เสียงลากกระเป๋าเดินทางดังครืดเบาๆ บนพื้นหินอ่อนของสนามบิน
ภีมวัชเดินนำช้าๆ พลางเหลือบมองหญิงสาวข้างตัวเป็นระยะอิงลดาเดินอยู่ข้างพ่อแม่ของเธอ เสื้อคลุมยาวปลิวเบาๆ ตามแรงแอร์ในอาคาร เธอไม่ได้พูดอะไรมากนับตั้งแต่ขึ้นรถมา
“ลำบากพ่อภีมจริงๆ ขอบคุณที่มาส่งพวกเราถึงสนามบิน” พิทักษ์บิดาของอิงลดาพูดขึ้น พลางตบไหล่เขาเบาๆ อย่างเป็นกันเอง
“ไม่ลำบากเลยครับ” ภีมวัชตอบอย่างสุภาพ ดวงตาเรียบนิ่ง
อารีย์จึงเอ่ยต่อทันที “ป้าฝากน้องด้วยนะภีม”
“ครับ ผมจะดูแลเธอเป็นอย่างดี” เขาพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มที่เต็มใจ อิงลดาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเหมือนแปลกใจกับความมั่นใจในน้ำเสียงเขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“เปิดใจให้กันบ้างนะลูก บางทีสิ่งที่ดูเหมือนเป็นแค่ข้อตกลง… อาจกลายเป็นอะไรที่ดีเกินคาดก็ได้” พ่อของเธอพูดเสียงนุ่มให้ได้ยินแค่ลูกสาว ขณะหันมามองอิงลดาด้วยสายตาอ่อนโยน
เธอพยักหน้าเบาๆ แววตาซ่อนความกระอักกระอ่วนไม่มิด
ครอบครัวของเธอกอดลาเรียบร้อย ก่อนจะลากกระเป๋าเดินเข้าเกตไปช้าๆ อิงลดายืนนิ่ง รอจนกระทั่งร่างของพ่อแม่ลับเข้าไปในช่องตรวจคนโดยสาร เธอกำลังจะหันไปเดินกลับ แต่เสียงเย็นๆ ข้างตัวดังขึ้นก่อน
“เหลือแค่เราสองคนแล้วสิ”
เธอชะงัก หันมามองนายแพทย์หนุ่ม น้ำเสียงเขาสุภาพ เยือกเย็น
แต่รอยยิ้มที่มุมปากนั่นไม่เหมือนเดิม“อย่าลืมนะครับ ว่าตอนนี้คุณอยู่ในช่วงดูใจกัน ต้องตั้งใจทำตัวดีๆ หน่อย” เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย มองเธอผ่านแววตาคมลึก
“ทำไมคะ?” เธอเลิกคิ้ว ดวงตานิ่ง
“ก็เผื่อคุณอยากให้ผมตัดสินใจแต่งงานเร็วๆ” เขายักคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเหมือนกำลังเป็นต่อ
“ฉันไม่เคยขอให้คุณแต่งจริงสักหน่อย” เธอจ้องเขานิ่ง แต่ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ ด้วยความไม่พอใจ เสียงเธอราบเรียบ แต่เริ่มมีแววประชดประชัน
“คุณก็ไม่เคยขอให้ผมรับปากว่าจะดูแลคุณเป็นอย่างดีเหมือนกัน แต่ผมก็เต็มใจที่จะทำนะ” เขาตอบทันควัน
เธอนิ่ง กะพริบตาช้าๆ เขายิ้ม ราวกับพอใจที่เธอเถียงไม่ทัน
“คุณดูไม่เหมือนหมอที่เขาว่ากันเลยนะ” เธอพึมพำเบาๆ ขณะเดินนำไปที่ลานจอดรถ
“เขาว่ายังไง”
“สุขุม เยือกเย็น จริงจัง ไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิง และไม่ชอบให้ผู้หญิงมาเข้าใกล้”
“อ้อ แบบนั้นมันสำหรับคนไข้และเพื่อนร่วมงาน คุณไม่ใช่คนไข้ของผมนี่” เขาหัวเราะเบาๆ
“ดีค่ะ เพราะฉันไม่อยากให้คุณเป็นหมอประจำตัวเลยสักนิด”
“งั้นช่วงสามเดือนนี้ก็ดูแลตัวเองให้ดีนะครับ ผมไม่อยากฉีดยาให้คุณก่อนถึงเวลาที่ควร” เขาโน้มตัวเข้าใกล้ขณะเดิน เสียงเบาลงเล็กน้อย
“คุณกำลังขู่ฉันเหรอคะ” เธอหันขวับ
“ผมไม่ใช่คนขู่...ผมแค่เตือนด้วยความหวังดี” เขาสบตาเธอนิ่งๆ ริมฝีปากยังแตะรอยยิ้มบางๆ
อิงลดาเม้มริมฝีปากแน่น เธอเดินนำหน้าเขาไปโดยไม่ตอบอะไร แต่เสียงฝีเท้าที่เร่งขึ้น และหูที่แดงขึ้นเล็กน้อยตอนที่เธอหันข้าง ก็ทำให้เขายิ้มกับตัวเองอีกครั้ง
ระหว่างทางที่กลับไปที่บ้าน อิงลดาตัดสินใจถามเขาเรื่องเงื่อนไขที่เขาตั้งขึ้นมา
“ทำไมคุณต้องตั้งเงื่อนไขให้ฉันพักที่บ้านคุณคะ อยากเรียนรู้กัน ฉันพักที่ไหนก็ได้ ฉันมีคอนโดของฉันที่ซื้อไว้สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย มันยังว่างอยู่และฉันก็สะดวกที่จะอย่าคนเดียวมากกว่า”
“ผมบอกไปแล้วไงครับ คุณอยากให้ผมทำตามข้อตกลงสามปี ผมก็มีเงื่อนไขของผมในสามเดือน”
“คุณตั้งกฎกับฉันเพราะกลัวเสียเปรียบเหรอคะ” เธอเริ่มขึ้นเสียง
“ผมถามคุณบ้างสิ ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมต้องมาทวงสัญญาเอาป่านนี้ ทั้งที่ผู้ใหญ่ก็แค่พูดกันเล่นๆ”
“เพราะฉันหนีมา…” สีหน้าของเธอตึงขึ้นเล็กน้อย ภีมวัชหันข้างมองเธอแวบหนึ่งก็หันกลับ แต่ยังขับต่อโดยไม่พูดแทรก
“ลูกชายนักการเมืองท้องถิ่นที่บ้านฉัน พยายามจะบีบให้ฉันแต่งงานกับเขา เขามีเมียแล้ว จะเอาฉันเป็นเมียน้อยให้ได้เลย แต่ฉันไม่ยอม”เธอพูดช้าๆ เรียบๆ เหมือนตั้งใจไม่แสดงอารมณ์ ภีมวัชขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาเข้มขึ้น
“ฉันจำได้ว่าแม่ฉันเคยพูดถึงเรื่องที่พ่อฉันกับพ่อคุณพูดเรื่องจะให้เราแต่งงานกัน ฉันเลยสืบเรื่องของคุณดู” เธอหันมามองเขาในที่สุด
“ฉันรู้ว่าคุณเรียนมหา’ลัยเดียวกับฉันมาก่อน ไม่เคยมีข่าวกับผู้หญิง ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสีย ฉันก็เลยคิดว่า…คุณน่าจะช่วยแต่งงานกับฉันได้ เพื่อผลประโยชน์ของเราทั้งคู่”
“ผลประโยชน์ของเรา ผมจะได้ประโยชน์อะไรจากการแต่งงานกับคุณ” เขาถามด้วยความงุนงง
เธอสูดหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วตอบออกไปตรงๆ
“จากข่าวที่คุณไม่ชอบผู้หญิง ฉันคิดว่าคุณน่าจะเป็นเกย์ ก็เลยคิดว่าคุณอาจอยากได้ใครสักคนแต่งงานด้วยบังหน้าเหมือนกัน”
เสียงเบรกรถดัง เอี๊ยด ลั่นกะทันหัน ทั้งตัวเธอถลาไปข้างหน้า มือคว้าเข็มขัดนิรภัยแทบไม่ทัน
************************
ช่วงเย็นของวันศุกร์ บ้านกุลธาราวงศ์อบอวลด้วยกลิ่นอาหารต้อนรับแขกผู้มาเยือน ภีมวัชยืนรออยู่ที่หน้าประตู ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ยินเสียงรถของครอบครัวอิงลดาเมื่อรถตู้สีดำคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวล เขาเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปเปิดประตูรถให้ก่อนใคร น้ำเสียงสุภาพเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความจริงใจ“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า เดินทางเหนื่อยไหมครับ”พิทักษ์และอารีย์ลงจากรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาประหลาดใจไม่น้อยที่หมอหนุ่มผู้เงียบขรึมอย่างภีมวัชแสดงความเอาใจใส่ตั้งแต่ก้าวแรกที่พบกันอีกครั้ง“เหนื่อยนิดหน่อยแต่พอเจอหน้าว่าที่ลูกเขยแล้วหายเหนื่อยเลย” พิทักษ์หัวเราะร่า“พูดแบบนี้เขินแทนลูกสาวเลยค่ะคุณ” อารีย์ต่อบทพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองลูกสาวที่ยืนอึกอักอยู่ข้างหลังอิงลดายิ้มแห้งๆ พยายามปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติ ทั้งที่ในใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อทุกคนเข้ามานั่งในห้องรับแขก พร้อมหน้าพร้อมตา ดาริกาก็ยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ“ดูเหมือนเด็กๆ จะเข้ากันได้ดีนะคะ ดิฉันสบายใจขึ้นเยอะเลย”อารีย์
ช่วงเช้าในบ้านกุลธาราวงศ์ บนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มปลาหมึกแห้งสูตรของยุพินและยุพาที่นำเสนอจนกลายเป็นอาหารเช้ามื้อหลักที่ต้องมีในทุกสัปดาห์“ข้าวต้นปลาหมึกแห้ง สูตรของสองสาวเขา อิงลองชิมนะลูก”“ค่ะ คุณแม่” เธอตอบรับอย่างว่าง่ายดาริกามองว่าที่สะใภ้ก็ยิ้มกริ่ม อิงลดาเป็นคนสมัยใหม่ แต่ว่านอนสอนง่าย พูดจาตรงไปตรงมาแต่นอบน้อม แม้จะแสดงเจตนาจะแต่งงานกับลูกชายเธอเพราะความจำเป็น แต่เธอเริ่มมองเห็นว่าทุกอย่างมันเริ่มลึกซึ้งและมีความผูกพันกันเกิดขึ้นทีละน้อย“จริงสิตาภีม แม่ลืมบอกไป” เธอหันไปทางลูกชายที่กำลังโรยหอมเจียวเพิ่มในข้าวต้ม“ครับแม่”“พ่อแม่ของอิงจะเดินทางมาถึงตอนเย็นวันนี้นะภีม พรุ่งนี้เป็นวันดี ฤกษ์งามยามเหมาะสำหรับพิธีหมั้น พวกเราเตรียมงานไว้หมดแล้ว เหลือแค่ลูกกับหนูอิงตกลงกันให้เรียบร้อยว่าจะเชิญแขกมาเพิ่มไหม เผื่อเปลี่ยนใจแม่จะได้สั่งห้องอาหารให้เตรียมอาหารเพิ่ม”ภีมวัชเงยหน้าจากถ้วยข้าวต้ม ดวงตาสงบนิ่งแต่แวววาวอย่างพอใจ“ครับแม่ ผมรับทราบ&rdquo
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง ตามด้วยเสียงของเจ้าของบ้าน“อิง เปิดหน่อย”อิงลดาหรี่ตามองนาฬิกา “ดึกแล้วนะคะ มีอะไรหรือเปล่า”“ขอเข้าไปคุยด้วยหน่อย” เขาตอบกลับมาเธอถอนหายใจ ก่อนจะลุกไปเปิดประตู แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างสูงก็แทรกตัวเข้ามาโดยไม่รอคำอนุญาต“นี่! ห้องอิงนะ พี่ภีมจะทำอะไร”“เงียบก่อน” เขาปิดประตูแล้วหันกลับมา สายตาคมนิ่งจ้องมาที่เธออย่างหนักแน่น“พี่มาพิสูจน์”“พิสูจน์อะไรคะ” เธองุนงง ก่อนจะนึกได้ว่าคำพูดเมื่อตอนกลางวันของเขาเคยพูดเอาไว้ว่าอย่างไร หญิงสาวเบิกตากว้าง แต่ก็ไม่ทันแล้ว“ว่าพี่ไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจผิด” พูดยังไม่ทันจบ ภีมวัชก็คว้าแขนเธอดึงเข้าหาตัว แรงกระชากทำให้เธอเซเล็กน้อย ใบหน้าเขาโน้มลงมาใกล้จนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ปะทะแก้มเมื่อใบหน้าของเขากำลังจะโน้มลงหา เธอก็จ้องตาไม่กะพริบแล้วเม้มปากแน่นไม่ยอมให้เขาจูบ แต่เมื่อรมิฝีปากคลอเคลียใกล้ๆ ลมหายใจรดรินกันเธอก็ตัดสินใจที่จะต่อต้าน
ขณะที่นายแพทย์หนุ่มนั่งกับอิงลดา และเอาใจเธอ ทั้งไปสั่งอาหารให้ และเดินไปซื้อเครื่องดื่มให้โต๊ะอีกมุมหนึ่งของโรงอาหาร ณัชชานั่งมองภาพตรงหน้านั้น มือหนึ่งถือช้อน อีกมือกุมตะเกียบไว้แน่น“หมอภีมเป็นอะไรของเขา วันนี้อ่อนโยนผิดปกติ แบบนี้เรียกคลั่งรักใช่ไหมคะ” หมอนุ่นกล่าวแล้วยิ้มมองภาพเพื่อนร่วมงานที่ดูต่างออกไปจากปกติ เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้กระทั่งณัชชาที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่ง เขาก็ยังไม่เคยมีมุมอ่อนโยนแบบนี้ให้เธอ“ไม่เคยเห็นยกข้าวยกน้ำให้ใคร ขนาดหมอนัทที่เป็นเพื่อนสนิทก็ยังไม่เคยเดินไปซื้อน้ำมาให้”“หมอธนินทร์พูดถูก สงสัยผู้หญิงคนนั้นคือตัวจริงล่ะมั้ง หมอภีมถึงได้ยอมเปลี่ยนตัวเองขนาดนี้” หมอปุณณ์หัวเราะอย่างชอบใจณัชชาก้มหน้ากินอาหารคำต่อไปเหมือนเคี้ยวยากผิดปกติ ในหูเธอยังได้ยินเสียงพยาบาลโต๊ะข้างๆ กำลังเม้าท์ต่อ“ผู้หญิงคนนั้นน่ารักนะ สดใสเป็นธรรมชาติดี”“ใช่ ฉันเห็นตอนเธอมาส่งข้าวให้หมอภีมครั้งก่อน หมอภีมยิ้มอะปกติก็ไม่เคยเห็นยิ้มเลยสัก
ที่ห้องพักแพทย์ แพทย์หญิงณัชชาเดินเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ“หมอภีม เที่ยงนี้ลงไปกินข้าวด้วยกันนะ หมอธนินทร์ หมอนุ่น แล้วก็หมอปุณณ์จะไปด้วย นัดกันไว้แล้ว” เธอพูดพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับแพทย์อีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน“อืม ลงไปพร้อมกันก็ได้” เขาพยักหน้ารับณัชชาแย้มยิ้มเบาๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนร่วมอาชีพ แล้วพวกเขาก็เดินออกไปพร้อมกันเมื่อถึงชั้นโรงอาหาร ภีมวัชเดินนำมาเล็กน้อย พอเลี้ยวผ่านโซนเสาใหญ่ เขาก็ยิ้มกริ่มที่โต๊ะตัวเดิม อิงลดานั่งรออยู่ในชุดเรียบง่าย สีหน้านิ่งแต่สายตาเป็นประกายเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา“เดี๋ยวผมขอแยกไปตรงนั้นนะ” ภีมวัชพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะเบนทิศทางจากกลุ่มแพทย์ไปยังโต๊ะของอิงลดา โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยณัชชาชะงัก สีหน้ายิ้มที่เคยแต่งไว้เริ่มคลายลง“เอ๊ะ…นั่นหรือเปล่าผู้หญิงที่พยาบาลลือกันอยู่ช่วงนี้” หมอนุ่นหันมาถาม “ใช่ๆ เขาว่ากันว่าเย็นชากับทุกคน แต่อ่อนโยนกับผู้หญิงคนนี้แค่คนเดียว” หมอธนินทร์เสริมณัชชาเงียบ ไม่พูดอะไร เธอแค่มองตามแผ่นหลังของภีมวัชที่กำลังเดินไปนั่งข้างหญิงสาวคนนั้น มือทั้งสองกำแน่นจนรู้สึกถึงปลายเล็บที่จิกลงกลางฝ่ามือแต่ก่อนที่เธ
เช้าวันต่อมา ภีมวัชเดินลงมาที่โต๊ะอาหารก่อนใคร สีหน้าของเขานิ่งสนิทเหมือนเดิม แต่คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยบ่งบอกว่าจิตใจไม่ได้สงบเท่าไรดาริกาทักว่าเมื่อคืนหลับสบายไหม เขาเพียงพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะก้มหน้าจิบน้ำเปล่าอิงลดาเดินลงมาช้าๆ วันนี้เธอใส่เสื้อเชิ้ตสบายๆ กับกางเกงผ้าเนื้อดี ดูคล่องตัวแต่เรียบร้อย พอเห็นว่าภีมวัชนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว เธอก็ยิ้มบางๆ“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่ภีม” หญิงสาวจงใจเน้นเสียงอย่างยียวนเขาเหลือบตามอง ตอบกลับเสียงเรียบและสีหน้าไม่เปลี่ยน“เที่ยงนี้พี่อยากกินข้าวผัดกุ้ง”อิงลดาเลิกคิ้ว เพิ่งจะเช้าเขาก็ถามหาอาหารเที่ยงแล้ว“ค่ะ เด่ยวบอกป้าสมรให้”“พี่อยากกินฝีมืออิง”“วันนี้ไม่อยากเข้าครัวค่ะ” เธอปฏิเสธตามตรง“อ้าว แย่เลยลูก พ่อคุณอยากกินข้าวผัดกุ้งแต่แม่ครัวคนเก่งไม่เข้าครัวซะแล้ว” ดาริกาหัวเราะเบาๆ“แต่อิงเห็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำในโรงอาหารโรงพยาบาลน่ากินมากเลยนะคะ” เธอพูดพลางหรี่ตามองเขา“เรากินก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นได้หรือเปล่าคะ”ภีมวัชเงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ“อืม...” เขาไม่มีคำพูดอื่น แต่ในใจกลับรู้สึกผ่อนคลายลงนิดหน่อยอย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เสแสร้งเข้าค