LOGIN“คะ คุณหนูเหอๆ ขะ ข้าหยิบเงินผิด ยังเหลือส่วนนี้อีก” ยังไม่ทันที่เอินเอินจะเอ่ยค้าน ยายเฒ่าร้านปักผ้าก็รีบคว้าเงินมาให้หลี่น่าอีกแปดร้อยอีแปะ รวมแล้วหลี่น่าได้เงินมาถึงหนึ่งตำลึงเงินเลยทีเดียว
“อ๋อ ท่านยายหยิบเงินผิดนี่เอง ข้าก็คิดอยู่ว่าเหตุใดจึงได้น้อยนัก”
“ข้าผิดเองๆ เอาเป็นว่าข้าฝากอาภรณ์ผืนนี้ ไปให้มารดาของท่านปักด้วย ขอเป็นลวดลายนกกระเรียนนะ” ยายเฒ่าสวีรีบยื่นผ้าให้คุณหนูเหอทันที อาภรณ์เนื้อดี ทั้งมีลายปักที่ประณีตเช่นนี้ ขายได้เกือบห้าตำลึงเงิน จ่ายค่าปักไปเพียงตำลึงเดียว ถือว่าคุ้มค่าไม่น้อย
“ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวลา” ว่าแล้วสองนายบ่าวก็เดินออกจากร้านทันที หลี่น่าที่ได้เงินมาเพิ่มจากเดิมถึงแปดร้อยอีแปะก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“เหตุใดคุณหนูจึงพูดโป้ปดเล่าเจ้าคะ”
“หากมิเอ่ยเช่นนั้น จะได้เงินมากถึงเพียงนี้หรือ ยายเฒ่าสวีนั่นต้องการกดราคาเรา งานปักท่านแม่งดงามถึงเพียงนั้น ยังกล้าจ่ายเพียงสองร้อยอีแปะ นางต้องเจอคนเช่นข้านี่แหละ”
“ฮูหยินก็รับรู้เรื่องนี้เช่นกันเจ้าค่ะ แต่ยามนั้นมิมีร้านใดจ้างงานเลย จึงต้องรับเงินเพียงสองร้อยอีแปะอยู่เช่นนี้” เอินเอินเล่าเรื่องเก่าให้คุณหนูของนางฟังด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“เรื่องนั้นเป็นอดีตไปแล้ว อย่าโศกเศร้าไปเลย วันนี้เราได้เงินมาถึงหนึ่งตำลึงเงิน เจ้าพาข้าไปเดินดูของในตลาดทีเถิด”
“คุณหนูจะซื้อสิ่งใดเจ้าคะ”
“ไม่ซื้อๆ ข้าแค่จะไปเดินดูเท่านั้น” สองนายบ่าวเดินเล่นไปทั่วตลาด เอินเอินก็เอ่ยเล่าสิ่งต่างๆ ให้นายของตนฟังอย่างเพลิดเพลิน
กระทั่ง…ตุบ!!! โอ้ย! เอินเอินถูกสตรีผู้หนึ่งเดินชน จนล้มลงไปกับพื้น
“เดินอย่างไรของเจ้า มองไม่เห็นฮูหยินของข้าหรือ นังบ่าวชั้นต่ำ!”
“ขออภัยเจ้าค่ะ” เอินเอินลุกขึ้นและเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็ว เพราะนางอยากรีบพาคุณหนูของนาง หนีให้ห่างจากสตรีตรงหน้า
“เอินเอิน เหตุใดเจ้าต้องขอโทษ นางเป็นคนเดินมาชนเจ้าเองนะ” หลี่น่าจ้องหน้าสองนายบ่าว ที่กล้ามาทำให้เอินเอินของนางหวาดกลัว
“อ่อ นึกว่าใคร ที่แท้ก็คุณหนูตกอับ คิกๆ” ประโยคที่สตรีผู้นี้เอ่ย ทำให้หลี่น่ารู้ได้ทันที ว่าอีกฝ่ายต้องรู้จักนางเป็นแน่ ร่างอวบจึงได้หันไปหาเอินเอินเพื่อขอความกระจ่าง
“ฮูหยินน้อยสกุลเถียน จางเลี่ยงจินเจ้าค่ะ เป็นฮูหยินของใต้เท้าเถียนอี้” ชื่อที่คุ้นหู ทำให้หลี่น่านึกออกว่าสตรีผู้นี้มีสัมพันธ์อย่างไรกับนาง
“อ่อ นึกว่าใคร ที่แท้ก็พวกลักกินขโมยกิน รู้ว่าชายหมั้นหมายแล้ว แต่ยังยั่วยวนจนเขาตกหลุมพราง” นางไม่รู้หรอก ว่าจางเลี่ยงจินผู้นี้ได้กระทำตนเช่นนั้นหรือไม่ แต่หลี่น่าต้องการเพียงให้ชาวบ้านนึกสงสัยในตัวเลี่ยงจิน จนนำไปพูดต่อก็เท่านั้น เพราะฟังจากคำที่เลี่ยงจินทักทายนางแล้ว คงมิใช่คนจิตใจดีกระมัง
“ข้ามิเคยยั่วยวนท่านพี่ เป็นเขาที่เห็นความดีและความงดงามของข้า เขาจึงเปลี่ยนใจมารักข้า แทนที่จะเป็นหญิงอัปลักษณ์ อ้วนเทอะทะเช่นเจ้า” ดูที รูปร่างอวบอ้วนอย่างกับหมูแม่พันธุ์เช่นนี้ ผู้ใดจะรักลง
“ตายจริง! เหตุใดฮูหยินน้อยสกุลเถียน จึงมีวาจาร้ายกาจเช่นนี้ ทั้งยังกล้าดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นอีก” หลี่น่าเอ่ยขึ้นเสียงดัง จนคนที่อยู่บริเวณนั้นหันมาสนใจ
“…เอ่อ ข้า-”
“ฮึก! ใจร้ายนัก ท่านว่าข้าอวบอ้วนจึงมิมีผู้ใดรัก เช่นนั้นท่านจะเอ่ยว่า ฮูหยินที่อ้วนท้วมหลังมีบุตร สามีก็ไม่รักพวกนางอย่างนั้นหรือ” หลี่น่ายกมือปาดหางตา ทั้งยังแสร้งเดินคอตกจากไป เอินเอินเห็นดังนั้นก็รีบสาวเท้าออกไปให้ทันคุณหนูของนาง
เสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านดังขึ้น บ้างก็ว่าฮูหยินน้อยสกุลเถียนมิได้รับการสั่งสอน ชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น บ้างก็นึกขึ้นได้ว่าใต้เท้าเถียนอี้ได้หมั้นหมายกับคุณหนูเหอไว้แล้ว แต่กลับเปลี่ยนใจไปแต่งกับผู้อื่น
“เหอะ ถึงข้าจะอวบอ้วน ไม่งดงาม แต่สามีข้าก็มิเคยแต่งอนุเข้าเรือนแล้วกัน” ฮูหยินร่างใหญ่เอ่ยเสียดสีเสียงดัง จนเลี่ยงจินต้องรีบออกจากบริเวณนั้น ด้วยความอับอาย
.
.
“คุณหนูอย่าร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ” ด้านเอินเอินที่วิ่งตามหลี่น่ามา ก็รีบเอ่ยปลอบใจ
“ข้าร้องไห้ที่ใดกัน ข้าเพียงแสร้งทำเท่านั้น”
“ห๊า คุณหนูมิได้ร้องไห้หรอกหรือ บ่าวตกใจหมดเลย” เอินเอินทำปากยื่น ราวกับงอนที่ถูกคุณหนูของตนหลอก
“ฮ่าๆ เจ้าอย่าโกรธข้าเลย ข้าขอโทษๆ”
“บ่าวไม่โกรธคุณหนูเจ้าค่ะ” หลี่น่ายกยิ้มเอ็นดูคนสนิท ทั้งที่เอินเอินอายุน้อยกว่านางเพียงสองหนาว เหตุใดจึงน่าเอ็นดูราวกับเด็กน้อยเช่นนี้นะ
สองนายบ่าวเดินเที่ยวชมตลาดกันต่อ โดยมิได้ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ยิ่งย่างเข้าสู่ยามเย็น ผู้คนก็ยิ่งเข้าออกตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะร้านที่อยู่ตรงหัวมุมของตลาด มีคนเข้าออกจำนวนมาก จนหลี่น่านึกสงสัย
“เอินเอิน เหตุใดคนจึงเข้าร้านนั้นมากมายถึงเพียงนี้”
“ห้องนี้หรือ”“มิใช่เจ้าค่ะ ห้องนี้เป็นห้องตำราของท่านพ่อ” หลี่น่าเดินไปได้ไม่นาน ชายหนุ่มก็ทักขึ้นมาอีก“หรือว่าจะเป็นห้องนี้”“นั่นเป็นห้องเก็บป้ายวิญญาณของบรรพชนเจ้าค่ะ”“อีกไกลหรือไม่”“เดินเลี้ยวไปทางซ้ายก็จะถึงแล้ว อยู่ติดกับห้องนอนของพี่เหิงพอดี ท่านทนมิไหวแล้วหรือเจ้าคะ คิกๆ” หญิงสาวปิดปากขำ จนดวงตาที่กลมโตหยีลงอย่างน่ารัก“อะฮึ่ม!” สตรีตรงหน้ายามยิ้มขบขำเช่นนี้ ช่างน่าเอ็นดูนัก ทั้งที่นางมิได้งามล่มเมือง รูปร่างก็มิได้เอวบางร่างน้อยอย่างสตรีงามผู้อื่น ทว่าส่วนเว้นส่วนโค้งกลับดึงดูดสายตาให้จับจ้อง มิรู้เบื่อ“ถึงแล้วเจ้าค่ะ”“อืม เจ้าออกไปรอด้านนอกก็ได้ ข้าจำทางได้แล้ว”“ท่านปวดหนักหรือ คึๆ” ท่าทีป้องปากกระซิบ พร้อมกับสายตาที่หยอกล้อ ทำเอาหวังหย่งถึงกับหน้าตึง แต่ยังมิทันได้เอ่ยเตือน อีกฝ่ายก็หนีหายไปเสียก่อนหวังหย่งเข้าไปในห้องสุขาเพียงชั่วครู่ ก็เดินย่องออกมา ดวงหน้าคมหันซ้ายหันขวา เพื่อดูให้แน่ใจว่ามิมีผู้ใดอยู่บริเวณนี้ ร่างสูงรีบเดินไปยังห้องตำราของเรือนหากว่าจะหาเอกสารสำคัญ ย่อมต้องหาในห้องตำราเป็นที่แรก“ท่านแม่ทัพทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ” ยังไม่ทันที่หวังหย่งจะเปิดเข้าไปใน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่เหิง ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” หลี่น่ายื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างของรถม้าคันหรู ทั้งยังโบกไม้โบกมือให้ครอบครัว ที่กำลังกวาดลานหน้าเรือนอยู่เกวียนขนของและรถม้าคันหรู เคลื่อนเข้ามาจอดในลานกว้างหน้าเรือนสกุลเหอ เข่อซิงเองก็นึกแปลกใจที่บุตรสาวนั่งรถม้าเข้ามา ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม เจ้าของรถม้าก็ปรากฏกายขึ้น“มะ แม่ทัพใหญ่! บุตรสาวข้าไปสร้างเรื่องเดือดร้อนหรือ”“ท่านแม่ทัพโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาต่างก้มคำนับต่อแม่ทัพใหญ่ของแคว้นอย่างหวาดกลัว หลี่น่าได้แต่ยืนงงกับท่าทางของบิดาและมารดานางมิได้ทำสิ่งใดผิดเสียหน่อย“ท่านพ่อท่านแม่ ข้ามิได้สร้างเรื่องนะเจ้าคะ”“เจ้าเงียบเสีย ท่านแม่ทัพโปรดเห็นใจนางเถิดขอรับ น้องสาวข้าผู้นี้ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมามาก รอดตายมาได้ก็จดจำสิ่งใดมิได้ แม้แต่นามของตน ไหนจะพูดจากพิลึกพิลั่นนี่อีก เห็นแก่ว่านางวิปลาสเถิดขอรับ”“โอ้ยยยย พี่เหิงคิดว่าข้าบ้าหรือ แม่ทัพจ้าว! ท่านพูดสิ่งใดบ้างเถิด”“ท่านเหอ ฮูหยิน คุณชาย ข้าเพียงนำไหและจอกสุราที่คุณหนูเหอต้องการมาให้เท่านั้น” เสียงนิ่งทรงพลัง ทำให้คนสกุลเหอทั้งสาม หยุดโวยวายลงได้ แต่มิวายหันมาหาหลี่
“ข้าทำเรื่องดีเจ้าค่ะ เอ่อ…ข้าจะเปิดร้านสุราหวานเจ้าค่ะ” มือขาวยกขึ้นมาป้องปาก กระซิบกระซาบเสียงเบา มิให้ผู้อื่นได้ยิน“เช่นนั้นหรือ เอาไว้ข้าจะส่งไปให้ที่เรือนเจ้า”“ประเดี๋ยวเจ้าค่ะ ข้าขอไปเลือกเองได้หรือไม่ นะ นะ ข้าจะได้เลือกเอาแค่ที่จำเป็นอย่างไรเจ้าคะ” เพราะเคยชินกับการอยู่ใกล้ชิดกับบิดาและพี่ชาย หลี่น่าจึงเผลอเกาะแขนแกร่งเสียแน่น ทั้งยังส่งสายตาออดอ้อน จนคนมองเสียอาการ“อะแฮ่ม! เช่นนั้นก็กลับเรือน ฮุ่ยหวง…” เพียงแค่สายตาที่ส่งมา ก็ทำให้รองแม่ทัพเข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงได้แยกตัวออกไปอีกทางหวังหย่งพาหลี่น่าและเอินเอินมาที่เรือนของตน ก่อนจะพาไปเลือกไหสุราและจอกสุราตามที่หญิงสาวต้องการ ยังดีที่วันนี้ท่านย่าของเขาไม่อยู่เรือน หากไม่แล้ว คงต้องเอ่ยอธิบายเสียยาวเหยียดเป็นแน่“เจ้าเลือกเอา อยากได้อันใดก็บอกบ่าวไพร่” หวังหย่งให้บ่าวไพร่เปิดหีบไม้ที่ใช้เก็บจอกสุรา ให้หญิงสาวดู“นี่…เหมือนของใหม่เลยนะเจ้าคะ” ทั้งลวดลายและรูปลักษณ์ของจอกสุรา ไม่แตกหักหรือมีรอยร้าวสักนิด“เอาไปเถิด เรือนข้ามีมาก มิได้ใช้งาน จนต้องนำมาเก็บที่ห้องเก็บของนี่อย่างไรเล่า”“อ่า~ มิใช่ว่าพึ่งให้คนไปซื้อมาใหม่ เพื่อ
เช้าวันรุ่งขึ้นหลี่น่าลุกขึ้นมาออกกำลังกายตามปกติ ก่อนจะมาท่านมื้อเช้าและไปจัดการเรื่องการขนน้ำผลไม้ไปไว้ในห้องใต้ดิน ด้วยมิอยากจ้างคนงานมาจัดการ หลี่น่ากับเอินเอิน จึงจัดการขนไหน้ำผลไม้ยังไม่เน่าเสียมาไว้ในห้องใต้ดินด้วยตนเอง“เห้อ! กว่าจะเสร็จ เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่”“จริงเจ้าค่ะ แหะๆ”“ทนเอาหน่อยนะเอินเอิน หากว่าเราขายสุราหวานได้ดีตามที่คาดไว้ ครอบครัวเราก็จะมีกินมีใช้ มีเงินไว้จ่ายหนี้สินที่ติดค้างอยู่” หลี่น่าลูบศีรษะเล็กของคนสนิท“บ่าวทนไหวเจ้าค่ะ สงสารก็แต่พวกท่าน ที่ต้องมาลำบากเช่นนี้”“อย่าคิดอันใดให้มากความเลย ข้าว่าเราไปทำมื้อเที่ยงไว้รอทุกคนเถิด ช่วงบ่ายเราจะต้องออกไปหาภาชนะใส่สุราหวานของเราเสียที” ว่าแล้วสองนายบ่าวก็พากันเข้าครัว แม้ว่าหลี่น่าจะทำสิ่งใดไม่เป็น แต่ก็พอช่วยหยิบจับนู่นนี่ได้..“เราจะเริ่มจากที่ใดก่อนดีเจ้าคะ” หลังจากทานมื้อเที่ยง หลี่น่าก็ขออนุญาตบิดามารดาออกมาหาไหและจอกสุราเก่า“ข้าจะลองไปถามโรงน้ำชาดูก่อน” หากว่าไปถามร้านขายสุรา แล้วเรานำไหเหล่านั้นมาขายสุราแข่งกับเขา มันดูน่าเกลียดเกินไปหน่อย“เถ้าแก่เจ้าคะ ที่ร้านพอจะมีไหหรือจอกชาเก่าที่ไม่ใช้แล้วหรือไม่
หลังจากที่ขอให้ท่านลุงเหวินจงหมักสุราไว้ให้ หลี่น่าก็กลับมาพักที่เรือนอย่างสบายใจกับผีน่ะสิ!นับจากที่ตัดสินใจว่าจะนำสุราหวานไปวางขาย หลี่น่าก็ไม่ได้หยุดพักหายใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งเรื่องเครื่องมือเครื่องใช้ ทั้งเรื่องวิธีการทำ ก็มีปัญหาเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน“จะทำอย่างไรดีเจ้าคะคุณหนู” หลี่น่ากำลังตักชิมน้ำผลไม้ที่นางคั้นเอาไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน ก็พบว่าน้ำเหล่านั้นทำท่าคล้ายจะเน่าเสีย รสชาติและกลิ่นต่างแปลกไป“เพราะไม่มีตู้เย็น เลยเป็นเช่นนี้”“เอ่อ อันใดคือตะ ตู้เย็นเจ้าคะ”“เป็นที่ที่เย็นมากๆ ใช้เก็บของมิให้เน่าเสียน่ะ” หลี่น่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียดายน้ำผลไม้ที่คั้นไว้ เห็นทีจะต้องทิ้งแล้วทำใหม่“…”“นำไหที่เสียไปทิ้งเถิด แล้วคั้นใหม่ ข้าจะลองไปถามท่านพ่อดูว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร” ครอบครัวของนางเป็นสกุลพ่อค้า คงจะมีวิธีการเก็บสินค้าให้สดใหม่อยู่เสมอ“ได้เจ้าค่ะ” แม้เอินเอินจะเสียดายมากเท่าใด แต่ก็จำใจต้องเทน้ำผลไม้พวกนั้นทิ้ง..หลังจากครอบครัวสกุลเหอทานมื้อเย็นเสร็จ ก็พากันมานั่งเล่นพูดคุยกันที่ศาลาหลังเรือน เป็นโอกาสให้หลี่น่าได้ถามไถ่วิธีแก้ปัญหากับบิดา“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าติดปัญหาเจ
ทั้งกลิ่นและรสชาติ แตกต่างจากสุราที่ขายในโรงสุรายิ่งนัก กลิ่นของสาโทที่ท่านลุงเหวินจงหมักเอง จะมีกลิ่นหอมของข้าว แต่ก็ได้กลิ่นเปรี้ยวที่เกิดจากการหมักดองเช่นกัน“รสชาติดีกว่าสุราที่ข้าดื่มนัก”“แท้จริงแล้วสุราที่คุณชายดื่มก็ทำเช่นนี้เหมือนกันขอรับ แต่เขาจะเอาไปเข้าเครื่องกลั่น เพื่อจะได้เก็บไว้นาน ซึ่งรสชาติก็จะเปลี่ยนไปด้วย”“จริงสิ ท่านลุงพาข้าไปดูผลไม้ที่ส่งขายไม่ได้ทีเถิด” หลี่น่าอยากลองผสมน้ำผลไม้กับสาโทเต็มที อยากรู้ว่ารสชาติจะออกมาเป็นดังที่นางคาดไว้หรือไม่“ทางนี้เลยขอรับ” เดินแยกออกไปไม่นาน ก็พบกับกองผลไม้ที่ไม่สามารถส่งขายได้ บ้างก็เน่าเสีย บ้างก็ลูกเล็กเกินไปหลี่น่าเดินเข้าไปคัดเลือกผลที่ยังพอจะนำมาคั้นน้ำได้ นางเลือกผลส้มมาเกือบยี่สิบลูก ใช้มีดหั่นครึ่งส้มแต่ละผล แล้วจึงบีบคั้นน้ำออกมา“ข้าขอสาโทสักจอกเถิด” มือขาวรับเอาสาโทมาผสมกับน้ำส้มที่ตนเองคั้นสดเอาไว้ ก่อนจะใช้ตะเกียบแตะเพื่อชิมทุกการกระทำของหญิงสาวตกอยู่ในสายตาของเหิงเยว่ เอินเอิน และเหวินจงทั้งหมด“เจ้าเชี่ยวชาญนัก” หลี่น่าเพียงยกยิ้มให้พี่ชาย แล้วเลือกผลส้มมาคั้นเพื่อผสมกับสาโทให้ครบทุกคน กว่าจะทำได้ในปริมาณที่ม







