“ได้ยินว่าอีกไม่นานจะมีงานมงคลใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่”
“งานมงคล?”
“เป็นเช่นนั้น”
“คุณชายคุณหนูตระกูลไหนหรือ”
ชายหน้าเหลี่ยมผิวดำแดง กรามนูนเด่นชัด แววตาล่อกแล่กเหลือบมองผู้คนบนโรงเตี๊ยมเห็นว่ามิมีผู้ใดสนใจใครก็กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์บอก “เรื่องมงคลเช่นนี้ เห็นแก่เจ้าที่เป็นเพื่อนข้าหรอกนะ”
ชายที่ถูกยกยอจนใจฟูจึงกระตือรือร้นเอียงหูไปใกล้ไม่วายถาม “เช่นนั้นเล่ามาเถิด... พี่ชาย”
คนถูกเรียกพี่ชายลอบยิ้มก่อนป้องปากกระซิบ “แต่หน้าต่างมีหู ประตูมีตา ข้าเกรงว่าเจ้าจะ...”
“หากกลัวข้าเอาไปพูดต่อ คราวหน้าก็อย่าเอามาเล่าให้ข้าฟัง... เหอะ!” ชายร่างอ้วนเอ่ยวาจาฉุนเฉียว วงหน้ากลมดุจลูกพุทธาเริ่มออกสีแดงก่ำเพราะอากาศร้อนจนพานหงุดหงิดอีกทั้งไม่ได้คำตอบที่คาใจเพราะคนที่บอกว่าเพื่อนทำราวกับไม่เชื่อกัน มืออวบอ้วนกระแทกจอกสุราลงบนโต๊ะก่อนโยนเศษเงินลงบนโต๊ะทันที
“ใจเย็นก่อน เรื่องนี้เด็ดจริงๆ นา”
“หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องเล่าแล้ว ข้ามิได้อยากรู้”
ชายหน้าเหลี่ยมดวงตาโหลลึกหนวดเคราเป็นระเบียบที่เพิ่งถูกเอ็ดอึงใส่ส่งแววตาเจ้าเล่ห์ไปยังชายหนุ่มชุดสีดำสนิทสวมหมวกปีกกว้างครอบทับผ้าบางสีดำนั่งอยู่ถัดไปไม่ไกลก่อนจะกระตุกยิ้มพึงพอใจ เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าให้จึงเอนตัวเข้าหาคู่สนทนาครานี้ร่ายยาว
“หา!”
“เป็นเรื่องจริง”
“สมรสพระราชทานระหว่างอ๋องสี่หลี่หลานหมิงผู้เย็นชากับคุณหนูตระกูลจินนะรึ” ชายร่างอ้วนถามกลับไม่พอยังตาเบิกกว้างคล้ายเชื่อคล้ายไม่เชื่อละล่ำละลักถามต่อ “คนไหนล่ะ คนพี่หรือคนน้อง”
“ว่ากันตามธรรมเนียมก็ต้องคนพี่ เพราะว่าหากเป็นคนน้องล่ะก็... หึหึ” หยุดคำพูดไว้เท่านั้นทำให้อีกฝ่ายสนใจทันใด “ช่างเถอะๆ อีกไม่นานเกินรอ”
“เช่นนั้นก็เล่าให้ข้าฟังบ้าง“
เมื่อทุกอย่างสมดังความตั้งใจ เรื่องราวจึงพร่างพรูออกมาจากริมฝีปากของคนเปิดประเด็น ส่วนคนฟังเก็บรายละเอียดทุกอย่างดังที่ต้องการก่อนเอ่ย “เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ เชื่อได้หรือไม่สุดแท้แต่เจ้า ข้าเพียงได้ยินข่าวลือมาเท่านั้น”
“ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จล้วนเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดี ครานี้เห็นทีข้าต้องประกาศข่าวงานมงคลนี้ให้รู้ทั่วกัน”
ชายร่างอ้วนผู้ล่วงรู้ความลับของราชสำนักเก็บอาการลิงโลดไว้ไม่มิด มืออวบๆ โบกพัดไล่ความร้อนไปมา ไม่รู้ว่าใจหรือกายสิ่งใดร้อนกว่า ครั้นจะเอ่ยคำพูดต่อก็กลับเป็นว่าอีกฝ่ายหันหลังเดินลงบันไดไปเสียแล้วจึงได้แต่มองตามหลังชายร่างสูงในชุดเทาเข้มที่เพิ่งบอกข่าวให้เขาเมื่อครู่ไปอย่างนอบน้อมแม้อีกฝ่ายจะไม่มีตาหลังมองเห็น
แต่หากจะเป็นเช่นนั้นได้...
เขาก็คงรู้ว่าคำพูดทั้งหมดที่ตั้งจะถูกถ่ายทอดออกไปสู่สาธารณะชนสมดังตั้งใจในไม่ช้า..
ชายชุดดำสวมหมวกปีกกว้างวางเศษเงินลงบนโต๊ะ ดวงหน้าเสี้ยมเผยรอยยิ้มมุมปากที่มองแทบไม่ออกว่ามันคือรอยยิ้มชนิดใดกันแน่ เขาหยิบกระบี่ขึ้นมาอย่างใจเย็นกระทั่งเดินลงบันไดโรงเตี๊ยมไปอีกทาง ในใจครุ่นคิดถึงแต่คนที่แสนชิงชังคิดหวังไว้ให้คนผู้นี้ต้องเจ็บช้ำจากการกระทำที่เคยทำไว้เมื่อนานมาแล้ว
หลี่หลานหมิง...
เจ้าคนจองหองอวดดี เป็นแค่อ๋องปลายแถวยังกล้ากำแหง!
เห็นทีความสว่างไสวหยิ่งยโสโอหังเยี่ยงพยัคฆ์ของเจ้าจะต้องถูกดับด้วยความโกลาหลจนแทบไม่เป็นอันทำอะไรแทบเท้าข้า!
หนึ่งเดือนต่อมา...
ท่าน้ำทิศตะวันออกเฉียงเหนือเมืองฉู่ ยามอิ๋ว
ก่อนตะวันลับลาแสง หนทางมุ่งสู่ประตูเมืองแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากหน้าเดินสวนไปมาจับจ่ายซื้อของเต็มไม้เต็มมือ ดรุณีงามในชุดไหมจีนอ่อนชมพูบางพลิ้ววางหวีไม้ประดับลายดอกไม้ด้วยมุกเล็กสีขาวปนชมพูลงที่เดิมเพราะร่างเตี้ยผอมเพรียวในชุดสีแสดที่วิ่งเข้ามาดึงดูดความสนใจของนางไปก่อน
“คุณหนูรีบกลับกันได้แล้วเจ้าค่ะ ใกล้มืดค่ำแล้วนายท่านจะดุเอา”
“ช้าก่อนเถอะอาติง ข้ายังดูของที่ต้องการไม่หมดเลย” เสียงหวานกังวานออกจากริมฝีปากแย้มยิ้มแต่สีหน้ากลับบ่งบอกความขุ่นเคืองที่ถูกขัดใจ แต่ถึงอย่างไรดวงหน้าแช่มช้อยก็ยังคงงดงามอยู่ดี
“แต่ฮูหยินบอกว่าวันนี้จะมี...”
“ช่างเถอะๆ ข้ากลับไปค่อยแก้ตัวกับท่านแม่ก็ได้”
“คุณหนูใหญ่” สาวใช้ได้แต่อิดออดแต่มิอาจขัดความตั้งใจของผู้เป็นนายได้
จินฮุ่ยอิงละสายตาจากสาวใช้กลับมายังเป้าหมายที่มองไว้ก่อนหน้า รีบเดินเข้าไปด้านในร้านที่ลมพัดพลิ้วสีสันของเนื้อผ้าบางเบาเป็นที่ต้องใจ อึดใจต่อมาจึงปรากฏร่างสูงกำยำของบุรุษผู้หนึ่งเดินตามเข้าไป
“อาติง เจ้าดูสิว่าชิ้นนี้เหมาะกับซิงซินของข้าหรือไม่” นางเอ่ยถาม ครั้นไร้เสียงตอบรับจึงหันไปหา “ข้าถามว่า... อ๊ะ!”
“แม่นางผู้นี้คือ...”
“จินฮุ่ยอิง”
นางเผลอตอบเสียงอ่อนหวานโดยไม่รู้ตัว แม้กระนั้นก็มิอาจขัดขืนเมื่อเขารั้งนางไว้จากด้านหลัง กระทั่งอีกฝ่ายปล่อยมือจินฮุ่ยอิงจึงพลิกตัวหันกลับมาเผชิญหน้าจึงพบคนผู้นี้ส่งยิ้มบาดใจมาอีกครา
“ยินดีที่ได้พบแม่นางจิน เจ้าช่างงดงามอย่างที่ข้ามิเคยพานพบผู้ใดในเมืองฉู่เสมอเหมือน”
“คุณชายกล่าวเกินไปแล้ว ข้าขอตัว”
จินฮุ่ยอิงผละออกมาไม่พูดพร่ำทำเพลง นางตระหนกแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าคนผู้นี้มิใช่เสี่ยวติงบ่าวประจำตัวแต่กลับเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามไปแทนเสียได้
เสิ่นเฉินพูดจบก็หันหลังกลับไปทางเดิม แต่ไม่ทันได้ไปอย่างใจก็ถูกน้ำเสียงตัดพ้อดักทางไว้อีก“คิดจะเดินหนีข้าอีกแล้วรึ!” นางตวาดอย่างคนเอาแต่ใจแล้วไพล่หาเรื่องต่อ “อย่าหาเรื่องทะเลาะกับข้าเพราะถิงถิงนะ ข้าไม่ยอม”“ถิงถิงมาเกี่ยวอะไร”“ก็เจ้าน่ะ...” ฟางลี่หลิวเอ่ยเพียงนั้นก็ยั้งไว้ จะให้พูดได้อย่างไรว่านางได้ยินเขาละเมอเรียกชื่อน้องสาวบุญธรรมของนางช่างน่าโมโหเสียจริงๆเมื่อใดกันที่นางจะก้าวพ้นจากการเป็นเงาของฟางถิงถิง น้องสาวบุญธรรมที่หาควรคู่กับเสิ่นเฉินแม้แต่หัวนอนปลายเท้าก็หามีไม่ ยังริอาจมาเทียบชั้นกับนาง“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบให้เจ้าถามถึงนาง”“ข้าถามถึงในฐานะเพื่อนก็เท่านั้น เจ้าน่ะคิดมาก” เขาเสียงอ่อนลงแล้วรวบมือเล็กๆ มากุมก่อนจะดึงร่างนุ่มนิ่มเข้ามาใกล้กดจูบเบาๆ หนึ่งที “หากข้าไม่มีใจต่อเจ้าข้าคงไม่ทำเช่นนี้”“เจ้าจะบอกว่าที่ทำไปนั้นเพราะรักข้าหรือเพราะที่แท้เห็นข้าเป็นตัวแทนใคร”“ไม่มีหรอกน่า” อวี๋เสินเฉินหลบตาวูบก่อนตอบ “เจ้าอย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย” “ก็แล้วข้าควรคิดหรือไม่เล่า” นางน้ำเสียงออดอ้อนขึ้นมาทันทีที่ถูกเอาใจ ขณะสบดวงตาอวี๋เสิ่นเฉินที่เพ่งมอง ยิ่งเขาทำท่าทีอึ
ถึงแม้ภายในคฤหาสน์จะมีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น แต่ฟางลี่หลิวที่อยู่ด้านนอกกลับยังไม่รู้เพราะมัวแต่พลอดรักอยู่กับอวี๋เสิ่นเฉิน นักดนตรีหนุ่มรูปงามแห่งเหลาบุปผาที่ชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เลื่องลืออีกทั้งยังเป็นคนรักของที่มีสถานะต่ำชั้นกว่าฟางลี่หลิวเพราะอวี๋เสิ่นเฉินเป็นบุตรชายคนเดียวของอวี๋เหลียนเถ้าแก่เนี้ยเหลาบุปผา เพราะความหลังเก่าก่อนของมารดาทำให้เขากับฟางลี่หลิวถูกกีดกัน แต่คนอย่างฟางลี่หลิวหรือจะยอมแพ้ นางที่นิสัยดื้อรั้นยังคงลักลอบพบปะกับเขาเป็นประจำ และครั้งนี้ก็เช่นกันที่อวี๋เสิ่นเฉินใจอ่อนยอมอยู่สองต่อสองกับนางในโรงเตี๊ยมเก่าๆ ท้ายตรอกเจ็ดที่แสนห่างไกลผู้คน“เจ้ายังไม่พอใจอีกรึ ลี่หลิว”“ยัง ยังไม่ ไม่มีวันพอ” นางกระซิบเสียงแผ่วแล้วระดมจูบริมฝีปากหนาหวานฉ่ำรสรักไม่ลดละ“ข้าว่าดึกมากแล้วนะ เจ้าควรกลับไปได้แล้ว”“ไม่กลับ กว่าข้าจะได้อยู่สองต่อสองกับเจ้าก็ยากลำบากจะแย่แล้ว”“วันหน้าก็ยังมี” “แต่ข้าแทบมิอยากรอแม้แต่ชั่วยามเดียว” นางไม่เพียงปฏิเสธความหวังดีของคนรักแต่ยังดื้อรั้นอีกอวี๋เสิ่นเฉินพรูลมหายใจอึดอัดก่อนจะดันร่างระหงที่คร่อมทับเขาอย่างกระหายขึ้นแล้วเบี่ยง
“คุณหนูรองดื้อรั้นจะเก็บฝักบัวให้คุณหนูใหญ่ ก็เลย ก็เลยตกลงไป เป็นข้าเองเจ้าค่ะ ที่มิได้ดูแลคุณหนูให้ดี...” เชียนเอ๋อร์หรือจูลี่เชียนลูกสาวคนเดียวของจูชิงเอ่ยเพียงนั้นก็ยกแขนเสื้อปิดหน้าร่ำไห้ “หากคุณหนูเป็นอะไรไปข้าจะทำยังไง”“ใจเย็นๆ” ผู้บิดาปลอบ“อ้าว! ที่แท้เป็นคุณหนูรองหรอกรึ” สาวใช้อาวุโสถามหน้าง้ำ“ใช่แล้ว ก็ต้องเป็นคุณหนูรองของข้า หรือจะเป็นคุณหนูใหญ่ไปได้เล่า”“โธ่เอ๊ย เช่นนั้นก็ช่างเถอะ นางโลดโผนออกปานนั้น ข้าว่าไม่นานคงขึ้นมาจากน้ำได้เอง”“เอ๊ะ! ป้า!”จูลี่เชียนรู้ดีว่านางไม่ถูกชะตาฟางถิงถิงเป็นทุนเดิมเพราะบังอาจตีเสมอคุณหนูใหญ่ผู้เป็นที่รักของนาง แต่ก็มิกล้าแสดงออกมากนักเพราะเกรงใจพ่อบ้านใหญ่ที่ให้ความเอ็นดูคุณหนูกำพร้าอยู่เสมอ “นี่มิใช่เวลามากความ ข้าว่ามัวแต่ทะเลาะเบาะแว้งมิทันการคุณหนูจมน้ำกันพอดี”จูลี่เชียนได้ฟังก็ยู่หน้าพลันชี้มือไปกลางสระที่มีร่องรอยกระเพื่อมของน้ำเป็นวงกว้างก่อนละล่ำละลักต่อ “แต่... แต่ว่ามี... มี มีคน... คน ชะ... ช่วย...”“ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดเถอะลูกพ่อ ระวังโรคลมชักของเจ้ากำเริบ” พ่อบ้านว่าพลางตบบ่าลูกสาวอย่างร้อนใจก่อนหันไปตวาดบ่าวชายร่างบึกบึนที่
ทางด้านกวางน้อยเนื้ออ่อนที่ไม่รู้ตัวว่าจะถูกเหยี่ยวทะเลทรายจอมวายร้ายจับกิน ยังคงง่วนอยู่กับการเก็บฝักบัวอย่างสนุกสนาน “คุณหนูขึ้นมาเถิด ระวังจะตกเรือนะเจ้าคะ”“ไม่ได้หรอกเชียนเอ๋อร์ ข้าต้องเก็บฝักบัวให้หลิวเอ๋อร์ก่อน” ฟางถิงถิงเอ่ยพลันเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้วัยใกล้เคียงกันกับนางร้องเสียงหลงห้าม “โธ่! ให้เด็กๆ เก็บให้แทนเถิดนะเจ้าคะ”“ไม่ได้หรอก หากเก็บไม่ถูกใจ มีหวังพวกเจ้าถูกหลิวเอ๋อร์ดุเอา เห็นทีไม่ดีแน่” ดรุณีน้อยว่าพลางก้มหน้าก้มตามองหาฝักบัวขนาดพอเหมาะทั่วทั้งสระเต็มไปด้วยบัวสีขาวบานสะพรั่งไม่ต่างจากฝักบัวอวบงามที่ชูช่อรออยู่ นางค่อยๆ เลือกอย่างพิถีพิถันจนเจอที่หมายตา แต่ทว่ามันช่างไกลสุดมือเอื้อม“อีกนิดเดียว โธ่! เชียนเอ๋อร์ เจ้าจับเรือให้ข้าที ข้าจะเอื้อมไปเด็ดฝักบัวดอกนั้น”“แต่มันไกลมากนะเจ้าคะคุณหนู!”“เถอะน่า เจ้าก็รอบนศาลาแล้วผูกเชือกกับเรือให้ข้า ข้าอยากเอามันไปให้หลิวเอ๋อร์ ถ้านางเห็นต้องดีใจมากแน่ๆ”นางว่าพลางค้อมตัวไปข้างหน้า มือหนึ่งเกาะกาบเรือแน่น อีกมือเอื้อมสุดปลายมือแต่คว้าได้แต่ลม“โอ๊ย! ไกลไป ข้าเอื้อมไม่ถึง เจ้าปล่อยเชือกอีกนิดสิเชียน
หลี่ชงเหอแค่นยิ้มหยันขณะเดินตามเศรษฐีฟางเข้ามาด้านในคฤหาสน์ตระกูลฟางใหญ่โตโอ่โถงสมฐานะเศรษฐีใหญ่ฟางจงซวิ่นผายมือเชื้อเชิญเขาอีกทั้งพินอบพิเทาเป็นอย่างมาก“ไม่ทราบว่าบ้านข้าคับแคบเช่นนี้ นายท่านจะพักได้หรือไม่” เศรษฐีฟางถูมือถูไม้ผายมือให้ “เรือนนี้เหมาะที่สุดแล้วสำหรับแขกระดับนายท่านที่อุตส่าห์ตอบรับคำเชิญ”หลี่ชงเหอหันกลับมากระตุกยิ้มเย็นชาก่อนเอ่ย “ที่นี่ดีเกินกว่าที่ข้าคิดไว้มาก มิทราบว่าเป็นการรบกวนท่านมากไปหรือไม่ หากว่ารบกวน ข้าก็...”“หามิได้ๆ แค่นายท่านยอมมาพักที่คฤหาสน์ของข้า ก็นับว่าเป็นเกียรติมากแล้ว”“ข้าเองก็เป็นแค่พ่อค้าวานิช จะมีศักดิ์มีศรีใดเทียบเท่าคนใหญ่คนโตได้เล่า”“แต่นายท่านมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าไว้จากพวกโจรป่า ข้าน้อยต้องตอบแทน”“ก็แค่ข่วยเหลือกันยามมีภัย มิใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดต้องต้อนรับขับสู้ถึงเพียงนี้”“แต่ข้าน้อยไม่ลืม นายท่านก็เป็นผู้มีเกียรติที่ข้าน้อยนับถือและอยากทำการค้าร่วมด้วยไปอีกนานๆ หากเป็นไปได้ก็อยากทวงถามสัญญาที่เคยฝากฝังบุตรีกับนายท่านด้วย”“ข้าไม่ลืมหรอก”“เช่นนั้นนายท่านตกลงปลงใจแล้วหรือไม่ขอรับ”“ตกลงปลงใจอย่างไร”หลี่ชงเหอแม้รู้แต่แกล้งไขสื
ร่างอรชรในชุดบางพลิ้วสีฟ้าสีหน้าตระหนกสุดขีดเมื่อเห็นคมกระบี่วาววับผ่านเข้ามาในครรลองสายตา ไม่เพียงเท่านั้นมันยังจ่อที่ลำคอของนางในระยะประชิดจนรู้สึกถึงความเย็นเฉียบเมื่อแรกสัมผัสฟางถิงถิงตัวสั่นงันงกเมื่ออีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาดวงหน้าแนบชิดอย่างจงใจ “ทำอะไร” “ข้ามิได้ทำ!” หลี่ชงเหอมองปราดไปที่มือนางก่อนตะคอกถาม “หลักฐานคามือยังว่ามิได้ทำรึ!” ฟางถิงถิงถึงคราวจำนนจนปล่อยหลักฐานที่ว่าหลุดมือไปต่อหน้า สุดที่หลี่ชงเหอจะรั้งไว้เพราะมันหายลับไปในรัตติกาลเสียแล้ว “นี่เจ้า! รู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป อยากตายใช่หรือไม่!” เขาตะคอกซ้ำกำข้อมือนางกระชากเข้าหาจนร่างอรชรปะทะเข้ากับอกแกร่ง “ก็คือ คือ ข้า ข้ามิได้” นางละล่ำละลักขณะเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากอีกฝ่ายและรู้ตัวว่าถูกรั้งไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่ง “นี่เจ้า! เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้านะ!” “ไม่ปล่อยหากเจ้าไม่บอกเจตนาของเจ้า” “ข้ามิได้มีเจตนาร้ายหรอกน่า” นางเสียงแข็ง ดวงตาวาวโรจน์จ้อง “หากไม่ปล่อย ข้าจะร้องให้คนช่วย” หลี่ชงเหอกระตุกยิ้มมุมปากกระชับร่างอรชรแน่