พอเห็นหน้าพ่อและแม่ เอรินก็ถลาเข้ามากอดพ่อที่นั่งพิงหลังกับหัวเตียงทันที อติมาเข้าสวมกอดลูกสาวไว้อีกต่อถ่ายทอดความอบอุ่นและห่วงใย พัชระปัดปอยผมเส้นเล็กที่ปรกหน้าตาลูกสาวแล้วยิ้มบาง“เป็นไงเรา ลูกขี้แยของพ่อ ทำไมใส่ชุดคนไข้เหมือนกันเลย” “คือ..หนู” เอรินอึกอัก“ลูกเป็นห่วงพ่อก็เลยเป็นลมไป แต่ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องห่วงจ้ะ” อติมาตอบแทนเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของสามีอีก พัชระเป็นห่วงเอรินมากยิ่งกว่าตัวเอง หล่อนกลัวว่าสามีอาจจะเครียดเกินไป “ใช่ค่ะพ่อ... อาหมอบอกว่าหนูแข็งแรงดีแล้วกลับบ้านได้แล้ว” “แน่ใจนะ”พัชระถามย้ำแล้วเหลือบมองภรรยา ไม่ได้สนใจอาการป่วยของตัวเองแต่เป็นห่วงเอรินมากกว่า“ลูกก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว พี่หมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วง” อติมาตอบ“งั้นเรากลับบ้านกันดีกว่านะ แม่ บอกหมอว่าขอออกโรงพยาบาลวันนี้เลย ป่านนี้แขกคงเยอะเจ้าพวกนั้นดูแลกันไม่ไหวแน่ พ่อคิดว่าเราควรต้องรีบกลับบ้านสวนได้แล้วนะ” “แต่ แต่แม่ว่า เรา” อติมาอึกอักสองคนที่เป็นดั่งดวงใจยังไม่รู้เรื่องที่เกิดกับบ้านสวน ป่านนี้พนักงานคงไม่เป็นอันทำงานหลังรู้ข่าวจากทนายให้ย้ายออก ความกังวลส่งผ่านออกมาทาง
“เฮ้ย! ฉันไม่เกี่ยว แกก็รู้ว่าฉันอยู่สมุยจะไปรู้เรื่องอะไรด้วย” กองปฏิเสธเสียงเข้ม“ก็ให้มันจริงเถอะ ถึงยังไงบ้านนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ดองกันแล้วพี่ก็รู้ ฉันรู้ด้วยว่าทั้งหมดมันเพราะฝีมือพี่”พิมพามองค้อนพี่ชาย น้ำเสียงจริงจังเหมือนตำหนิ ทำให้กองขยับตัวอึดอัดแล้วถามด้วยความข้องใจ“แล้วแกจะเดือดร้อนทำไม ดูให้มันเป็นเรื่องสนุกไปสิ”“สนุกไม่ไหวหรอก ฉันรู้ว่าลูกมันรักเขาข้างเดียวมานานแล้ว แต่พี่ใจดำมากนะ ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ใช่ใคร เขาเป็นหลานของเราเหมือนกัน หรือว่าพี่ลืมไปแล้ว”“ฉันก็แค่อยากให้ไอ้พัชมันกระอัก”กองสีหน้าสับสน วูบหนึ่งพิมพารู้สึกว่าเขารู้สึกถึงสำนึกผิดชอบ แต่เพราะอารมณ์โกรธเกลียดบังตาทำให้เรื่องที่ผ่านไปแล้วย้อนกลับมาให้วุ่นวายใจอีก“อโหสิกันไปไม่ได้เหรอ พี่พัชเขาก็เป็นพ่อหลานสะใภ้ของเราแล้ว” “แกพูดง่าย จำไม่ได้หรือไงที่มันหยามเรา” น้ำเสียงกราดเกรี้ยวยามที่พูดถึงคนที่เป็นเหตุให้น้องสาวตนต้องลาจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร ทำให้พิมพาถึงกับสะดุ้ง“มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย นั่นมันเป็นอุบัติเหตุพี่เข้าใจไหม!” พิมพาขึ้นเสียงบ้าง“ไม่รู้เว้ย! ถ้ามันไม่มาแทรกกลางแ
คำขอบคุณจากใจสะท้อนผ่านน้ำเสียงใสของสาวน้อยตาแป๋วบนเตียง ราเชลทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะพูดอะไรต่อก็เลยขอตัวกลับดื้อๆ กรณ์มองตามหญิงสาวที่ยังคงปั้นปึ่งเดินหนีไม่มองหน้ามองตาอย่างจนใจ “จะไปไหน เดี๋ยวสิ รอก่อน ผมไปส่ง” ไม่ได้ผลราเชลไม่สนใจอีกตามเคย ร่างสูงเพรียวเดินหน้าเชิดออกไปจากห้องราวกับไม่ได้ยินเสียงเรียกของเขา กรณ์ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ขุ่นเคืองแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ “ยักษ์นี่ ไม่รู้อะไรเลย ผู้หญิงงอนนายต้องตามง้อรู้” “งอนอะไร ไม่มีอะไรต้องงอนซะหน่อย” “ไม่งอนได้ไง คุณราเชลเค้าเห็นตอนที่นายกอดฉันพอดี ใครเค้าจะชอบให้คนที่รักใส่ใจคนอื่นล่ะ” “ไม่จริงหรอก ถ้าคนรักกันชอบกันทำไมไม่ฟังกันเลยล่ะ” กรณ์ยังคงปฏิเสธสีหน้าครุ่นคิดไม่หาย ลุกลี้ลุกลนจนผิดสังเกต เอรินได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาเมื่อเห็นเพื่อนรักหมดท่าก็คราวนี้กับสาวใหญ่อายุมากกว่าถึงแปดปีอย่างราเชล “ตกลงจะไม่ตามใช่ไหม เกิดเธองอนกลับลอนดอนไป จะมีปัญญาไปตามไหม” เอรินหมั่นเขี้ยวคนปากแข็ง แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเพื่อนรักคิดอย่างไรก
ไม่พูดพล่ามทำเพลง ชานนท์ทะลุกลางปล้องออกมา ภิรณีย์ถึงกับหุบยิ้ม สีหน้าเครียดขึ้นมาเล็กน้อยแต่ยังทำใจดีสู้เสือ “อะไรกันลูก มาเหนื่อยๆ กินอะไรมารึยัง เดี๋ยวแม่ให้เด็กหาให้ดีไหม” “ไม่ต้องครับ ไม่อยากเสียเวลา เรื่องพ่อของเอรินมีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกบ้าง มีคนบอกว่าคุณแม่รู้ดีที่สุด หมายความว่ายังไงครับ” ชานนท์คาดคั้นไม่สนใจน้ำเสียงห่วงใยภิรณีย์ตาวาวนึกโกรธอติมาที่ไม่จัดการเรื่องกับพัชระอย่างเงียบๆ แต่กลับโบ้ยให้ชานนท์มา“ใครมันคาบข่าวมาบอกละ แม่ไปรู้จักพวกนั้นเสียที่ไหน”“แน่ใจนะครับ แต่แม่เอรินบอกว่าคุณแม่เท่านั้นที่ตอบได้” ชานนท์คาดคั้น มองแม่ตาวาว “ก็ได้! อยากรู้มากใช่ไหมว่าทำไมแม่ถึงขัดขวางลูก เพราะแม่ไม่อยากให้ลูกต้องมาเสียเวลากับเด็กคนนั้น เธอไม่มีอะไรเทียบได้กับลูกของแม่สักอย่าง”“เอาอะไรมาวัดว่าใครเหมาะหรือไม่เหมาะกับผม”ภิรณีย์ทำหน้าเศร้าเข้าเกาะแขนลูกชาย เอาน้ำเย็นเข้าลูบ “แม่ก็ไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่ว่า” “กับเอรินไม่ว่าต้องเสียเวลามากเท่าไหร่ผมก็ไม่แคร์ เธอเป็นเมียผม เป็นผู้หญิงของผม แม่อย่าขัดขวางเราเลยได้ไหมครับ” ชานนท์
อติมายื่นซองเอกสารให้ด้วยมือสั่นระริก เขาส่ายหน้าปฏิเสธไม่ยอมรับทั้งอ้อนวอนอติมาอีกครั้ง “แต่คุณแม่ครับ ผมกับเอรินเรารักกัน อยากอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ไม่ต้องขยับขยายโยกย้ายใดๆ ทั้งสิ้น ผมรับรองว่าทุกคนได้อยู่ต่อ ผมจะเคลียร์กับคุณแม่ให้รู้เรื่อง กรุณาด้วยเถอะนะครับ” “อย่าเลย ต่อไปไม่ต้องเรียกว่าแม่อีกนะ น้าเสียใจที่เคยเอ็นดูคุณ” ชานนท์ยื้อไว้ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเอรินยืนอยู่หน้าประตูระเบียง ดวงหน้านวลสวยซูบซีด ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งลุกขึ้นจากเตียงมาทันได้ยินเข้าพอดี ดวงตากลมมีน้ำตาคลอหน่วยมองมาด้วยความผิดหวัง ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับหน้าซีด “แม่ขา เอาเอกสารนั่นมาให้หนู” น้ำเสียงเบาหวิวของเอริน ทั้งยังดวงตาแดงก่ำที่จ้องมอง ทำให้ชานนท์ใจหาย “เอริน! จะทำอะไร เอาเอกสารนั่นมาให้พี่” ชานนท์อุทานเสียงดังทันทีที่เอรินคว้าเอาเอกสารจากมือแม่ได้ ก็หันหลังกลับไม่ยอมสบตา ท่าทางลนลานมือสั่นระริกที่หยิบปากกาในสมุดโน๊ตไม่สนใจเสียงเรียกของชานนท์ที่โดนอติมาข
ชานนท์หันขวับมามองสีหน้าเครียดแต่ไม่ตอบอะไร รีบไปขึ้นรถตัวเองแล้วสตาร์ททันที ไม่สนใจกรณ์ที่รอค้าง“ลุงกับคุณหนูเป็นลม ป้าไปกับรถพยาบาลแล้ว ปื๊ดไปก่อนนะครับคุณกรณ์ก็ รีบตามไปนะ”“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ”“โรงพยาบาลปากทางนะคุณกรณ์!” ปื๊ดตะโกนบอกแทนแล้วรีบวิ่งตามไปขึ้นรถเมื่อเสียงแตรดังติดๆ กันหลายครั้งจนเจ้าอ้วนต้องอุดหูรีบขึ้นนั่งข้างคนขับทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม “ใจเย็นๆ นะคุณ หนูเอรินน่าจะไม่เป็นไรหรอกเพราะเป็นบ่อยเหลือเกิน แต่ลุงนี่สิ ปื๊ดไม่เคยเห็นลุงเป็นขนาดนี้มาก่อนเลย ดีว่าป้าเป็นพยาบาลเก่ารู้จักวิธีปฐมพยาบาล” “ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องผู้ชายคนนั้น” “อ้าว... ไม่อยากรู้ได้ยังไง ลุงเป็นพ่อตาคุณนะ” ปื๊ดทำหน้างงจ้องรอคำตอบ ชานนท์รู้ตัวว่าแสดงออกมาเกินไปจึงเปลี่ยนเรื่อง “เอรินไม่สบายบ่อยหรือ” “บ่อยมาก ตอนเด็กก็เกือบตายไปที เข้าไอซียูเป็นเดือนๆ เลยคุณ” “ทำไม” ชานนท์สะกิดใจถาม “ก็โดนรถชนตอนเด็กๆ ห้าขวบได้มั้ง ผ่าตัดข้ามวันข้ามคืน ลุงกับป้าบอกว่ารอดมาได้เหมือนปาฏิหารย์ แต่ก็อย่างว่าแหละคุณ ลุงต้องเป็นหนี้เป็