ราวกับโลกทั้งใบไร้สรรพเสียง จินฮุ่ยอิงคล้ายสติไม่อยู่กับเนื้อตัว คนผู้นี้มิรู้ชื่อเรียงเสียงใดแต่กลับทำให้นางใจสั่นสะท้านคล้ายดั่งมีผีเสื้อน้อยวนเวียนนับร้อยนับพัน กระทั่งก้าวออกมาจากร้าน นางก็ถูกรถม้าพุ่งตรงมาด้วยความเร็วสุดที่จะหลบหนีได้
ทว่า...
“แม่นาง! เป็นอย่างไรหรือไม่”
นางรู้สึกหมุนคว้างเหมือนลอยในอากาศ จู่ๆ ก็ถูกดึงไว้ด้วยอ้อมแขนอันอบอุ่น ครั้นลืมตาตั้งสตินางจึงพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนของชายคนเดิม ร่างนุ่มนิ่มถึงคราสั่นสะท้านเพราะมิเคยต้องมือชายใด นางบังเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นในใจเสียแล้ว...
“คุณหนู! คุณหนู!”
จินฮุ่ยอิงสะดุ้งสุดตัวผุดลุกขึ้นหันหลังให้บุรุษหนุ่มรูปงาม จัดแต่งเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อยแล้วหันกลับมาปรากฏว่าชายคนนั้นพลันหายไป
“คุณหนูหายไปไหนมา บ่าวตามหาจนทั่วตลาดแล้ว”
“ข้ามิได้ไปไหน แค่อยากจะแวะซื้อแพรพรรณเนื้อดีสักผืนสองผืนอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดซิงซินแล้ว ข้าอยากตัดชุดให้นางเป็นของขวัญ”
“คุณหนูซิงซินคงดีใจที่คุณหนูใหญ่ตั้งใจทำให้” สาวใช้ตอบรับสีหน้ายิ้มแย้มไม่ต่างกัน
“เจ้าช่วยข้าเลือกสิว่าสีไหนดีระหว่างสีขาวกับสีชมพู”
“สีชมพู อ๊ะ! หรือสีขาวดี อย่างคุณหนูซิงซินวันวันไม่รู้เรื่องราวอะไรกับใครเขา ใส่เป็นสีขาวน่าจะเหมาะกับเด็กอายุสามขวบมากแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวติงพูดจบก็หัวเราะขบขันแต่พอเห็นแววตาผู้เป็นนายก็หยุดหัวเราะทันควัน
จินฮุ่ยอิงหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้ เพราะรู้แก่ใจว่าน้องสาวของนางที่แท้แล้วไม่ต่างอะไรกับเด็กสามขวบแม้วัยล่วงเลยมาจนจะข้ามกำแพงสวนดอกไม้แล้ว...
ทั้งสองพักหายเหนื่อยในโรงเตี๊ยมต่างสำรวจข้าวของที่ซื้อหาอย่างตื่นตาตื่นใจ จินฮุ่ยอิงได้ผ้าแพรไหมหลากสีรวมถึงสีขาวที่ตั้งใจทำให้น้องสาวในพิธีจีหลี่ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ในขณะที่เป็นธุระจัดหาของไหว้ร่วมกับสาวใช้คนสนิทท่ามกลางการห้ามปรามของมารดาที่ไม่ยินดียินร้ายในตัวบุตรสาวคนเล็กของสามีไม่
แต่นางหรือจะดูดายได้...
“เจ้าดูสิว่าได้ของไหว้ครบแล้วหรือไม่”
เสี่ยวติงทอดถอนใจก่อนตอบ “ครบทุกอย่างเจ้าค่ะ ทั้งหมู เป็ด ไก่ ซาก้วย ผลไม้สามอย่าง ขนมสามอย่าง ชาเปี้ยแล้วก็...” นางพูดไม่ทันจบก็หัวเราะขบขันก่อนกระซิบผู้เป็นนายว่า “ซากั๊กเล้าก้วย ด้วยเจ้าค่ะ”
“เจ้าช่างทะลึ่งตึงตัง อย่าพูดเรื่อยเปื่อยอายคน” นางถึงกับหน้าเห่อร้อนทันใด
“จะเป็นไรเล่าเจ้าคะ ผู้หญิงเราพอออกจากสวนดอกไม้แล้วก็ต้องพบคู่ทุกคน มิมีใครเป็นดอกไม้รอวันโรยราอยู่ตลอดไปได้หรอกเจ้าค่ะ”
“มีสิ”
“คุณหนูหมายถึงข้าใช่หรือไม่” เสี่ยวติงกระเซ้าไม่มีทีท่าวิตกกังวลเรื่องที่ตนเป็นบ่าวและอาจไร้วาสนามีคู่เคียงเช่นใครเขา
แต่จินฮุ่ยอิงส่ายหน้าแล้วเอ่ย “หมายถึงตัวข้าต่างหาก”
“คุณหนู! ไยพูดเช่นนั้นเจ้าคะ” เสี่ยวติงจับมือคุณหนูของนางบีบเบาๆ ก่อนเอ่ย “อย่าได้พูดเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ คุณหนูยังเพิ่งสิบเจ็ดเท่านั้นเอง ยังมีหมู่ภมรอีกมากมายที่ยังบินมาไม่ถึงดอกไม้งามดอกนี้ คุณหนูไม่มีวันเฉาโรยราอยู่กับบ้านเปล่าเปลี่ยวแน่ๆ เจ้าค่ะ”
“ขอบใจติงติง คงมีแต่เจ้าที่เข้าใจข้า” นางรำพึงเบาๆ ก่อนจะปาดน้ำตาแล้วเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
“อย่าเพิ่งคิดมากเลย จิบน้ำชานี้ดีกว่ารสชาติดีมากจริงๆ คุณหนู” เสี่ยวติงปลอบพลางส่งผ้าเช็ดหน้าให้แล้วรินน้ำชาส่งให้เอาใจ
จินฮุ่ยอิงรับไปจิบพลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวเมื่อครู่ที่พบบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง นางคงได้แต่ฝันไปว่าสักวันจะมีใครสักคนที่ทั้งอ่อนโยนมีน้ำใจรับนางไว้เป็นคู่ร่วมหอสักคน แต่นางก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุยอย่างออกรสจากโต๊ะข้างๆ
“ข้าได้ยินว่าวันนี้มีขบวนรถม้าใหญ่โตมาที่เยือนเมืองฉู่ของเราด้วย”
“ขบวนหรือ ขบวนอะไรกัน”
“เขาว่ากันว่าขบวนแม่สื่อจากวังหลวงจะมาสู่ขอคุณหนูใหญ่ตระกูลจินให้อ๋องสี่หลี่หลานหมิง”
“ว่ากันว่าอ๋องสี่ผู้นี้เหี้ยมโหด ฆ่าคนเป็นผักปลา ใครไม่ถูกใจไม่ฆ่าก็โบย ได้ยินว่าไม่มีสตรีนางใดทนความร้ายกาจของอ๋องสี่ผู้นี้ได้สักราย”
ชายสองคนคุยไปร่ำสุราไปอย่างสบายอารมณ์โดยไม่รู้เลยว่าจินฮุ่ยอิงที่นั่งไม่ไกลได้ยินทุกคำถึงกับตัวชาไปแล้วอย่างไม่รู้ตัว
คุณหนูใหญ่ตระกูลจินเช่นนั้นหรือ?
นางได้ยินไม่ผิดแน่!
เป็นไปไม่ได้!
แต่ทั่วทั้งเมืองฉู่จะมีใครกันเล่านอกจากนาง...
ตะวันลับฟ้า สุดสายตามีเพียงแสงรำไร...
ดรุณีน้อยในชุดสีฟ้าอ่อนพลิ้วไหวไปตามแรงลมยกมือป้องแสงครู่หนึ่งจึงกระโดดโลดเต้นท่ามกลางเหล่ากระต่ายป่าขาวฟูขนนวลนุ่มที่เล็มหญ้าอยู่ริมลำธาร
“ตุ้งตุ้ง มาหาข้าเดี๋ยวนี้เลย อย่าหนีนะ!”
นางร้องเรียกแต่กระต่ายตัวที่หมายตากระโดดหนีนางจนตัวมันลื่นตกแอ่งน้ำตื้นแล้วเกาะก่ายรากไม้ขึ้นมาได้แต่ตัวเปียกมะล่อกมะแล่กสร้างเสียงหัวเราะกังวานใสของดรุณีน้อยให้ดังขึ้นท่ามกลางเสียงน้ำตกไหลรินเอื่อยๆ
“ข้าบอกว่าอย่าหนีข้า เจ้าก็ไม่ฟังเลยตุ้งตุ้ง”
เสิ่นเฉินพูดจบก็หันหลังกลับไปทางเดิม แต่ไม่ทันได้ไปอย่างใจก็ถูกน้ำเสียงตัดพ้อดักทางไว้อีก“คิดจะเดินหนีข้าอีกแล้วรึ!” นางตวาดอย่างคนเอาแต่ใจแล้วไพล่หาเรื่องต่อ “อย่าหาเรื่องทะเลาะกับข้าเพราะถิงถิงนะ ข้าไม่ยอม”“ถิงถิงมาเกี่ยวอะไร”“ก็เจ้าน่ะ...” ฟางลี่หลิวเอ่ยเพียงนั้นก็ยั้งไว้ จะให้พูดได้อย่างไรว่านางได้ยินเขาละเมอเรียกชื่อน้องสาวบุญธรรมของนางช่างน่าโมโหเสียจริงๆเมื่อใดกันที่นางจะก้าวพ้นจากการเป็นเงาของฟางถิงถิง น้องสาวบุญธรรมที่หาควรคู่กับเสิ่นเฉินแม้แต่หัวนอนปลายเท้าก็หามีไม่ ยังริอาจมาเทียบชั้นกับนาง“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบให้เจ้าถามถึงนาง”“ข้าถามถึงในฐานะเพื่อนก็เท่านั้น เจ้าน่ะคิดมาก” เขาเสียงอ่อนลงแล้วรวบมือเล็กๆ มากุมก่อนจะดึงร่างนุ่มนิ่มเข้ามาใกล้กดจูบเบาๆ หนึ่งที “หากข้าไม่มีใจต่อเจ้าข้าคงไม่ทำเช่นนี้”“เจ้าจะบอกว่าที่ทำไปนั้นเพราะรักข้าหรือเพราะที่แท้เห็นข้าเป็นตัวแทนใคร”“ไม่มีหรอกน่า” อวี๋เสินเฉินหลบตาวูบก่อนตอบ “เจ้าอย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย” “ก็แล้วข้าควรคิดหรือไม่เล่า” นางน้ำเสียงออดอ้อนขึ้นมาทันทีที่ถูกเอาใจ ขณะสบดวงตาอวี๋เสิ่นเฉินที่เพ่งมอง ยิ่งเขาทำท่าทีอึ
ถึงแม้ภายในคฤหาสน์จะมีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น แต่ฟางลี่หลิวที่อยู่ด้านนอกกลับยังไม่รู้เพราะมัวแต่พลอดรักอยู่กับอวี๋เสิ่นเฉิน นักดนตรีหนุ่มรูปงามแห่งเหลาบุปผาที่ชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เลื่องลืออีกทั้งยังเป็นคนรักของที่มีสถานะต่ำชั้นกว่าฟางลี่หลิวเพราะอวี๋เสิ่นเฉินเป็นบุตรชายคนเดียวของอวี๋เหลียนเถ้าแก่เนี้ยเหลาบุปผา เพราะความหลังเก่าก่อนของมารดาทำให้เขากับฟางลี่หลิวถูกกีดกัน แต่คนอย่างฟางลี่หลิวหรือจะยอมแพ้ นางที่นิสัยดื้อรั้นยังคงลักลอบพบปะกับเขาเป็นประจำ และครั้งนี้ก็เช่นกันที่อวี๋เสิ่นเฉินใจอ่อนยอมอยู่สองต่อสองกับนางในโรงเตี๊ยมเก่าๆ ท้ายตรอกเจ็ดที่แสนห่างไกลผู้คน“เจ้ายังไม่พอใจอีกรึ ลี่หลิว”“ยัง ยังไม่ ไม่มีวันพอ” นางกระซิบเสียงแผ่วแล้วระดมจูบริมฝีปากหนาหวานฉ่ำรสรักไม่ลดละ“ข้าว่าดึกมากแล้วนะ เจ้าควรกลับไปได้แล้ว”“ไม่กลับ กว่าข้าจะได้อยู่สองต่อสองกับเจ้าก็ยากลำบากจะแย่แล้ว”“วันหน้าก็ยังมี” “แต่ข้าแทบมิอยากรอแม้แต่ชั่วยามเดียว” นางไม่เพียงปฏิเสธความหวังดีของคนรักแต่ยังดื้อรั้นอีกอวี๋เสิ่นเฉินพรูลมหายใจอึดอัดก่อนจะดันร่างระหงที่คร่อมทับเขาอย่างกระหายขึ้นแล้วเบี่ยง
“คุณหนูรองดื้อรั้นจะเก็บฝักบัวให้คุณหนูใหญ่ ก็เลย ก็เลยตกลงไป เป็นข้าเองเจ้าค่ะ ที่มิได้ดูแลคุณหนูให้ดี...” เชียนเอ๋อร์หรือจูลี่เชียนลูกสาวคนเดียวของจูชิงเอ่ยเพียงนั้นก็ยกแขนเสื้อปิดหน้าร่ำไห้ “หากคุณหนูเป็นอะไรไปข้าจะทำยังไง”“ใจเย็นๆ” ผู้บิดาปลอบ“อ้าว! ที่แท้เป็นคุณหนูรองหรอกรึ” สาวใช้อาวุโสถามหน้าง้ำ“ใช่แล้ว ก็ต้องเป็นคุณหนูรองของข้า หรือจะเป็นคุณหนูใหญ่ไปได้เล่า”“โธ่เอ๊ย เช่นนั้นก็ช่างเถอะ นางโลดโผนออกปานนั้น ข้าว่าไม่นานคงขึ้นมาจากน้ำได้เอง”“เอ๊ะ! ป้า!”จูลี่เชียนรู้ดีว่านางไม่ถูกชะตาฟางถิงถิงเป็นทุนเดิมเพราะบังอาจตีเสมอคุณหนูใหญ่ผู้เป็นที่รักของนาง แต่ก็มิกล้าแสดงออกมากนักเพราะเกรงใจพ่อบ้านใหญ่ที่ให้ความเอ็นดูคุณหนูกำพร้าอยู่เสมอ “นี่มิใช่เวลามากความ ข้าว่ามัวแต่ทะเลาะเบาะแว้งมิทันการคุณหนูจมน้ำกันพอดี”จูลี่เชียนได้ฟังก็ยู่หน้าพลันชี้มือไปกลางสระที่มีร่องรอยกระเพื่อมของน้ำเป็นวงกว้างก่อนละล่ำละลักต่อ “แต่... แต่ว่ามี... มี มีคน... คน ชะ... ช่วย...”“ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดเถอะลูกพ่อ ระวังโรคลมชักของเจ้ากำเริบ” พ่อบ้านว่าพลางตบบ่าลูกสาวอย่างร้อนใจก่อนหันไปตวาดบ่าวชายร่างบึกบึนที่
ทางด้านกวางน้อยเนื้ออ่อนที่ไม่รู้ตัวว่าจะถูกเหยี่ยวทะเลทรายจอมวายร้ายจับกิน ยังคงง่วนอยู่กับการเก็บฝักบัวอย่างสนุกสนาน “คุณหนูขึ้นมาเถิด ระวังจะตกเรือนะเจ้าคะ”“ไม่ได้หรอกเชียนเอ๋อร์ ข้าต้องเก็บฝักบัวให้หลิวเอ๋อร์ก่อน” ฟางถิงถิงเอ่ยพลันเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้วัยใกล้เคียงกันกับนางร้องเสียงหลงห้าม “โธ่! ให้เด็กๆ เก็บให้แทนเถิดนะเจ้าคะ”“ไม่ได้หรอก หากเก็บไม่ถูกใจ มีหวังพวกเจ้าถูกหลิวเอ๋อร์ดุเอา เห็นทีไม่ดีแน่” ดรุณีน้อยว่าพลางก้มหน้าก้มตามองหาฝักบัวขนาดพอเหมาะทั่วทั้งสระเต็มไปด้วยบัวสีขาวบานสะพรั่งไม่ต่างจากฝักบัวอวบงามที่ชูช่อรออยู่ นางค่อยๆ เลือกอย่างพิถีพิถันจนเจอที่หมายตา แต่ทว่ามันช่างไกลสุดมือเอื้อม“อีกนิดเดียว โธ่! เชียนเอ๋อร์ เจ้าจับเรือให้ข้าที ข้าจะเอื้อมไปเด็ดฝักบัวดอกนั้น”“แต่มันไกลมากนะเจ้าคะคุณหนู!”“เถอะน่า เจ้าก็รอบนศาลาแล้วผูกเชือกกับเรือให้ข้า ข้าอยากเอามันไปให้หลิวเอ๋อร์ ถ้านางเห็นต้องดีใจมากแน่ๆ”นางว่าพลางค้อมตัวไปข้างหน้า มือหนึ่งเกาะกาบเรือแน่น อีกมือเอื้อมสุดปลายมือแต่คว้าได้แต่ลม“โอ๊ย! ไกลไป ข้าเอื้อมไม่ถึง เจ้าปล่อยเชือกอีกนิดสิเชียน
หลี่ชงเหอแค่นยิ้มหยันขณะเดินตามเศรษฐีฟางเข้ามาด้านในคฤหาสน์ตระกูลฟางใหญ่โตโอ่โถงสมฐานะเศรษฐีใหญ่ฟางจงซวิ่นผายมือเชื้อเชิญเขาอีกทั้งพินอบพิเทาเป็นอย่างมาก“ไม่ทราบว่าบ้านข้าคับแคบเช่นนี้ นายท่านจะพักได้หรือไม่” เศรษฐีฟางถูมือถูไม้ผายมือให้ “เรือนนี้เหมาะที่สุดแล้วสำหรับแขกระดับนายท่านที่อุตส่าห์ตอบรับคำเชิญ”หลี่ชงเหอหันกลับมากระตุกยิ้มเย็นชาก่อนเอ่ย “ที่นี่ดีเกินกว่าที่ข้าคิดไว้มาก มิทราบว่าเป็นการรบกวนท่านมากไปหรือไม่ หากว่ารบกวน ข้าก็...”“หามิได้ๆ แค่นายท่านยอมมาพักที่คฤหาสน์ของข้า ก็นับว่าเป็นเกียรติมากแล้ว”“ข้าเองก็เป็นแค่พ่อค้าวานิช จะมีศักดิ์มีศรีใดเทียบเท่าคนใหญ่คนโตได้เล่า”“แต่นายท่านมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าไว้จากพวกโจรป่า ข้าน้อยต้องตอบแทน”“ก็แค่ข่วยเหลือกันยามมีภัย มิใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดต้องต้อนรับขับสู้ถึงเพียงนี้”“แต่ข้าน้อยไม่ลืม นายท่านก็เป็นผู้มีเกียรติที่ข้าน้อยนับถือและอยากทำการค้าร่วมด้วยไปอีกนานๆ หากเป็นไปได้ก็อยากทวงถามสัญญาที่เคยฝากฝังบุตรีกับนายท่านด้วย”“ข้าไม่ลืมหรอก”“เช่นนั้นนายท่านตกลงปลงใจแล้วหรือไม่ขอรับ”“ตกลงปลงใจอย่างไร”หลี่ชงเหอแม้รู้แต่แกล้งไขสื
ร่างอรชรในชุดบางพลิ้วสีฟ้าสีหน้าตระหนกสุดขีดเมื่อเห็นคมกระบี่วาววับผ่านเข้ามาในครรลองสายตา ไม่เพียงเท่านั้นมันยังจ่อที่ลำคอของนางในระยะประชิดจนรู้สึกถึงความเย็นเฉียบเมื่อแรกสัมผัสฟางถิงถิงตัวสั่นงันงกเมื่ออีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาดวงหน้าแนบชิดอย่างจงใจ “ทำอะไร” “ข้ามิได้ทำ!” หลี่ชงเหอมองปราดไปที่มือนางก่อนตะคอกถาม “หลักฐานคามือยังว่ามิได้ทำรึ!” ฟางถิงถิงถึงคราวจำนนจนปล่อยหลักฐานที่ว่าหลุดมือไปต่อหน้า สุดที่หลี่ชงเหอจะรั้งไว้เพราะมันหายลับไปในรัตติกาลเสียแล้ว “นี่เจ้า! รู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป อยากตายใช่หรือไม่!” เขาตะคอกซ้ำกำข้อมือนางกระชากเข้าหาจนร่างอรชรปะทะเข้ากับอกแกร่ง “ก็คือ คือ ข้า ข้ามิได้” นางละล่ำละลักขณะเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากอีกฝ่ายและรู้ตัวว่าถูกรั้งไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่ง “นี่เจ้า! เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้านะ!” “ไม่ปล่อยหากเจ้าไม่บอกเจตนาของเจ้า” “ข้ามิได้มีเจตนาร้ายหรอกน่า” นางเสียงแข็ง ดวงตาวาวโรจน์จ้อง “หากไม่ปล่อย ข้าจะร้องให้คนช่วย” หลี่ชงเหอกระตุกยิ้มมุมปากกระชับร่างอรชรแน่