุมปากที่คาบซิการ์อยู่นั้นโค้งขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาคมกริบสีเทาเด็ดเดี่ยวมีประกายยินดีเมื่อเห็นเขา“สวัสดีครับนายท่าน”