นางร้องร่ำทั้งน้ำตาควบคุมอารมณ์ไม่ได้เช่นที่ผ่านมาจนเฉินเป่ยอวี๋และเหล่าสมุนตกใจถึงกับผงะออกห่าง หลี่หลานหมิงจะเข้าคว้าตัวแต่นางถูกรั้งไว้อีก“ปล่อยๆ ปล่อยซิงซิน! คนเลว เดนมนุษย์!”“ชิชะ... ด่าเก่งเช่นนี้ข้าชักชอบเจ้าแล้วสิ ไปอยู่บนเขาเป็นฮูหยินของข้าดีหรือไม่แม่นางน้อย” “ไม่ไป!”เพียะ!!เฉินเป่ยอวี๋หน้าหันตามแรงตบ เสียหน้าที่ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกนางทำร้ายถึงกับลืมตัวเงื้อมือขึ้นหมายจะฟาดหน้างามๆ ให้ได้แผลแต่ถูกปัดมือออกอย่างแรง“เจ้าทำเช่นนั้นกับนางไม่ได้!”“ทำมิได้รึ?” เฉินเป่ยอวี๋แม้ชะงักจากปฏิกิริยาของอ๋องพยัคฆ์ผู้หาวหาญแต่ก็หัวเราะร่วนราวกับถูกใจพลันเอ่ยเยาะหยันอีกฝ่ายทันที “เหตุใดทำมิได้ หรือว่า... หรือว่านางมีความสำคัญต่อเจ้า”“นั่นเป็นเรื่องของข้า!”“อ้อ ข้าลืมไปว่านางต้องเป็นคนสำคัญ มิเช่นนั้นจะบังอาจสวมใส่อาภรณ์ของหลินฮองเฮาได้อย่างไร ฮ่า ฮ่า ข้านี่มีตาหามีแววไม่ นางคงมิใช่เป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงที่ท่านอ๋องพามาไว้บำเรอระหว่างเดินทางเป็นแน่”“เจ้าสามหาวนัก!” หลี่หลานหมิงแทบทนฟังคำยั่วเย้าต่ำตมจากอีกฝ่ายมิได้ มือกำกระบี่แน่นจนเส้นโลหิตปูดโปนไมพอเห็นน้ำตากระต่ายน้อยยิ่งทำให้จิ
รถม้าแล่นด้วยความเร็วเท่าที่กำลังจะนำพาผ่านแนวป่าสันเขาลูกสุดท้าย หากพ้นสันเขาลูกนี้ไปได้ก็จะถึงเมืองหลวง แต่ไม่ทันพ้นไหล่เขาก็ต้องหยุดรถกะทันหันเพราะด้านหน้าคือเฉินเป่ยอวี๋พร้อมเหล่าสมุนที่ยืนดักทาง แต่ละคนถือคันธนูไฟจ่อตรงมายังรถม้า ฉับพลันเสียงหัวเราะเยาะหยันก็ดังตามมา“เลิกเล่นได้แล้วท่านอ๋อง” เฉินเป่ยอวี๋เอ่ยเสียงกร้าวหลี่หลานหมิงเห็นทีจวนตัวจึงกระโดดลงจากหลังมาก้าวเข้าหาพร้อมกระบี่คมกริบในมือ “พวกเจ้าต้องการสิ่งใด หรือคิดจะมาปล้น หากเพียงเท่านั้นเจ้าอยากได้อะไรก็เอาไป”“ข้าต้องการตัวรัชทายาทที่อยู่ในรถม้านั่น!”“ในรถม้า?” หลี่หลานหมิงทวนคำสีหน้าปั้นยาก “เจ้าเข้าใจผิดสิ่งใดหรือไม่”“ข้าหรือจะเข้าใจผิด” เฉินเป่ยอวี๋ในชุดหนังสัตว์คาดหลังด้วยธนูคันใหญ่อีกทั้งยังมีอาวุธดาบในมือก้าวเข้ามาเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัวก่อนคำรามเสียงกร้าว “ส่งตัวองค์รัชทายาทมา!”“เหตุใดข้าต้องส่ง”“หรือพวกเจ้าอยากตายกันทั้งหมดเล่า”หลี่หลานหมิงได้ฟังก็หัวเราะหยัน ส่งเสียงดุดันไม่แพ้กัน “ใครกันแน่ที่จะตาย อยากได้นักก็ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ?”“นึกหรือว่าข้ามิกล้าสังหารอ๋องพยัคฆ์ผู้เกรียงไกร”“ข้าก็ไม่คิดว่าจะให้
จินซิงซินมีอาการสั่นสะท้านจนเขานึกสงสารจรดริมฝีปากที่แก้มนวลของนางเบาๆ ก่อนกระซิบข้างหู “หลับแล้วหรือกระต่ายน้อย” เงียบ...ไร้เสียงตอบรับใดๆ มีเพียงเรือนร่างสั่นสะท้านหายใจหอบหนักเท่านั้นที่ทำให้อ๋องพยัคฆ์กระตุกยิ้มมุมปาก ค่อยๆ เอื้อมมือสากลูบไล้เอวคอดกิ่วนอกร่มผ้าของนางก่อนจะเลื่อนผ้าห่มลงทีละนิด นางยังคงเฉยแต่มือกำผ้าห่มแน่นทำให้เขามั่นใจและรู้สึกชอบใจจนอยากแกล้ง“ซิงซิน... หลับจริงหรือ”“หลับแล้ว” นางพึมพำเสียงอู้อี้“หลับแล้วแน่หรือ”“อืม... หลับแล้ว”“หลับแล้วเหตุใดพูดได้”“ข้าละเมอ” นางส่งเสียงเบาๆ ในลำคอแต่ตัวแข็งทื่อขณะถูกมือหนาเอื้อมลงมาล้วงสาบเสื้อจนถูกเนื้อต้องตัวนางใต้ร่มผ้าก่อนจะบีบเบาๆ ที่ทรวงอก จินซิงซินตื่นเต้นจนหายใจติดขัดแต่ครู่หนึ่งมืออุ่นร้อนก็คลายออก“หึหึ ละเมอก็ยังน่ารัก เช่นนั้นหลับเสียเถอะนะ ข้าจะกอดเจ้านอน” หลี่หลานหมิงว่าพลางผุดรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะดึงร่างนางให้หันกลับมารวบร่างเข้ากับอกแล้วกอดเอาไว้ “เจ้าเชื่อใจข้านะกระต่ายน้อย ข้าจะไม่มีวันให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้ ข้าสัญญา”จินซิงซิงรู้สึกอบอุ่นราวกับได้น้ำทิพย์ชโลมใจ จากที่ขืนตัวไว้
หม่าชิงเทียนแม้งุนงงแต่ก็ไม่กล้าถามต่อเพราะเห็นท่าทีหนักใจของผู้เป็นนายก็พอจะรู้ว่าศึกนอกศึกในยังใหญ่หลวงนัก จึงได้แต่รับคำ “เช่นนั้นหม่อมฉันจะรีบเตรียมการให้พ่ะย่ะค่ะ” “ดี... อย่าลืมเรื่องที่ตกลงกัน”“พ่ะย่ะค่ะ” หม่าชิงเทียนรับคำก่อนจะล่าถอยออกไป หลี่หลานหมิงกุมขมับบีบนวดเบาๆ ด้วยความอึดอัดใจ เขาหลีกเลี่ยงมาตลอดที่จะเผชิญหน้ากับพี่ชายหลังจากเหตุการณ์คราวนั้น แต่ครานี้เห็นทีจะเลี่ยงมิได้ หากเกิดเหตุร้ายกับรัชทายาทไม่แคล้วต้องเป็นเหตุให้อ๋องสามหาเรื่องเล่นงานอีก ร่างสูงใหญ่เฝ้ามองหมู่ดาวยามรัตติกาลครู่หนึ่งจึงนึกได้ล้วงหาของที่ซ่อนไว้ในอกเสื้อแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าก็เหลียวมองหาแต่ไม่พบก็ให้รู้สึกวิตกกังวลจนอยู่ไม่ติดจิตใจพุ่งพล่านทันใด “หายไปไหนกัน!” จินซิงซินนอนไม่หลับเพราะกระวนกระวายสับสนในใจกับสิ่งที่ผู้ที่ได้ชื่อว่าสามีกระทำกับนางเมื่อยามย่ำค่ำ นางบังเกิดความรู้สึกประหลาดยามที่กายทั้งสองแนบชิด จิตใจที่เคยสงบนิ่งไร้ความรู้สึกรู้สมกลับพุ่งพล่าน ร่างกายร้อนผ่าวราวกับก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นระรัวจนแทบถลนออกมากองด้านนอก
“ท่านอ๋องคิดว่าเราคาดคั้นเอากับมันแล้วจะได้คำตอบหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลี่หลานหมิงชะงักหันกลับมาหาขุนพลหน้าหยกคู่ใจก่อนเอ่ย “ก็ต้องลองดู”“หม่อมฉันว่ามันอาจยอมตาย”“หึ... หากไม่รักชีวิตตัวเองจะตายก็สมควรแล้ว”หลี่หลานหมิงเดินนำมาหยุดอยู่หน้าห้องขังด้านในสุด เขามองร่างสะบักสะบอมเต็มไปด้วยบาดแผลด้านในด้วยแววตาว่างเปล่าก่อนที่หม่าชิงเทียนจะสั่งคนคุมไขกุญแจแล้วเดินนำเข้าไปตามด้วยผู้เป็นนายอีกที“หึหึ ดูจากสภาพเจ้าแล้วเห็นทีรอดยากแต่หากบอกมาว่าผู้ใดใช้มา ท่านอ๋องอาจจะไว้ชีวิตเจ้า”หม่าชิงเทียนเดินวนไปรอบๆ ร่างกำยำที่ถูกโซ่ตรวนตรึงทั้งมือและเท้า ผมเผ้ารุงรังโลหิตเกรอะกรังเหนือหางคิ้วเป็นทางยาว หลี่หลานหมิงยืนกอดอกจ้องหม่าชิงเทียนสอบสวนอยู่เงียบๆ สบสายตาอีกฝ่ายที่มองมาตาแทบถลนก่อนะแสยะยิ้มเยาะเย้ย“บอกก็ตายไม่บอกก็ตายแล้วเหตุใดข้าจึงต้องบอก”“หึ... ปากดี ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะปากแข็งได้นานแค่ไหน” หม่าชิงเทียนขู่พลันซัดฝ่าเท้าเข้าเต็มอกจนร่างนั้นกระเด็นไปหมอบแทบเท้าอ๋องสี่หลี่หลานหมิง มันไม่เพียงไม่ก้มหัวให้กลับเงยหน้าขึ้นหัวเราะไม่มีปี่มีขลุ่ยจนถูกถีบหน้ากระเด็นกลิ้งไปอีกทาง “จะบอกไม่บอก!”
“ซิงซิน! หากเจ้าไม่บอกและข้ารู้ทีหลังไม่เพียงแต่ชีวิตเดียวของมันที่ยังมิอาจยื้อได้ ครอบครัวของมันข้าก็จะไม่ละเว้น บอกมา!”จินซิงซินสะดุ้งเฮือกเมื่อสบแววตาแข็งกร้าวและคำพูดโหดร้ายอย่างที่ไม่เคยเจอ หลี่หลานหมิงลืมตัวลุกนั่งคร่อมร่างนางไม่พอยังเขย่าแขนอย่างแรง จินซิงซินตกใจหน้าแดงก่ำน้ำตาไหลพรากเพราะถูกบีบต้นแขนแน่นถึงกับปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นครู่หนึ่งจึงค่อยๆ บอกเสียงแผ่วโหย “ข้าบอกก็ได้ สามีอย่าทำร้ายท่านยายเลยนะ ซิงซินรักท่านยายมีท่านยายเพียงคนเดียวที่สั่งสอนซิงซิน”“ที่แท้เป็นท่านยายเจ้าอีกแล้วหรือ!”จินซิงซินพยักหน้าพลางปาดน่ำตา “เป็นท่านยายที่สั่งสอน”“แล้วนางสอนอะไรเจ้าอีกบ้าง!”“ฮือ ฮือ ท่านยายสอนว่าหากโตเป็นสาวเข้าพิธีปักปิ่นแล้วต้องแต่งงานเป็นภรรยาของใครสักคน ก่อนที่จะแต่งงานห้ามมิให้ผู้ใดเห็นเรือนร่างที่ไม่สวมใส่เสื้อผ้า ห้ามมิให้ผู้ใดจับสัมผัสของสงวนทั้งบนและล่างภายใต้ร่มผ้านอกเสียจาก... ฮือ ฮือ นอกเสียจาก...”อ๋องพยัคฆ์ใจหล่นทันใดที่เห็นน้ำตาดรุณีน้อยไหลหลั่งราวทำนบแตกกว่าจะรู้สึกตัวและคลายนิ้วมือที่บีบต้นแขนนางจนเกิดรอยแดงก็ต่อเมื่อนางร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดจึงได้อ่อนล