อวี๋เซวียนได้ฟังถึงกับทอดถอนใจ “ใช่ มันคือสิ่งที่เจ้าควรทำและต้องทำ”“แต่ข้าทำให้ท่านแม่ต้องเสียใจที่ต้องนับญาติกับสองผัวเมียใจร้ายนั่น” อวี๋เซวียนงันไป มิใช่แค่ความรู้สึกของบุตรชายที่ต้องรักษาแต่เพราะเรื่องความสัมพันธ์ของนางกับเศรษฐีฟางในอดีต ไม่มีผู้ใดในเมืองนี้ไม่รู้เพราะครอบครัวของฟางเหยียนดูถูกดูแคลนนางมาตลอดและอวี๋เสิ่นเฉินรับรู้มาตลอดแต่เรื่องมันก็แล้วไปแล้ว...สายน้ำมิเคยหวนกลับเช่นไร...อดีตของนางก็มิอาจหวนคืนกลับไปได้เช่นนั้น...ยังดีที่อวี๋เสิ่นเฉินเป็นเพียงบุตรบุญธรรม มิเช่นนั้นนางไม่อยากนึกเลยว่าเหตุการณ์จะยุ่งเหยิงอีรุงตุงนังกันถึงเพียงไหน“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าแม่รักเจ้า”“ข้ารู้ ข้ารู้ดีว่าท่านแม่รักข้ามากขนาดไหน” อวี๋เสิ่นเฉินเงยหน้าตาแดงก่ำมอง “หากไม่มีท่านแม่ชุบเลี้ยง ข้าคงเป็นเพียงเด็กกำพร้าข้างถนนไร้คนเหลียวแลมิได้ร่ำเรียนหนังสือ”“แม่ดีใจที่เจ้าไม่ลืมลมหายใจดั้งเดิมของเจ้า”“ข้าไม่มีวันลืม!” อวี๋เสิ่นเฉินละล่ำละลัก“เช่นนั้นพรุ่งนี้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรเสีย นึกว่าเห็นแก่แม่และชื่อเสียงเหลาบุปผาของเราอย่าให้ใครมาตราหน้าว่าไร้ความละอาย”“แต่ข้าต้องอยู่กับนางตราบชีว
หลี่ชงเหอมือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมาประมวลความคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ย “ยังหรอก ข้ายังตบแต่งนางมิได้ นางยังไม่ทำให้ข้าวางใจ” “นั่นก็มิได้ นี่ก็ไม่ดี กระหม่อมเกรงว่าเรื่องนางจะทำให้ท่านอ๋องต้องลำบาก”“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เรื่องหลังบ้านข้า ข้าจัดการได้”เฉินเผิงซู่ที่เป็นทั้งองครักษ์และเพื่อนเล่นในวัยเด็กเพราะเป็นบุตรของแม่ทัพใหญ่ถึงกับหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีมั่นใจแต่ก็หวาดระแวงของผู้เป็นนาย เขารู้สึกอยู่ไม่น้อยว่ายามนี้อารมณ์ส่วนตัวของอ๋องสามหลี่ชงเหอผู้น่าหวาดหวั่นในสายตาผู้คนกำลังตกอยู่ในห้วงรักที่อยู่นอกเหนือเหตุการณ์บ้านเมืองล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้เห็น ช่างน่าประหลาดแท้...ทว่ากิริยาท่าทีอ้ำอึ้งของเฉิงเผิงซู่ที่ดูยำเกรงก็ทำให้นึกสงสัย“มีเรื่องอันใดที่เจ้าอยากบอกข้าหรือไม่”“ก็มีอยู่แต่คงมิได้สลักสำคัญอันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ว่ามา” หลี่ชงเหอเค้นถามอย่างไม่ใคร่ใส่ใจเพราะมัวแต่มองเหม่อไปยังกระท่อมที่ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ“วันก่อนเผ่าหรวนส่งทูตคนใหม่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่เมืองหลวง แต่ทว่าทรงมิให้เข้าพบอ้างเหตุประชวรจึงให้ทูตฝ่ายนั้นกลับไป”“กลับไปก็ดีแล้ว แต่ว่าเหตุใดพวกมันยังปร
ฟางถิงถิงถึงกับนิ่งอั้นตันคอ รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นมาจุกอยู่ที่ลิ้นปี่แม้จะกลืนน้ำลายลงคอยังยากลำบาก ยามนี้นางมีสภาพไม่ต่างจากเด็กกำพร้าสิ้นไร้ไม้ตอกนางจะอยู่ก็ตาย ไม่ตายก็ถูกปรามาสให้ได้รับความอับอาจ จะกลับก็ไร้สิ้นหนทางและสถานะให้กลับไป ไม่สู้ตามคนผู้นี้ไปหาครอบครัวที่แท้จริงไม่ดีกว่า...“ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกหากเจ้าสัญญากับข้า” นางต่อรองสีหน้าขึงขังคิดจะต่อรองเช่นนั้นรึ...หึหึ…หลี่ชงเหอกระตุกยิ้มเยาะหยันก่อนเอ่ย “เจ้าอยู่ในสถานะที่จะทำเช่นนั้นได้รึกวางน้อย”“ข้ามิใช่กวางน้อย”“ก็ได้ ไม่เป็นกวางน้อยหรือจะเป็นหมูน้อยแทน”“ข้าไม่เป็น! ไม่เป็น ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น” นางพร่ำบอกพลางผลักไสอ้อมแขนแกร่งที่กำลังรุกรานอีกหลี่ชงเหอซ่อนรอยยิ้มพึงใจก่อนจะปล่อยนางเป็นอิสระแล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นขึงขังก่อนเอ่ย “ก็ได้ เจ้าคงเหนื่อย ข้าไม่กวนแล้ว เจ้านอนเถอะ”พูดจบหลี่ชงเหอก็ผุดลุกหมุนตัวหันหลังออกไปจากกระท่อมแต่ยังไม่พ้นประตูก็ชะงักหันมาที่นาง“นอนเสีย พรุ่งนี้เราต้องเดินทางต่อ”“แล้วไหนเจ้าว่าที่นี่เป็นบ้านเจ้า”“ที่นี่แค่โรงนาที่เอาไว้พักค้างคืนก่อนเดินทางต่อเท่านั้น”“แล้วบ้านเจ้าล่ะ”“บ้านข้า
หลี่ชงเหอไม่ตอบกลับหมุนตัวเดินต่อไปทรุดนั่งยังริมตลิ่ง ก้มหน้าก้มตาตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ที่หยิบมาจากหน้ากระท่อม พอเสร็จก็เดินเลี่ยงฟางถิงถิงนำไปที่กระท่อมหน้าตาเฉย นางถึงกับงุนงงแต่ก็ต้องเดินแกมวิ่งตามร้องเรียก แต่หลี่ชงเหอกลับไม่นำพา“นี่เจ้า! หยุดก่อน ข้าบอกให้หยุด” หลี่ชงเหอไม่หยุดรีบเดินกลับเข้ามาในตัวบ้าน วางกระบอกน้ำบนโต๊ะแล้วเดินไปที่มุมหนึ่งในกระท่อมหยิบผ้าเก่าๆ ผืนหนึ่งขึ้นมาปูลวกๆ บนแคร่ไม้ไผ่แล้วล้มตัวลงนอนหนุนแขนตัวเองขณะจ้องฟางถิงถิงที่หยุดยืนตรงหน้าประตูไม่วางตา “นั่นคือที่นอนของเจ้ารึ” “มานี่สิ มานอนกัน” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ายังไม่ง่วง”“ก็ตามใจ” เขาตอบพลันเปลี่ยนอิริยาบทเป็นนอนตะแคงจ้องนางด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มฟางถิงถิงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นางค่อยๆ เดินฉากหนีไปที่มุมห้องพอได้ที่เหมาะก็ทรุดนั่งชันเข่าระแวงระวัง ดวงตากวางจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตาจนเขาผุดลุกนั่ง นางถึงกับสะดุ้งเฮือก“มานอนนี่สิ ถิงถิง” เขาเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าก็ง่วงเต็มที”“ข้ายังไม่ง่วง” นางย้ำคำเดิมหลี่ชงเหอยักไหล่ล้มตัวลงนอน ตามองมาที่นางแล้วขับลำนำเบา
ฟางลี่หลิวรุดมานั่งตรงข้ามเอ่ยถาม “แล้วโจรพวกนั้นที่มันลอบเข้ามาพาตัวถิงถิงไปเล่าท่านแม่ ตามไม่เจอหรือ หรือว่าพวกมันพาถิงเอ๋อร์ไปไกลแล้ว หรือว่าถิงเอ๋อร์โดนพวกมันปล้นราคะ ตายแล้ว!”ฟางเหยียนถึงกับตบโต๊ะก่อนจะเอ็ดเสียงดัง “เจ้าจะบ้ารึ หลิวเอ๋อร์ มาพูดเรื่องตงตายอะไรกัน!”“ก็แล้วเหตุใดหาตัวนางไม่เจอล่ะท่านแม่”“ข้าก็ไม่รู้”“ท่านแม่ไปกับท่านน้าแท้ๆ เหตุใดจึงได้แต่บอกไม่รู้ไม่รู้”“ก็ข้าไม่รู้จริงๆ” ฟางเหยียนตอบเพียงนั้นก็กุมขมับหน้าเครียดก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงได้แต่พึมพำ “แต่โจรสองคนที่น้าเจ้าตามไปเจอมิใช่คนธรรมดาอย่างเราๆ น่าสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดคนระดับนั้นถึงมาโผล่ที่นี่ให้เข้าใจผิดได้ ข้าคิดจนหัวจะแตกก็ยังคิดไม่ออก”“แล้วคนที่ท่านน้าไปเจอเขาเป็นใครหรือท่านแม่” นางเอ่ยถามกระตือรือร้นแล้วก็ต้องตบอกผางกับคำตอบ“ก็น้าเจ้าบอกว่าเขาคืออ๋องสี่แห่งตำหนักเหมันต์ น้องชายแท้ๆ ขององค์ฮ่องเต้อย่างไรเล่า”“ท่านแม่จะบอกว่าคนที่ลักพาตัวถิงเอ๋อร์ไปเป็นคนผู้นั้นหรือท่านแม่”“ข้าก็ไม่รู้ ตอนนี้ข้าสับสนไปหมดแล้ว เจ้าก็อย่าถามมากความเลย มันหายไปแล้วก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องอยู่เป็นหอกข้างแคร่เราอีกไม่ดีรึ”
“ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร ทั้งเนื้อทั้งตัวข้าไม่มีสมบัติติดตัวมาสักชิ้น”“แต่ข้าว่าหากเจ้าขายนางให้หอนางโลมที่ไหนสักแห่งก็คงได้เงินทองมากโขอยู่” หม่าชิงเทียนเอ่ยเสียงเข้มให้สมบทบาทเต็มที่ฟางถิงถิงฟังแล้วถึงกับผงะ ดวงตากวางเคลือบคลอน้ำตาขณะเหลียวมองหลี่ชงเหอที่งันไป ในใจนางยามนี้เริ่มร้อนรนหากคนผู้นี้คิดทำเช่นที่พวกมันบอกจริงด้วยการขายนางเข้าหอนางโลมมิเท่ากับว่าหนีเสือปะจระเข้หรอกหรือ “ว่าอย่างไร...ไอ้พ่อค้าหน้าโง่! เอาเงินที่โกงพวกข้าคืนมาสามพันตำลึงแล้วจบกัน หาไม่แล้วก็ส่งนางนี่มา”หม่าชิงเทียนตวาดพลันสาวเท้าเข้าหาพร้อมชักกระบี่ออกจากฝักจ่อไปยังทั้งสอง“ขะ ข้า ข้าไม่มีเงินเลยนายท่าน”“เช่นนี้เห็นทีต้องจัดการทั้งคู่แล้วเอาศพพวกมันไปทิ้งให้เป็นเหยื่อนกกา”“ไม่นะ! ข้ายังมีที่ต้องไป ข้ายังตายไม่ได้” ฟางถิงถิงถอยหลังกรูดจนชนกับหลี่ชงเหอที่ยืนอยู่ด้านหลัง นางละล้าละลังเพราะจวนตัว “จะเอายังไงก็เอาสักทางสิคนถ่อย”“ขะ ข้า ข้าไม่รู้!”หลี่ชงเหอแสร้งกลัวจนลนลานแล้วคว้าร่างอรชรเข้ามากอดแล้วส่งเสียงกร้าวตอบ “เช่นนี้แล้วเราก็ตายด้วยกันเถอะนะ”“เจ้าไม่มีเงินเลยเหรอ ให้พวกมันไปก่อนสักเล็