จินซิงซินนั่งลงบนโขดหินช้อนกระต่ายขาวหูเทาตัวอวบที่สุดขึ้นมาวางบนตักลูบไล้ด้วยความรักใคร่ ดวงตาของมันแดงเหมือนสีชาดแต่หูกลับแซมสีเทาอ่อนประปรายดูโดดเด่นที่สุดในบรรดากระต่ายขาวทั้งหมด
กระทั่งเสียงแมลงกลางคืนเริ่มส่งเสียงร้องกระต่ายป่าจึงกระโดดผลุงจากอ้อมกอด จินซิงซินลุกพรวดพราดตามแต่เพียงครูมันก็หายลับไปจากสายตา นางจึงรู้ว่านั่งอยู่จนค่ำมืด ดวงหน้านวลใสราวหยกเนื้ออ่อนออกอาการตื่นกลัวทันใด
“มืดแล้ว! เสี่ยวเซียนช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!”
สิ้นเสียงเรียก...
ทันใดก็มีเงาร่างทะมึนพุ่งตรงมา จินซิงซินเสียหลักหงายหลังจะตกโขดหินจึงถูกฝ่ามือใหญ่จากเจ้าของร่างทะมึนตะครุบริมฝีปากเสียก่อน นางดิ้นรนขัดขืนแต่ไม่เป็นผลจนน้ำตาไหลเป็นทางครู่หนึ่งจึงมีเสียงดังจากคนด้านหลังขึ้นว่า
“กระต่ายน้อย... ถ้าไม่หยุดร้องระวังจะถูกเสือจับกิน”
ร่างสูงใหญ่ในชุดยาวสีดำอำพรางกายอุ้มร่างบอบบางไร้เรี่ยวแรงฝ่ากำแพงความมืดของรัตติกาลเข้ามาในกระโจมที่ตั้งอยู่บริเวณป่าละเมาะไม่ไกลกันกับน้ำตกสืออู่อันเป็นต้นทางแม่น้ำที่ไหลผ่านเข้าสู่ตัวเมืองฉู่ท่ามกลางสายตานับสิบคู่ของเหล่าทหารเวรยามที่พากันลอบมองด้วยความสนใจใคร่รู้ ไม่เว้นแม้แต่ร่างสูงใหญ่พอกันกับผู้เป็นนายที่กำลังร่ำสุราอยู่หน้ากระโจมของตนจนถึงกับโยนจอกสุราทิ้งตามเข้าไปด้านในทันที
“ท่านอ๋อง! เหตุใดจึงได้?”
“เหตุใดอะไรของเจ้า บอกแล้วว่าออกนอกกำแพงวังให้เรียกข้าว่าอย่างไร”
“แต่ว่าท่านอ๋อง เอ่อ! พี่หลานหมิง” คนถูกปรามรีบเอ่ยแก้แต่ไม่วายถามสิ่งสงสัย “แล้วแม่นางผู้นั้นคือใครกันแล้วมากับท่านได้อย่างไรแล้วเป็นอะไรเหตุใดจึง...”
“ไม่รู้”
“ไม่รู้หรือ?”
“หรือข้าต้องรู้เรื่องของคนอื่น” อ๋องสี่หลี่หลานหมิงตอบสีหน้าเรียบเฉยขณะนั่งลงข้างเตียงมองร่างสลบไสลไม่ได้สติอย่างพินิจพิเคราะห์ สีหน้าที่ไม่บ่งท่าทีทำให้อีกฝ่ายออกอาการกระอักกระอ่วนไม่สบายใจ
“แล้วไปพาตัวนางมาจากที่ใดกันหรือ”
“ข้าเก็บได้ที่ชายป่าไผ่”
“เก็บได้ที่ป่าไผ่?”
หลี่หลานหมิงหรืออ๋องสี่ที่ผู้คนโจษย์ขานกันว่าแสนกักขฬะเย็นชาไร้ใจ ฆ่าคนเป็นผักปลา ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้าแขกมิได้รับเชิญซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นสหายสนิทพ่วงด้วยตำแหน่งองครักษ์คู่ใจนามว่าหม่าชิงเทียนผู้ถามซอกแซกอย่างไม่มีผู้ใดเทียบ
“ใช่… ดูเหมือนเจ้าจะยังสงสัยอีก”
“ก็ต้องสงสัยสิพี่หลานหมิง ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าพวกเรามาที่นี่เพื่อสิ่งใด”
“นั่นเรื่องของเจ้า มิใช่เรื่องของข้า ข้ามิได้ต้องการมาเพราะเรื่องนั้น”
หม่าชิงเทียนผู้ถูกโบ้ยภาระใส่หน้าตาเฉยถึงกับหน้าถอดสี ลำพังเป็นที่รองมือรองเท้าอ๋องสี่หลี่หลานหมิงก็พอทำเนาแต่นี่เพราะได้รับบัญชาจากฮ่องเต้ต้าหลี่มีหรือทหารชั้นผู้น้อยอย่างเขาจะกล้าขัดพระบัญชาของโอรสสวรรค์กันเล่า แต่เมื่อนึกถึงภาระคนเป็นๆ ตรงหน้า หม่าชิงเทียนก็ต้องทำใจดีสู้เสือดุๆ อย่างหลี่หลานหมิงจนได้
“เอายศถาบรรดาศักดิ์ทิ้งไปก่อน เหตุที่ข้าถามเพราะห่วงใยพี่หลานหมิงมากกว่าว่าเกรงจะหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว หากมิใช่สิ่งที่ฝ่าบาทพึงประสงค์ พี่ก็มิควรทำให้เรื่องยุ่งยากแต่แรก”
“ข้าเก็บกระต่ายป่าหลงมา มันทำให้ยุ่งยากตรงไหน” หลี่หลานหมิงว่าพลางจ้องตาไม่กะพริบ
หม่าชิงเทียนลอบกลืนน้ำลาย หวาดก็หวาด เกรงก็ยังส่วนหนึ่ง แต่ความที่ต้องตัดไฟแต่ต้นลมจำต้องเตือนสติมิให้เกิดเรื่องราวบานปลาย “ข้าเพียงแต่สงสัยว่านางเป็นบุตรสาวบ้านใดถึงทำให้ท่านอ๋องหลานหมิงถึงกับพากลับมาร่วมเตียงในคืนนี้กัน”
“ร่วมเตียงรึ”
“ก็หากมิต้องการหาสตรีงามมาอุ่นเตียงจะพามาเพื่อการใดเล่า”
“ช่างเถอะ!” หลี่หลานหมิงตัดบทก่อนจะนั่งลงที่ตั่งไม่ไกลจากเตียงนอนแล้วกวักมือไล่อีกฝ่ายทันใด “ออกไปได้แล้ว ข้าจะพักผ่อน”
“แต่นางยังอยู่...”
“หรือจะให้ทิ้งไว้กลางป่าให้เสือจับไปกิน”
“เกรงว่าอยู่ในกระโจมก็คงมิแคล้วถูกเสือจับกิน มิคาดอาจจะมิมีเหลือชิ้นดีไว้พรุ่งนี้เช่นกัน” หม่าชิงเทียนค่อนว่าแล้วรีบผลุนผลันออกไปเพราะเจอจอกสุราบินมายังดีที่หลบออกจากกระโจมได้ทัน
หลี่หลานหมิงกระตุกยิ้มไล่หลังก่อนจะหันมาที่ร่างอรชรในชุดบางพลิ้วซึ่งยังคงนอนนิ่งไม่ได้สติแล้วเดินกลับไปนั่งยังตั่งแล้วหยิบจอกรินสุราจนเต็มแก้วแล้วยกดื่มรวดเดียวหมดจอกทันใด
ที่ด้านนอก...
หม่าชิงเทียนกระซิบกระซาบหวังเฉาเสียนองครักษ์คู่ใจอีกคนของหลี่หลานหมิง หวังเฉาเสียนเป็นบุรุษรูปงามอายุอานามพอกันกับอ๋องสี่และอ่อนอาวุโสกว่าหม่าชิงเทียนกว่าสามปีแต่กิริยาวาจาผู้ใหญ่กว่าหม่าชิงเทียนที่ขี้เล่นกว่ามากและรูปงามไม่เท่า แต่ถึงทั้งสองจะได้ชื่อว่าขุนพลหน้าหยกของอ๋องสี่แต่ก็ยังแพ้ผู้เป็นนายที่หาผู้ใดทัดเทียมด้านรูปร่างหน้าตาเท่า
“เจ้าว่าท่านอ๋องทรงเก็บกระต่ายหลงมาได้เช่นนั้นรึ”
“ใช่ ไม่รู้หลงมาจากที่ใด แต่ที่รู้ๆ คือเป็นกระต่ายขาวนวลดูนุ่มนิ่มน่าทะนุถนอมยิ่งนัก”
เสิ่นเฉินพูดจบก็หันหลังกลับไปทางเดิม แต่ไม่ทันได้ไปอย่างใจก็ถูกน้ำเสียงตัดพ้อดักทางไว้อีก“คิดจะเดินหนีข้าอีกแล้วรึ!” นางตวาดอย่างคนเอาแต่ใจแล้วไพล่หาเรื่องต่อ “อย่าหาเรื่องทะเลาะกับข้าเพราะถิงถิงนะ ข้าไม่ยอม”“ถิงถิงมาเกี่ยวอะไร”“ก็เจ้าน่ะ...” ฟางลี่หลิวเอ่ยเพียงนั้นก็ยั้งไว้ จะให้พูดได้อย่างไรว่านางได้ยินเขาละเมอเรียกชื่อน้องสาวบุญธรรมของนางช่างน่าโมโหเสียจริงๆเมื่อใดกันที่นางจะก้าวพ้นจากการเป็นเงาของฟางถิงถิง น้องสาวบุญธรรมที่หาควรคู่กับเสิ่นเฉินแม้แต่หัวนอนปลายเท้าก็หามีไม่ ยังริอาจมาเทียบชั้นกับนาง“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบให้เจ้าถามถึงนาง”“ข้าถามถึงในฐานะเพื่อนก็เท่านั้น เจ้าน่ะคิดมาก” เขาเสียงอ่อนลงแล้วรวบมือเล็กๆ มากุมก่อนจะดึงร่างนุ่มนิ่มเข้ามาใกล้กดจูบเบาๆ หนึ่งที “หากข้าไม่มีใจต่อเจ้าข้าคงไม่ทำเช่นนี้”“เจ้าจะบอกว่าที่ทำไปนั้นเพราะรักข้าหรือเพราะที่แท้เห็นข้าเป็นตัวแทนใคร”“ไม่มีหรอกน่า” อวี๋เสินเฉินหลบตาวูบก่อนตอบ “เจ้าอย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย” “ก็แล้วข้าควรคิดหรือไม่เล่า” นางน้ำเสียงออดอ้อนขึ้นมาทันทีที่ถูกเอาใจ ขณะสบดวงตาอวี๋เสิ่นเฉินที่เพ่งมอง ยิ่งเขาทำท่าทีอึ
ถึงแม้ภายในคฤหาสน์จะมีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น แต่ฟางลี่หลิวที่อยู่ด้านนอกกลับยังไม่รู้เพราะมัวแต่พลอดรักอยู่กับอวี๋เสิ่นเฉิน นักดนตรีหนุ่มรูปงามแห่งเหลาบุปผาที่ชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เลื่องลืออีกทั้งยังเป็นคนรักของที่มีสถานะต่ำชั้นกว่าฟางลี่หลิวเพราะอวี๋เสิ่นเฉินเป็นบุตรชายคนเดียวของอวี๋เหลียนเถ้าแก่เนี้ยเหลาบุปผา เพราะความหลังเก่าก่อนของมารดาทำให้เขากับฟางลี่หลิวถูกกีดกัน แต่คนอย่างฟางลี่หลิวหรือจะยอมแพ้ นางที่นิสัยดื้อรั้นยังคงลักลอบพบปะกับเขาเป็นประจำ และครั้งนี้ก็เช่นกันที่อวี๋เสิ่นเฉินใจอ่อนยอมอยู่สองต่อสองกับนางในโรงเตี๊ยมเก่าๆ ท้ายตรอกเจ็ดที่แสนห่างไกลผู้คน“เจ้ายังไม่พอใจอีกรึ ลี่หลิว”“ยัง ยังไม่ ไม่มีวันพอ” นางกระซิบเสียงแผ่วแล้วระดมจูบริมฝีปากหนาหวานฉ่ำรสรักไม่ลดละ“ข้าว่าดึกมากแล้วนะ เจ้าควรกลับไปได้แล้ว”“ไม่กลับ กว่าข้าจะได้อยู่สองต่อสองกับเจ้าก็ยากลำบากจะแย่แล้ว”“วันหน้าก็ยังมี” “แต่ข้าแทบมิอยากรอแม้แต่ชั่วยามเดียว” นางไม่เพียงปฏิเสธความหวังดีของคนรักแต่ยังดื้อรั้นอีกอวี๋เสิ่นเฉินพรูลมหายใจอึดอัดก่อนจะดันร่างระหงที่คร่อมทับเขาอย่างกระหายขึ้นแล้วเบี่ยง
“คุณหนูรองดื้อรั้นจะเก็บฝักบัวให้คุณหนูใหญ่ ก็เลย ก็เลยตกลงไป เป็นข้าเองเจ้าค่ะ ที่มิได้ดูแลคุณหนูให้ดี...” เชียนเอ๋อร์หรือจูลี่เชียนลูกสาวคนเดียวของจูชิงเอ่ยเพียงนั้นก็ยกแขนเสื้อปิดหน้าร่ำไห้ “หากคุณหนูเป็นอะไรไปข้าจะทำยังไง”“ใจเย็นๆ” ผู้บิดาปลอบ“อ้าว! ที่แท้เป็นคุณหนูรองหรอกรึ” สาวใช้อาวุโสถามหน้าง้ำ“ใช่แล้ว ก็ต้องเป็นคุณหนูรองของข้า หรือจะเป็นคุณหนูใหญ่ไปได้เล่า”“โธ่เอ๊ย เช่นนั้นก็ช่างเถอะ นางโลดโผนออกปานนั้น ข้าว่าไม่นานคงขึ้นมาจากน้ำได้เอง”“เอ๊ะ! ป้า!”จูลี่เชียนรู้ดีว่านางไม่ถูกชะตาฟางถิงถิงเป็นทุนเดิมเพราะบังอาจตีเสมอคุณหนูใหญ่ผู้เป็นที่รักของนาง แต่ก็มิกล้าแสดงออกมากนักเพราะเกรงใจพ่อบ้านใหญ่ที่ให้ความเอ็นดูคุณหนูกำพร้าอยู่เสมอ “นี่มิใช่เวลามากความ ข้าว่ามัวแต่ทะเลาะเบาะแว้งมิทันการคุณหนูจมน้ำกันพอดี”จูลี่เชียนได้ฟังก็ยู่หน้าพลันชี้มือไปกลางสระที่มีร่องรอยกระเพื่อมของน้ำเป็นวงกว้างก่อนละล่ำละลักต่อ “แต่... แต่ว่ามี... มี มีคน... คน ชะ... ช่วย...”“ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดเถอะลูกพ่อ ระวังโรคลมชักของเจ้ากำเริบ” พ่อบ้านว่าพลางตบบ่าลูกสาวอย่างร้อนใจก่อนหันไปตวาดบ่าวชายร่างบึกบึนที่
ทางด้านกวางน้อยเนื้ออ่อนที่ไม่รู้ตัวว่าจะถูกเหยี่ยวทะเลทรายจอมวายร้ายจับกิน ยังคงง่วนอยู่กับการเก็บฝักบัวอย่างสนุกสนาน “คุณหนูขึ้นมาเถิด ระวังจะตกเรือนะเจ้าคะ”“ไม่ได้หรอกเชียนเอ๋อร์ ข้าต้องเก็บฝักบัวให้หลิวเอ๋อร์ก่อน” ฟางถิงถิงเอ่ยพลันเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้วัยใกล้เคียงกันกับนางร้องเสียงหลงห้าม “โธ่! ให้เด็กๆ เก็บให้แทนเถิดนะเจ้าคะ”“ไม่ได้หรอก หากเก็บไม่ถูกใจ มีหวังพวกเจ้าถูกหลิวเอ๋อร์ดุเอา เห็นทีไม่ดีแน่” ดรุณีน้อยว่าพลางก้มหน้าก้มตามองหาฝักบัวขนาดพอเหมาะทั่วทั้งสระเต็มไปด้วยบัวสีขาวบานสะพรั่งไม่ต่างจากฝักบัวอวบงามที่ชูช่อรออยู่ นางค่อยๆ เลือกอย่างพิถีพิถันจนเจอที่หมายตา แต่ทว่ามันช่างไกลสุดมือเอื้อม“อีกนิดเดียว โธ่! เชียนเอ๋อร์ เจ้าจับเรือให้ข้าที ข้าจะเอื้อมไปเด็ดฝักบัวดอกนั้น”“แต่มันไกลมากนะเจ้าคะคุณหนู!”“เถอะน่า เจ้าก็รอบนศาลาแล้วผูกเชือกกับเรือให้ข้า ข้าอยากเอามันไปให้หลิวเอ๋อร์ ถ้านางเห็นต้องดีใจมากแน่ๆ”นางว่าพลางค้อมตัวไปข้างหน้า มือหนึ่งเกาะกาบเรือแน่น อีกมือเอื้อมสุดปลายมือแต่คว้าได้แต่ลม“โอ๊ย! ไกลไป ข้าเอื้อมไม่ถึง เจ้าปล่อยเชือกอีกนิดสิเชียน
หลี่ชงเหอแค่นยิ้มหยันขณะเดินตามเศรษฐีฟางเข้ามาด้านในคฤหาสน์ตระกูลฟางใหญ่โตโอ่โถงสมฐานะเศรษฐีใหญ่ฟางจงซวิ่นผายมือเชื้อเชิญเขาอีกทั้งพินอบพิเทาเป็นอย่างมาก“ไม่ทราบว่าบ้านข้าคับแคบเช่นนี้ นายท่านจะพักได้หรือไม่” เศรษฐีฟางถูมือถูไม้ผายมือให้ “เรือนนี้เหมาะที่สุดแล้วสำหรับแขกระดับนายท่านที่อุตส่าห์ตอบรับคำเชิญ”หลี่ชงเหอหันกลับมากระตุกยิ้มเย็นชาก่อนเอ่ย “ที่นี่ดีเกินกว่าที่ข้าคิดไว้มาก มิทราบว่าเป็นการรบกวนท่านมากไปหรือไม่ หากว่ารบกวน ข้าก็...”“หามิได้ๆ แค่นายท่านยอมมาพักที่คฤหาสน์ของข้า ก็นับว่าเป็นเกียรติมากแล้ว”“ข้าเองก็เป็นแค่พ่อค้าวานิช จะมีศักดิ์มีศรีใดเทียบเท่าคนใหญ่คนโตได้เล่า”“แต่นายท่านมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าไว้จากพวกโจรป่า ข้าน้อยต้องตอบแทน”“ก็แค่ข่วยเหลือกันยามมีภัย มิใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดต้องต้อนรับขับสู้ถึงเพียงนี้”“แต่ข้าน้อยไม่ลืม นายท่านก็เป็นผู้มีเกียรติที่ข้าน้อยนับถือและอยากทำการค้าร่วมด้วยไปอีกนานๆ หากเป็นไปได้ก็อยากทวงถามสัญญาที่เคยฝากฝังบุตรีกับนายท่านด้วย”“ข้าไม่ลืมหรอก”“เช่นนั้นนายท่านตกลงปลงใจแล้วหรือไม่ขอรับ”“ตกลงปลงใจอย่างไร”หลี่ชงเหอแม้รู้แต่แกล้งไขสื
ร่างอรชรในชุดบางพลิ้วสีฟ้าสีหน้าตระหนกสุดขีดเมื่อเห็นคมกระบี่วาววับผ่านเข้ามาในครรลองสายตา ไม่เพียงเท่านั้นมันยังจ่อที่ลำคอของนางในระยะประชิดจนรู้สึกถึงความเย็นเฉียบเมื่อแรกสัมผัสฟางถิงถิงตัวสั่นงันงกเมื่ออีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาดวงหน้าแนบชิดอย่างจงใจ “ทำอะไร” “ข้ามิได้ทำ!” หลี่ชงเหอมองปราดไปที่มือนางก่อนตะคอกถาม “หลักฐานคามือยังว่ามิได้ทำรึ!” ฟางถิงถิงถึงคราวจำนนจนปล่อยหลักฐานที่ว่าหลุดมือไปต่อหน้า สุดที่หลี่ชงเหอจะรั้งไว้เพราะมันหายลับไปในรัตติกาลเสียแล้ว “นี่เจ้า! รู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป อยากตายใช่หรือไม่!” เขาตะคอกซ้ำกำข้อมือนางกระชากเข้าหาจนร่างอรชรปะทะเข้ากับอกแกร่ง “ก็คือ คือ ข้า ข้ามิได้” นางละล่ำละลักขณะเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากอีกฝ่ายและรู้ตัวว่าถูกรั้งไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่ง “นี่เจ้า! เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้านะ!” “ไม่ปล่อยหากเจ้าไม่บอกเจตนาของเจ้า” “ข้ามิได้มีเจตนาร้ายหรอกน่า” นางเสียงแข็ง ดวงตาวาวโรจน์จ้อง “หากไม่ปล่อย ข้าจะร้องให้คนช่วย” หลี่ชงเหอกระตุกยิ้มมุมปากกระชับร่างอรชรแน่