“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของอิงลดาดังขึ้นเมื่อรถของเขาเบรกจนเธอเกือบจะหัวทิ่ม
“คุณจะเบรกรถทำไมคะ” เธอร้องลั่นด้วยความตกใจ
เขาหันมามองเธอช้าๆ ดวงตาเย็นเฉียบ แต่ไม่ใช่เย็นแบบว่างเปล่า มันคือเย็นแบบคุมโทสะ
“คุณคิดว่าผมเป็นเกย์งั้นเหรอ”
เธอกะพริบตาปริบ มองเขาอย่างงงๆ
“คิดว่า ผมอยากได้เมียบังหน้า เลยตกลงจะแต่งงานกับคุณง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ” เขาขยับตัวโน้มเข้ามาเล็กน้อย มือประคองพวงมาลัยไว้ แต่สายตากลับทิ่มแทงเธอ
“กะ... ก็...” เธอถอยตัวเล็กน้อย ขัดเขินที่เขาขยับเข้ามาใกล้เกินไป
‘น่าสนใจดีนะ... ผ่านมาสิบปี ผมเฝ้ารอคุณ แล้วคุณก็โผล่มาพร้อมข้อสรุปว่าผมเป็นเกย์’ เขาคิดในใจ หัวเราะในลำคอ เสียงต่ำ
“ฉันขอโทษค่ะที่พูดเรื่องนี้แทงใจดำคุณ” เธอรีบพูด แต่เขาพูดแทรก
“ผมไม่ใช่แบบที่คุณคิด” ภีมวัชเหลือบมองเธออย่างระแวดระวัง
เธอหันมามองหน้าเขานิ่งๆ ด้วยสีหน้าที่แสดงความเข้าอกเข้าใจ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเข้าใจ”
ภีมวัชกะพริบตาช้าๆ ดวงตาเริ่มแคบลงเล็กน้อย เธอพูดต่อ ราวกับไม่ทันสังเกตว่าเขาเงียบผิดปกติ
“ทุกวันนี้โลกก็เปิดกว้างมากขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องซ่อนอะไร แต่ว่าฉันเข้าใจดีว่าคุณเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในโรงพยาบาล เรื่องภาพลักษณ์สำคัญมาก โดยเฉพาะกับหมอที่ทุกคนจับตามอง”
เขาเลิกคิ้วช้าๆ มองเธอเหมือนเพิ่งค้นพบว่าเธอเชื่อจริงๆ
“ฉันจะช่วยคุณเองค่ะ” เสียงของเธอนุ่มลงด้วยความจริงใจ
เขายังไม่พูดแก้ตัวอะไรออกมา จะดุว่าเธอจะไปหยุดที่ตรงไหน แต่เธอไม่หยุดพูดเช่นกัน
“แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณน้าดาริกาด้วยนะคะ ฉันจะไม่บอกเธอแน่นอนเรื่องนี้”
“เรื่องนี้ เรื่องไหน”
“เรื่อง…ที่คุณเป็นแบบนี้ไงคะ”
“แบบไหน” เขาหันขวับ สายตาคมกริบ
“ก็แบบ... ที่คุณยังไม่พร้อมเปิดตัว”
“…” เขากลั้นหายใจ เหมือนจะพูดบางอย่าง แต่กลับถอนหายใจยาวออกมาแทน
เธอมองเขาเงียบๆ ราวกับกำลังให้กำลังใจ
“คุณแน่ใจใช่ไหม ว่าคุณจะช่วยผมเรื่องภาพลักษณ์” เขากลอกตามองถนนเบาๆ
“แน่นอนสิคะ”
เขาพยักหน้าเบาๆ เหมือนยอมรับ ก่อนพูดช้าๆ เสียงราบเรียบแต่อันตรายอย่างประหลาด
“ก็ดี เพราะหลังจากเราแต่งงานกัน ผมจะทำให้คุณมั่นใจด้วยตัวเองเลยว่า...ผมไม่ใช่เกย์”
“คุณหมายความว่าไง” เธอชะงัก เบิกตากว้าง
“ถ้าคุณเข้าใจผิดเรื่องนี้ขนาดนั้น ผมก็ควรทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด...ไม่ใช่เหรอ” เขาเลิกคิ้ว ใบหน้าเรียบ เธอเริ่มหน้าแดงแต่พยายามตั้งหลัก
“คือ…ฉันไม่ได้หมายความว่า...”
“คุณพูดไปหมดแล้ว” เขาพูดนิ่ง
“หลังจากนี้ผมแค่ต้องแสดงตัวตนที่แท้จริงให้คุณเห็นเท่านั้นเอง”
“แต่ฉันไม่ได้....”
“คุณไม่ต้องทำอะไรครับ แค่เตรียมตัวไว้” เขายิ้มช้าๆ ที่มุมปาก ดวงตาคมวาว ราวกับนักล่าเพิ่งได้เหยื่อมาวางตรงหน้า
เธอเงียบไปทันที ทั้งรถมีเพียงเสียงเครื่องยนต์และเสียงหัวใจเธอที่เต้นผิดจังหวะ แต่เขาไม่พูดอะไรอีกแล้ว และนั่นกลับยิ่งทำให้เธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากกว่าเดิม
“หลังจากนี้ คุณต้องไปส่งข้าวกลางวันให้ผม และนั่งทานข้าวด้วยกันที่โรงพยาบาลนะ”
“กินค่ะ กินข้าว ไม่ใช่ทานข้าว หรืออยากจะสุภาพหน่อยก็ใช้คำว่ารับประทาน” เธอไม่ได้อยากสอนเขา แต่ด้วยเลือดของภาษาไทยมันสิงร่าง เวลามีคนเข้าใจอะไรผิดๆ เธอก็จะรับไม่ได้
“มันใช่เวลาสอนภาษาไทยไหม ผมรู้ ทานแปลว่าให้ แต่มันเกิดจากการกร่อนเสียงจากคำว่ารับประทาน ใช้ๆ ไปเถอะคุณ อย่าใช้ชีวิตให้มันลำบาก” เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ เธอควรจะใส่ใจกับเรื่องส่งอาหารกลางวันมากกว่าประเด็นคำว่าทานข้าว
“สรุปคือ คุณต้องไปกินข้าวกับผมทุกวัน ให้เพื่อนร่วมงานผมรู้ว่าผมมีคนรัก เพื่อที่จะปูเรื่องไปสู่การแต่งงาน ผมไม่อยากให้ใครพูดลับหลังว่าผมแต่งงานสายฟ้าแลบ เพราะเหตุผลที่จะตามมามันจะไม่ใช่ในแง่บวก มันดีต่อชื่อเสียงของคุณด้วย” เขาเลือกที่จะใช้เหตุผลนี้ในการดึงเธอเข้ามาอยู่ใกล้ตัว
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะไปกินข้าวกับคุณทุกวัน ถ้าวันไหนฉันว่างนะ” เธอรับปากเขา แล้วอมยิ้มที่เขายอมเปลี่ยนมาพูดคำว่ากินอย่างที่เธอเพิ่งประท้วงไป
ภีมวัชอมยิ้ม เขาไม่เคยมีคนรัก ไม่รู้ว่าต้องเอาใจผู้หญิงอย่างไร แต่เห็นแบบนี้เขาก็รู้แล้ว แค่เขาไม่ขัดและทำตาม ก็จะทำให้เธอพอใจได้
อย่างน้อยวันนี้เขาก็ได้เห็นรอยยิ้มของเธอ
************************
เช้าวันใหม่ อิงลดาค่อยๆ ลืมตาขึ้น เธออยู่ในอ้อมกอดอุ่นของสามีที่ยังคงหลับสนิท แขนแข็งแรงของเขาโอบรอบเอวเธอไว้แน่น ราวกับกลัวว่าจะสูญเสียเธอไปอิงลดายิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน พลางมองใบหน้าหล่อเหลาในระยะใกล้ ใต้แววตาปิดสนิทนั้นคือความอ่อนล้า เธอรู้ดีว่าเมื่อคืนเขาอดกลั้นเพียงใด เพื่อให้เธอได้พักผ่อนอย่างเต็มที่“น่าเอ็นดูจัง” เธอพึมพำเบาๆ ราวกับบ่น แต่แฝงไว้ด้วยความรักเธอไม่อยากให้เขาทรมานอีกต่อไป จึงขยับตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น ปลายจมูกแตะเบาๆ ที่แก้มเขา ก่อนจะกดจูบอุ่นไล้ไปตามกรอบหน้า จากนั้นริมฝีปากอ่อนหวานก็จรดลงที่ริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบาภีมวัชขยับตัวเล็กน้อย ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆ เปิดขึ้นเผยให้เห็นดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและร้อนแรง“ลักหลับพี่เหรอ” เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยออกมา พลางยกมือมาประคองใบหน้าเธอไว้ อิงลดายิ้มเขิน ใบหน้าขึ้นสีจัดแต่ก็ไม่ปฏิเสธ เธอก้มลงจูบเขาอีกครั้ง คราวนี้ยาวนานกว่าเดิม คล้ายเป็นการยอมรับอย่างเงียบๆภีมวัชถอนหายใจแผ่วๆ ดวงตาทอแววปรารถนา แต่ก็มีความกังวลอยู่ในใจว่าภรรยาจะเป้นอันตราย“หมอไม่ได้บอกว่าห้ามนี่คะ อีกอย่างพี่ภีมก็เป็นหมอ
เมื่อแขกผู้ใหญ่ทยอยกลับ เหลือเพียงบรรดาเพื่อนฝูง ญาติสนิท และเพื่อนร่วมงานใกล้ชิด บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงเปลี่ยนจากความเป็นทางการมาเป็นความครึกครื้นสนุกสนาน ดนตรีถูกปรับให้เร้าใจขึ้น แสงไฟหลากสีสาดไปทั่วฟลอร์ราวกับเปลี่ยนเป็นคลับหรูอิงลดาเปลี่ยนเป็นชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้สั้นระยิบระยับ โชว์เรียวขาสวยพอประมาณ ข้างกายคือภีมวัชที่สวมเสื้อเชิ้ตแขนพับกับกางเกงเข้ารูป ดูหนุ่มเท่แต่ก็ยังคงความสุขุม“ชุดนี้พี่ไม่โอเค โป๊ไป”“ครั้งเดียวในชีวิต ไม่สวยเหรอคะ”“สวยสิ เจ้าสาวสวยเกินไปแล้วคืนนี้” ภีมวัชก้มกระซิบที่ข้างหู ทำเอาอิงลดาหน้าแดงจัด ก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วกระซิบข้างหูของศัลยแพทย์หนุ่ม“ชุดนี้ ฉีกง่ายนะคะ ข้างในเป็นตาข่าย อิงกะจะให้พี่ภีมได้ฉีกมันคืนนี้”เขายิ้มกว้าง แววตาเต็มไปด้วยความพอใจ รู้ว่าภรรยาตั้งใจยั่ว แต่เธอท้องอยู่เขาจะกล้าลงมือหรือหมอหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย ดึงเธอขึ้นไปกลางฟลอร์เต้นรำ จังหวะดนตรีสนุกๆ ดังขึ้น เพื่อนๆ ก็ตบมือเชียร์กันสนั่น“วู้! หมอภีม เต้นเป็นด้วยเหรอนั่น” เพื่อนหมอชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา หมอนุ่นยืนหัวเราะพลางยกแก้วไวน์ “ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่เราเห็นในห้องผ่าต
สินีรัตน์ไม่พูดอะไรทันที แต่หยิบซองสีน้ำตาลจากมือ เดินเข้าไปหาเขา ก่อนจะโยนใส่หน้าเขาเต็มแรงจนเอกสารข้างในกระจายเกลื่อนพื้น“นี่คือสิ่งที่คุณอยากได้ไม่ใช่เหรอ เอกสารฟ้องหย่า” น้ำเสียงเธอเย็นชา จ้องมองเขาอย่างไม่เหลือเศษเสี้ยวความรักในแววตา “แล้วคุณเคยบอกเองว่าไม่อยากมีลูก ไล่ให้ฉันไปทำแท้ง วันนี้คุณคงสมใจแล้ว เด็กไม่อยู่แล้ว ชีวิตคู่ก็ไม่มีเหลืออีกต่อไป”ภาณุยกมือสั่นๆ จะเอื้อมไปหาเธอ “สินี ผม…”เขายังพูดไม่จบ สายตาเย็นเฉียบของเธอตัดคำพูดเขาทันที ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความรักกลับกลายเป็นเย็นชาและเกลียดชัง“อย่าเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงแบบนั้นอีก ตั้งแต่วันนี้ไป เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว” เธอกล่าวชัดถ้อยชัดคำ เธอหันหลังกลับ เดินเข้าบ้านโดยไม่หันกลับมามองแม้เพียงเสี้ยววินาที ทิ้งเขาไว้กับกองเอกสารบนพื้น และแก้มที่ยังแสบร้อนจากรอยตบประตูบ้านปิดลง เหมือนตอกย้ำความจริงว่าเขาได้สูญเสียเธอไปตลอดกาลแล้วเขายืนนิ่งอยู่หน้าบ้านราวกับถูกถอนวิญญาณออกไปทั้งร่าง สายตายังคงจับจ้องไปที่ประตูซึ่งไม่มีทางเปิดออกมาให้เขาได้เห็นใบหน้าของเธออีกคนขับรถที่ยืนรออยู่ใกล้ๆ มองนายหนุ่มด้วยความลังเล ก่อ
เสียงรถที่แล่นผ่านหน้าบ้านสวนออกไปทำให้ภาณุชะงัก เขาจำได้ทันทีว่ารถคันนั้นเป็นของครอบครัวสินีรัตน์ หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น เขารีบรุดเข้าไปในบ้าน เห็นบิดาและมารดานั่งอยู่ในห้องรับแขก บรรยากาศเงียบกดดันจนเขาไม่กล้าเอ่ยทัก สองสามีภรรยามองตรงไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะปรายตาใส่ลูกชายที่เพิ่งกลับถึงบ้าน“สินีล่ะครับ อยู่ข้างบนหรือเปล่า” เขาถาม แต่ไม่ได้รับคำตอบ ก่อนจะรีบก้าวขึ้นบันไดเมื่อรู้ว่าคงไม่ได้รับคำตอบง่ายๆเมื่อเปิดประตูห้องนอนออก ภาพที่เห็นทำให้เลือดในกายเย็นวาบ ห้องโล่งผิดปกติ ตู้เสื้อผ้าแทบว่างเปล่า เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัวไม่มีเหลือแม้ชิ้นเดียว ราวกับเจ้าของห้องไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน“ไม่จริง” เขาพึมพำ ก่อนหันหลังวิ่งลงมา หยุดยืนตรงหน้ามารดาที่นั่งเงียบอยู่ “แม่ ของของสินีหายไปหมด แม่รู้ใช่ไหมว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น”นงนาถถอนหายใจยาว สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “เมื่อกี้พ่อแม่ของหนูสินีเพิ่งมาเก็บของส่วนที่เหลือไป”“ส่วนที่เหลือ… หมายความว่าอะไรครับแม่” ภาณุถามเสียงแผ่วเหมือนไม่อยากได้คำตอบ“ก็หมายความว่าก่อนหน้านี้หนูสินีเก็บของกลับไปเกือบหมดแล้ว วันนี้เขาเพิ่งมาเอาที่เหลือให้เ
ทันทีที่รถตู้แล่นเข้าสู่กรุงเทพฯ และแวะพักที่บ้านเพียงไม่นาน ดาริกาก็จะออกไปตรวจดูสถานที่จัดงานฉลองแต่งงานในวันพรุ่งนี้ทันที“แม่จะไปดูห้องจัดเลี้ยง แม่อยากให้แน่ใจว่างานทุกอย่างพร้อม” ดาริกาพูดขณะก้าวลงจากรถ สีหน้ามีร่องรอยความกังวลชัดเจนภีมวัชเดินเคียงข้างภรรยา เอื้อมมือกุมมืออิงลดาเบาๆ พลางเหลือบตามองมารดา“นี่ก็เย็นมากแล้วนะครับ แม่ก็อย่ากังวลเกินไปเลยครับ ออแกไนเซอร์มืออาชีพทั้งนั้น เขาคงไม่พลาดเรื่องใหญ่แบบนี้หรอก”“แม่ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ หรอกลูก” ดาริกาส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด งานที่เชียงใหม่จัดอลังการเกินคาด งานที่กรุงเทพเธอจะไม่ให้ลูกสะใภ้น้อยหน้า“งานใหญ่ทั้งที แขกผู้ใหญ่ในวงสังคมจะมาร่วมเยอะมาก ถ้ามีอะไรผิดพลาดนิดเดียว คนเขาก็จะเอาไปพูดต่อกัน อีกอย่างแม่อยากให้อิงมีความสุขที่สุด”“เพิ่งมาถึง พักก่อนเถอะครับ” พิทักษ์กล่าวด้วยความกังวล อารีย์เองก็มองด้วยแววตาที่ร้องขอ แต่ดาริกาก็กังวลใจ เพราะเธอเป็นแม่งานในครั้งนี้“ถ้าคุณแม่ไม่สบายใจ งั้นเราก็ไปดูด้วยกันเถอะค่ะ” อิงลดาหันมามองสามีแล้วอมยิ้ม ก่อนจะหันไปบอกบุพการีของตน“คุณพ่อคุณแม่ก็พักก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวอิงกับพี่ภีมไปดูห้องจัดง
อิงลดานั่งอยู่บนเตียงในชุดนอนผ้าฝ้ายสีอ่อน ผมยาวสยายลงมาปรกบ่า ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอาง เธอเอนตัวพิงหมอนกอดหมอนข้างเอาไว้เหมือนจะกันตัวเองจากใครบางคนที่กำลังยืนกอดอกจ้องอยู่“พี่ภีมจะยืนมองอีกนานไหมคะ” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่แววตาหวานที่เหลือบมองทำให้ภีมวัชยิ่งรู้สึกใจเต้นแรง“พี่รอเวลานี้มาทั้งวันแล้วนะอิง อยากกอดเมียจะแย่” เขาเดินเข้ามาใกล้ เตียงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ เมื่อเขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเธอ“อิงรู้นะคะว่าพี่ไม่ได้แค่อยากกอดหรอก”เขาหัวเราะชอบใจก้มลงมองตาเธอใกล้ๆ “พี่สัญญาว่าจะดูแลอิง และดูแลลูกของเราให้ดีที่สุด ถึงจะห้ามใจไม่อยู่แต่พี่ก็จะพยายามหักห้ามใจไม่ให้เป็นอันตรายกับลูก” เขาพูดซึ้งแต่แฝงไปด้วยการพูดทีเล่นทีจริงอิงลดายิ้ม ดวงตาคลอด้วยน้ำใสๆ เพราะความซาบซึ้ง เธอเอียงหัวพิงไหล่สามีเบาๆ ภีมวัชกอดเธอแน่นขึ้น ก่อนที่เขาจะโน้มหน้าลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา แทนคำสัญญาที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นถ้อยคำใดๆ“พักเถอะ วันนี้เราเหนื่อยกันมามากแล้วพี่ไม่แกล้งแล้ว” เขากระซิบ พลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างเธอ “อิงรู้ว่าพี่ภีมไม่ได้แกล้งหรอก พี่น่ะหื่นจริง แต่ช่วงนี้อิงขอนะคะอิงเหนื่อยมากจริงๆ” “รู้