ณ ชานเมือง วัดซุ่นเหอ
ท่ามกลางเสียงระฆังทำวัตรเช้าระลอกแรกที่ดังกังวานแว่วมา ภายในเรือนรับรองอันเงียบสงบ หลิวชิงซวี่ผู้เพิ่งกลับมาจากข้างนอกรีบผลัดเปลี่ยนชุดพรางกายสีดำออก สวมใส่อาภรณ์สีเรียบง่ายแทนที่ ริมฝีปากบางหาวหวอดๆ ขณะปล่อยเรือนผมยาวสยายแล้วเดินไปเปิดประตู
ด้านนอกมีสาวใช้ตัวน้อยวัยสิบสองสิบสามปียืนรออยู่ เมื่อเห็นนางเปิดประตูจึงย่อกายคารวะ ก่อนจะยกอ่างล้างหน้าและสำรับเช้าเข้ามาวางไว้ภายในห้อง ครั้นจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ ภายใต้สายตาเย็นชาของหลิวชิงซวี่ สาวใช้ตัวน้อยก็รีบถอยออกไปจากเรือนรับรองด้วยท่าทีนอบน้อม
หลังจากวุ่นวายมาทั้งคืน หลิวชิงซวี่วักน้ำล้างหน้าเรียกความสดชื่นจนรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก เมื่อทานมื้อเช้าเสร็จ นางก็เริ่มกิจวัตรประจำวัน นั่นคือ... การคัดลอกพระคัมภีร์
นางมีนามเดิมว่าหลิวเสี้ยว หญิงสาวผู้ข้ามภพมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด มาสู่แคว้นอวี้เยียนแห่งนี้ ในฐานะคุณหนูสายตรงแห่งจวนแม่ทัพเจิ้นกั๋ว นามว่าหลิวชิงซวี่
ส่วนสาเหตุที่นางต้องระหกระเหินมาอยู่ที่วัดแห่งนี้ ฟังดูแล้วก็น่าขบขันยิ่งนัก
เป็นเพราะองค์รัชทายาทในปัจจุบันส่งคนมาสู่ขอนาง ทว่าบิดาผู้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ไม่อยากให้นางอภิเษกกับรัชทายาท จึงประกาศออกไปว่าบุตรสาวคนนี้ป่วยหนัก จำเป็นต้องพักรักษาตัวในที่เงียบสงบ แล้วส่งนางมาทิ้งไว้ที่วัดแห่งนี้
การแต่งงานที่เชิดหน้าชูตาแก่วงศ์ตระกูลเช่นนี้ เหตุใดท่านแม่ทัพจึงไม่เห็นดีเห็นงามด้วย เรื่องนี้คงต้องเล่ากันยาว
มารดาเจ้าของร่างเดิมเพิ่งสิ้นใจไปได้เพียงครึ่งปี ท่านแม่ทัพก็พาบุตรนอกสมรสชายหญิงคู่หนึ่งกลับเข้ามาในจวน ตามคำกล่าวอ้างของท่านแม่ทัพ น้องสาวของนางตกระกำลำบากอยู่ข้างนอกมาตั้งแต่เล็ก นางผู้เป็นพี่สาวสมควรดูแลน้องให้มาก เรื่องการอภิเษกกับรัชทายาทเช่นนี้ สมควรยกให้น้องสาวเสีย เพื่อเป็นการชดเชยความทุกข์ยากที่น้องได้รับมาตลอดหลายปี...
.....
ยามสายใกล้เที่ยง เสียงของสาวใช้ตัวน้อยก็ดังขึ้นจากหน้าประตู “เรียนคุณหนูใหญ่ คุณหนูรองมาเจ้าค่ะ”
หลิวชิงซวี่เงยหน้าขึ้น มองดูท้องฟ้าผ่านหน้าต่าง ก่อนจะรวบรวมคัมภีร์ที่คัดลอกเสร็จแล้วบนโต๊ะให้เข้าที่
“เข้ามา”
บานประตูถูกผลักออก เด็กสาววัยสิบห้าสิบหกปีในอาภรณ์หรูหราสีสดใสเดินนวยนาดเข้ามา ใบหน้างดงามบริสุทธิ์ราวกับดอกไม้แรกแย้ม ทว่าดวงตาคู่งามกลับหรี่ลงมองคนด้วยหางตา สีหน้าเต็มไปด้วยความถือดี ทุกย่างก้าวแผ่กลิ่นอายข่มขวัญผู้คน
ทันทีที่อ้าปาก ก็มีแต่วาจาเหน็บแนม “แหม พี่หญิง คัดคัมภีร์เสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?”
หลิวชิงซวี่เหลือบตามองเรียบเฉย “มีอะไรก็รีบพูดมา มีตดก็รีบปล่อย ถ้าจะถ่ายหนัก เชิญเลี้ยวซ้ายออกจากประตูไป”
หลิวหยวนอิน นี่คือน้องสาวต่างมารดาของเจ้าของร่างเดิม
ที่นางได้ข้ามภพมา ก็ต้องขอบคุณลูกอนุผู้นี้
เพื่อที่จะได้เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลหลิว หลิวหยวนอินไม่ลังเลที่จะลงมือสังหารพี่สาวตนเอง วางยาพิษจนเจ้าของร่างเดิมถึงแก่ความตาย
“หลิวชิงซวี่ ท่านน่าจะรู้วัตถุประสงค์ที่ข้ามาที่นี่” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายถูกขังอยู่ในวัดแต่ยังวางมาดสูงส่งไม่เห็นหัวใคร หลิวหยวนอินก็เผยสีหน้ารังเกียจชิงชังออกมา “ข้ามีทางเลือกให้ท่านสองทาง ทางแรกคือปลงผมบวชชีอยู่ที่นี่เสีย ทางที่สองคือท่านต้องไปปฏิเสธการสู่ขอของรัชทายาทด้วยตัวเอง มิฉะนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
ช่างเป็นการข่มขู่ที่โจ่งแจ้งนัก...
หลิวชิงซวี่ยกหางตาขึ้น มองดูอีกฝ่ายราวกับกำลังชมการแสดงของตัวตลก
“น้องรองเก่งกาจปานนั้น เหตุใดไม่ไปอ้อนวอนให้รัชทายาทแต่งกับเจ้าเสียเองเล่า?” นางหยุดเว้นจังหวะ แสร้งทำสีหน้าตื่นรู้ “อ้อ ข้าลืมไป ตำแหน่งพระชายารัชทายาทนั้นสูงส่งเพียงใด ในภายภาคหน้ายังต้องเป็นถึงพระมารดาของแผ่นดิน น้องรองเป็นเพียงลูกนอกสมรสที่ไม่อาจเทียบได้แม้แต่ฐานะลูกอนุ หากได้เป็นพระชายา เช่นนั้นจะให้ชายารองในจวนรัชทายาท ทนแบกหน้าอยู่ได้อย่างไร? เท่าที่ข้าทราบนางเกิดในตระกูลผู้ดีเก่าแก่ ซ้ำยังเป็นสายเลือดภรรยาเอก ให้น้องรองไปนั่งอยู่บนหัวนาง อย่าว่าแต่หน้าตาของนางเลย เกรงว่าวงศ์ตระกูลของนาง คงอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี”
“หลิวชิงซวี่! เจ้ากล้าดูถูกข้า!” หลิวหยวนอินเหมือนถูกมีดกรีดกลางใจ ใบหน้าที่งดงามบิดเบี้ยวด้วยความโทสะ ดวงตาเบิกโพลงแทบถลน จ้องเขม็งราวกับจะพุ่งเข้ามาฉีกทึ้งนาง
“ดูถูกเจ้า? หรือสิ่งที่ข้าพูดไม่ใช่ความจริง?” หลิวชิงซวี่เหยียดยิ้มมุมปาก นอกจากเย้ยหยันก็มีเพียงความสมเพช นางไม่อยากแต่งกับบุรุษมักมากที่เป็นดั่งม้าพ่อพันธุ์ แต่ดันมีคนเฝ้าฝันอยากให้ม้าตัวนั้นย่ำยี จะไม่ให้นางรู้สึกขบขันได้อย่างไร?
“หลิวชิงซวี่ วันนี้ข้ามาเพื่อเตือนท่าน ภายในสามวันข้าต้องได้ยินข่าวว่าเจ้าปฏิเสธการแต่งงาน ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าไม่มีบ้านให้กลับ!” หลิวหยวนอินกัดฟันพูดทิ้งท้ายด้วยความอาฆาต ก่อนจะสะบัดหน้าจากไปอย่างเดือดดาล
“เหอะ!” รอยยิ้มเย้ยหยันบนมุมปากของหลิวชิงซวี่กว้างขึ้น
ต่อให้นางไม่ได้เป็นพระชายา ตำแหน่งนั้นก็ไม่มีวันตกถึงมือหลิวหยวนอิน
หลิวจิ่งอู่ กุมอำนาจทางทหาร สร้างความดีความชอบนับไม่ถ้วน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วราชสำนัก มีอิทธิพลล้นฟ้าในแคว้นอวี้เยียน การที่รัชทายาทต้องการดึงเขามาเป็นพวกย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากจะให้รัชทายาททิ้งนางที่เป็นคุณหนูสายตรงไปแต่งกับหลิวหยวนอินที่เป็นลูกนอกสมรส ต่อให้รัชทายาทตกลง เกรงว่าฮ่องเต้และฮองเฮาก็คงไม่ทรงยินยอม
หลังมื้อเที่ยง นางก็เริ่มนอนพักผ่อน
หลับยาวจนถึงค่ำมืด จึงค่อยบิดขี้เกียจลุกจากเตียง
เมื่อทานมื้อเย็นและไล่สาวใช้ไปแล้ว นางก็ดึงชุดพรางกายสีดำจากใต้เตียงออกมาเปลี่ยน
คืนนี้และคืนพรุ่งนี้หากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ไม่เกินสามวันนางก็จะได้หอบเงินที่หามาได้ตลอดครึ่งปี หนีออกจากเมืองหลวงเสียที...
นางเปิดประตูห้อง
ทว่าขณะที่กำลังจะแฝงกายเข้าไปในความมืด จู่ ๆ เงาดำสายหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าอย่างไม่ทันตั้งตัว
ยังไม่ทันจะได้มองชัด ๆ ว่าเป็นตัวอะไร เงาดำนั้นก็พุ่งเข้าใส่นางเต็มแรง
ตุ้บ!
ก้นกบกระแทกพื้นอย่างจัง นางถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ทับนางอยู่คือคน
แถมยังเป็นผู้ชายเสียด้วย!
“ช่วยข้า... ข้า... จะ... ให้... ทุก... อย่าง...แก่เจ้า”
.....
ภายนอกวัด
เงาร่างหลายสายพุ่งทะยานผ่านป่าละเมาะอย่างรวดเร็ว ทุกที่ที่ผ่านเต็มไปด้วยไอสังหาร
หลังจากค้นหาอยู่นาน หนึ่งในนั้นก็สบถอย่างหัวเสีย “บ้าจริง! เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามันหนีเข้ามาทางนี้ ทำไมถึงหายตัวไปได้!”
อีกคนกล่าวอย่างร้อนรน “นายท่านกำชับมาว่าต้องกำจัดอ๋องเจินให้ได้ก่อนกลับเมืองหลวง ครั้งนี้ปล่อยให้เขาหนีไปได้ พวกเราจะกลับไปรายงานนายท่านได้อย่างไร?”
คนหนึ่งชี้ไปที่วัดบนยอดเขา “หรือว่าจะหนีเข้าไปในนั้น? ไป! พวกเราไปดูกัน!”
แต่พอจะก้าวเท้า ก็ถูกพวกเดียวกันขวางไว้ “ข้างบนนั้นมีคนของจวนแม่ทัพเจิ้นกั๋ว อย่าเพิ่งวู่วาม เดี๋ยวจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ตามความคิดข้า กลับไปรายงานนายท่านก่อน ให้ท่านหาทางเข้าไปในวัดจะดีกว่า”
คนอื่น ๆ เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ หลังปรึกษากันเสียงเบา คนหนึ่งก็รีบออกจากป่ามุ่งหน้าลงเขา ส่วนที่เหลือกระจายกำลังซุ่มดูอยู่ตามทางเข้าออกวัดอย่างลับ ๆ
.....
ภายในเรือนรับรอง
หลิวชิงซวี่มองดูชายหนุ่มที่หมดสติอยู่ คิ้วเรียวขมวดมุ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หากโยนเขาออกไป เขาต้องถูกมองว่าเป็นมือสังหารแน่ แล้ววัดซุ่นเหอก็จะหมดความสงบสุข นางไม่ได้กลัวความวุ่นวาย แต่กลัวว่าท่านพ่อจอมเผด็จการจะย้ายที่กักบริเวณนาง
อีกนิดเดียวนางก็จะหลุดพ้นจากจวนแม่ทัพแล้ว หากต้องย้ายที่อยู่กะทันหัน แผนการของนางต้องพังแน่
แต่ผู้ชายตัวโตขนาดนี้ หากไม่โวยวายบอกใคร จะจัดการอย่างไรดี?
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งออกมาจากร่างของชายหนุ่ม นางขมวดคิ้วเดินไปที่เตียง หยิบของที่ซ่อนไว้ใต้เตียงออกมา
เห็นแก่ที่อยู่ในเขตพื้นที่สงฆ์ นางจะใจดีสักครั้งก็แล้วกัน...
นางไม่ได้จุดเทียน แต่ลากร่างชายหนุ่มไปที่ริมหน้าต่าง อาศัยแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขา
จากการจับชีพจร พบว่าชายคนนี้สูญเสียลมปราณไปมหาศาล โชคดีที่ไม่ถึงแก่ชีวิต พักฟื้นสักระยะก็น่าจะหายดี สาเหตุที่ทำให้เขาหมดสติจริง ๆ คือเสียเลือดมากจากบาดแผลภายนอก
เจ้าของร่างเดิมเติบโตมาในตระกูลแม่ทัพ คลุกคลีกับการฆ่าฟัน จึงพอมีความรู้เรื่องการรักษาเบื้องต้นอยู่บ้าง และในช่วงครึ่งปีมานี้นางก็รับนิสัยบางอย่างของร่างเดิมมา จึงมักเตรียมอุปกรณ์ทำแผลและสมุนไพรติดตัวไว้เสมอ ดังนั้นการจะช่วยคนในเวลานี้จึงไม่ใช่เรื่องยาก
นางพบบาดแผลฉกรรจ์สองแห่งบนร่างเขา แห่งหนึ่งที่เอว อีกแห่งที่ต้นขา
กว่าจะใส่ยาและพันแผลเสร็จ นางก็เหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัว ทิ้งตัวลงนั่งหอบหายใจบนพื้น ถึงได้มีเวลาพินิจพิเคราะห์คนที่นางเพิ่งช่วยชีวิตไว้
ก่อนหน้านี้มัวแต่ห่วงเรื่องรักษา เลยลืมไปว่าเขาเป็นผู้ชาย พอได้มองชัด ๆ ตอนนี้ ถึงเพิ่งพบว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาดีไม่เบา
ข้ามเรื่องสีหน้าซีดเผือดไป ใบหน้าของเขาคมคายราวกับรูปสลัก คิ้วเข้มพาดเฉียงดูดุดันแข็งกร้าว จมูกโด่งเป็นสันดั่งภูผา แม้แต่ริมฝีปากบางที่แห้งผากก็ยังดูเย้ายวนและงดงาม ทุกสัดส่วนช่างวิจิตรบรรจง หล่อเหลาราวกับภาพวาดจนต้องรู้สึกตะลึง
พูดถึงรูปร่างของชายผู้นี้ ก็ช่างเร้าใจจนเลือดกำเดาแทบพุ่ง กะจากสายตาน่าจะสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ไหล่กว้างสะโพกสอบ ร่างกายกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งสมชายชาตรี แม้แต่ขนหน้าแข้งยังแผ่กลิ่นอายความดิบเถื่อนของบุรุษเพศ
โดยเฉพาะไอ้นั่น...
แค่ก ๆ!
เพื่อพิสูจน์ว่านางไม่ใช่คนบ้ากาม นางรีบเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง แล้วแอบด่าในใจเบา ๆ
ไอ้ปีศาจยั่วสวาท!
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
เสียงระฆังทำวัตรดังขึ้น สาวใช้ตัวน้อยมาปรากฏตัวที่หน้าประตูตรงเวลา
หลิวชิงซวี่เปิดประตู รับน้ำและอาหารเข้ามา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “วันนี้ข้าไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น อยากจะนอนอย่างเดียว ถ้าไม่มีธุระอย่ามารบกวน”
“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่” สาวใช้รับคำแล้วถอยออกไป
เมื่อแน่ใจว่าคนเดินไปไกลแล้ว หลิวชิงซวี่ก็ปิดประตู วางอาหารไว้บนโต๊ะ แล้วเดินไปที่ฉากกั้นตรงมุมห้อง
นางซ่อนผู้ชายไว้หลังฉากกั้น ทันทีที่ก้าวเข้าไป ก็สบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่ทอประกายเย็นเยียบ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าดวงตาเรียวยาวคู่นั้นช่างงดงามเหลือเกิน แต่เวลานี้มันดูคมกริบจนนางไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ตื่นแล้วหรือ?”
ยามนี้ชายหนุ่มเปลี่ยนมาใส่ชุดพรางกายสะอาดสะอ้านแล้ว ติดแค่เรื่องขนาดที่ชุดของนางไม่อาจห่อหุ้มร่างกายอันกำยำของเขาได้มิดชิด สาบเสื้อไม่อาจกลัดกระดุมจึงเผยให้เห็นแผงอกแน่นตึง ไหล่และแขนทั้งสองข้างดูเหมือนจะปริแตกได้ทุกเมื่อ
ยังดีที่กางเกงเป็นแบบผูกเชือก แม้จะสั้นเต่อไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ปิดส่วนสำคัญได้
“เจ้าช่วยข้าไว้หรือ?” น้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นยะเยือกย้อนถามแทนคำตอบ แฝงแววระแวดระวัง
หลิวชิงซวี่อดขมวดคิ้วไม่ได้ ย้อนถามกลับเช่นกัน “ทำไม ลืมคำสัญญาของท่านแล้วหรือ?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วคมเข้ม นัยน์ตาเรียวยาวไหววูบ ดูคล้ายกำลังพยายามนึกย้อนความทรงจำ
หลิวชิงซวี่ทำหน้านิ่ง ล้วงเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ ยื่นให้เขา “เรื่องที่ท่านบอกว่าจะให้ข้าทุกอย่างเอาไว้ก่อน ท่านดูใบแจ้งหนี้ใบนี้ก่อนเถิด”
ดวงตาคมกริบของชายหนุ่มละจากใบหน้านางมามองกระดาษที่ยื่นมาให้ แล้วยกมือขึ้นรับ
เพียงแค่กวาดสายตาดูเนื้อหาในกระดาษ ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรมารก็พลันเย็นเฉียบราวกับแช่อยู่ในสระน้ำแข็ง รังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาทั่วร่าง
“เจ้าแน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่การปล้น?”
“ปล้น?” หลิวชิงซวี่กระตุกยิ้ม ยิงฟันขาวสะอาดสดใส “ถ้าไม่ใช่เพื่อเงิน ข้าจะช่วยท่านทำไม? ต่อให้ท่านจะมองว่าชีวิตตัวเองไม่มีค่าถึงแปดหมื่นตำลึง แต่แรงกาย แรงใจ และความเสียหายที่ข้าต้องเสียเวลาไป มันหาใช่เงินแปดหมื่นตำลึงจะซื้อได้ง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่”
รอยยิ้มของนางเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน งดงามจนแทบลืมหายใจ แต่ในสายตาของเยี่ยนซื่อหยวน รอยยิ้มพิมพ์ใจนั้นกลับเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
“เรา... ถ้าข้าไม่มีจ่ายล่ะ?”
“งั้นก็ขายแรงงานใช้หนี้แทนสิ” ราวกับคาดเดาไว้แล้วว่าเขาจะเบี้ยวหนี้ หลิวชิงซวี่จึงล้วงกระดาษอีกแผ่นออกมา
“ขายแรงงาน?”
เยี่ยนซื่อหยวนคว้ากระดาษแผ่นนั้นไป
กระดาษแผ่นแรกเป็นรายการหนี้สิน ค่ารักษาพยาบาลเอย ค่ายาสมุนไพรเอย ค่าทำความสะอาดเอย ค่าเสื่อมสภาพแรงงานเอย ค่าชดเชยการเสียเวลาเอย ค่าทำขวัญเอย... เขาใช้ชีวิตมายี่สิบสามปี เพิ่งเคยเห็นการตั้งชื่อรายการหนี้ได้พิสดารเช่นนี้ แถมแต่ละรายการเขายังไม่เคยได้ยินมาก่อน!
จะเรียกว่าเหลวไหลยังน้อยไป!
ส่วนกระดาษแผ่นนี้ไม่ใช่บัญชีหนี้ แต่เป็นสัญญาจ้างแรงงาน
‘ข้าพเจ้า (...) ติดค้างเงินหลิวชิงซวี่เป็นจำนวนแปดหมื่นตำลึงถ้วน เนื่องจากไร้ความสามารถในการชำระคืน จึงยินดีติดตามรับใช้หลิวชิงซวี่นับแต่บัดนี้ ปฏิบัติตามคำสั่งทุกประการ เพื่อช่วยหลิวชิงซวี่หาเงินให้ครบแปดหมื่นตำลึงจึงจะเป็นอิสระ ในระหว่างที่ทำงานให้หลิวชิงซวี่ ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังนี้: หนึ่ง ห้ามเปิดเผยฐานะของหลิวชิงซวี่แก่ผู้ใด สอง ห้ามแพร่งพรายสิ่งที่หลิวชิงซวี่ทำแก่ผู้ใด (สัญญานี้หลิวชิงซวี่เป็นผู้มีสิทธิ์ตีความแต่เพียงผู้เดียว)’
เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาหงส์ฉายแววซับซ้อนยากจะคาดเดา “เจ้า... คือบุตรสาวแม่ทัพเจิ้นกั๋ว หลิวจิ่งอู่หรือ?”
หลิวชิงซวี่กอดอก เชิดคางขึ้นเล็กน้อย “ถูกต้อง”
นางไม่แปลกใจที่คนแปลกหน้าจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของนาง หลิวจิ่งอู่มีชื่อเสียงเกริกไกร อย่าว่าแต่ในแคว้นอวี้เยียนเลย ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแคว้นอื่น ๆ ก็ยังต้องรู้จัก แล้วนางที่เป็นถึงบุตรสาวสายตรงตระกูลหลิว ถ้าใครบอกว่าไม่รู้จักสิถึงจะแปลก
เมื่อเห็นใบหน้าดำทะมึนราวกับซดซีอิ๊วเข้าไปเกินขนาดของเขา นางคิดว่าเขาคงไม่พอใจเงื่อนไข จึงชี้ไปที่สัญญาแล้วอธิบาย “นี่ก็แค่สัญญาจ้างงาน ไม่ใช่สัญญาทาส ท่านวางใจได้ ข้าเอาเกียรติของท่านพ่อ แม่ทัพเจิ้นกั๋วรับประกัน ข้าไม่มีทางกลั่นแกล้งท่านแน่นอน”
เยี่ยนซื่อหยวนจ้องมองใบหน้างดงามล่มเมืองของนางเขม็ง “ในเมื่อเป็นถึงบุตรีแม่ทัพเจิ้นกั๋ว เหตุใดจึงขัดสนเพียงนี้?”
คำว่าขัดสนยังถือว่าเกรงใจนัก หากไม่เห็นแก่ที่นางช่วยชีวิตเขาไว้ เกรงว่าเขาคงสังหารนางทิ้งด้วยข้อหา ‘ฉวยโอกาสปล้นทรัพย์’ ไปแล้ว!
หลิวชิงซวี่ไม่คิดว่าเขาจะพูดมากเพียงนี้ จึงชักสีหน้าด้วยความรำคาญใจ “ก็เพราะคุณหนูอย่างข้าเป็นถึงบุตรีแม่ทัพเจิ้นกั๋ว ไม่ได้ช่วยผู้ใดสุ่มสี่สุ่มห้า ราคาค่าตัวมันก็ต้องแพงเป็นธรรมดา!”
เยี่ยนซื่อหยวนเม้มริมฝีปากบางแน่น
แม้จะไม่พอใจพฤติกรรมขูดรีดทรัพย์ของนาง แต่ยามนี้ได้รับความช่วยเหลือซ้ำยังต้องอาศัยชายคาผู้อื่น หนี้แปดหมื่นตำลึงนี้คงต้องจำยอมติดค้างไปก่อน
เขาทอดสายตามองเสื้อผ้าบนร่างกายตนเอง น้ำเสียงพลันกดต่ำลง “นี่เสื้อผ้าของเจ้าหรือ?”
“อืม”
“งั้นเจ้าก็เห็นเรือนร่างข้าแล้วใช่หรือไม่?”
หลิวชิงซวี่ปรายตามองเขาด้วยหางตา “ไม่อย่างนั้นท่านคิดว่า ‘ค่าทำขวัญ’ มาจากไหนกันเล่า? สาวน้อยบริสุทธิ์อย่างข้าต้องเสี่ยงตาเป็นกุ้งยิงเพื่อห้ามเลือดทำแผลให้ท่าน ท่านเคยนึกถึงความรู้สึกข้าบ้างหรือไม่?”
เยี่ยนซื่อหยวนเม้มปากแน่นอีกครั้ง นัยน์ตาที่หรี่ลงฉายแววขุ่นเคืองลึกล้ำ
แม้จะฟังออกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจในวาจาของนาง แต่ก็ฟังออกถึงความรังเกียจเดียดฉันท์ในน้ำเสียงนั้นด้วยเช่นกัน
ต่อให้ไม่พอใจเพียงใด ท้ายที่สุดเขาก็ยอมกัดปลายนิ้ว ใช้เลือดแทนหมึกเขียนชื่อลงในกระดาษพร้อมประทับลายนิ้วมือ ก่อนจะสะบัดแขนโยนกระดาษกลับไปให้นาง
หลิวชิงซวี่ยื่นมือรับ ก้มลงมองแวบหนึ่ง
“ท่านชื่อ อาซื่อหรือ?”
เยี่ยนซื่อหยวนทำสีหน้าเคร่งขรึมไม่กล่าววาจา
หลิวชิงซวี่เบะปาก พับสัญญาเก็บเข้าอกเสื้อ แล้วหันหลังเดินออกจากฉากกั้นไปที่โต๊ะเพื่อล้างหน้าและทานมื้อเช้า
อาหารเช้าของทางวัดเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง ในแต่ละวันมีเพียงโจ๊กหนึ่งชามและซาลาเปาเจหนึ่งลูก
นางชำเลืองมองไปที่ฉากกั้น ดื่มโจ๊กไปครึ่งชาม กินซาลาเปาไปครึ่งลูก จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปหลังฉากกั้น ยื่นโจ๊กก้นชามกับซาลาเปาที่เหลืออีกครึ่งลูกส่งให้เขา
ใครจะไปรู้ว่าพอเห็นอาหารที่นางยื่นให้ ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มที่กำลังนั่งเดินลมปราณอยู่จะดำทะมึนเป็นก้นหม้อ สายตาคมกริบราวดอกธนูเย็นเยียบพุ่งเข้าใส่นางทันที
“เจ้าเอาของกินเหลือมาให้ข้าหรือ?”