Share

บทที่ 2

Author: อีปี้ถังถัง
หลิวชิงซวี่เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ยี่หระ “รังเกียจหรือ? มีให้กินก็ดีถมไปแล้ว! อย่าลืมสิว่าตอนนี้ท่านเป็นลูกจ้างของข้า ไม่กินของเหลือจากข้า จะให้ข้ากินของเหลือจากท่านหรือไร?” นางเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะเสริมด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “อย่าคิดจะให้ข้าไปหามาให้อีกชุดเชียว ยกเว้นท่านอยากให้คนอื่นรู้! แล้วจะบอกให้อีกอย่างนะ ตอนนี้ข้างนอกนั่นนอกจากคนของจวนแม่ทัพแล้ว ยังมีพวกที่ตามล่าท่านอยู่ด้วย หากไม่มีข้าที่เป็นถึงคุณหนูใหญ่จวนแม่ทัพนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ ป่านนี้พวกเขาคงบุกเข้ามาค้นห้องนานแล้ว!”

พูดจบ นางก็ยัดชามโจ๊กและซาลาเปาอีกครึ่งลูกใส่มือเขา แล้วสะบัดหน้าเดินออกจากหลังฉากกั้นไปอย่างเย็นชา

เยี่ยนซื่อหยวนก้มมองของในมือ อกกระเพื่อมขึ้นลง ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง

แต่ท้ายที่สุด เขาก็จำใจส่งซาลาเปาเข้าปาก...

ยังไม่ทันถึงเวลาเที่ยงวัน เสียงฝีเท้าของสาวใช้ตัวน้อยก็ดังขึ้นที่หน้าประตู น้ำเสียงแผ่วเบานั้นแฝงความเร่งรีบอยู่หลายส่วน

“เรียนคุณหนูใหญ่ องค์รัชทายาทเสด็จมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”

สีหน้าของหลิวชิงซวี่ที่กำลังคัดลอกพระคัมภีร์อยู่ที่โต๊ะพลันบึ้งตึงขึ้นทันที

องค์รัชทายาท?

เขามาทำไม?

สำหรับการสู่ขอของรัชทายาทผู้นี้ นางไม่มีความหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย การที่หลิวจิ่งอู่ไม่อยากให้นางแต่งกับรัชทายาท นางกลับแอบยินดีอยู่ในใจเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อถูกส่งตัวมาขังไว้ที่วัดแห่งนี้ นางจึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี กลางวันทำตัวเป็นเด็กดี กลางคืนออกไปทำธุระส่วนตัว เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

แต่การที่รัชทายาทมาเยือนกะทันหันเช่นนี้ นางไม่คิดว่าเป็นเรื่องดีเลยสักนิด...

นางปรับอารมณ์ให้สงบ ก่อนจะเอ่ยตอบออกไปอย่างเย็นชา “ทูลเชิญองค์รัชทายาทรอสักประเดี๋ยว ขอข้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะออกไปพบ”

จากนั้นนางก็ลากกล่องเล็ก ๆ ออกมาจากใต้เตียง หยิบกระปุกครีมที่ปรุงเองออกมา ป้ายเนื้อครีมลงบนฝ่ามือเล็กน้อย แล้วเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า

เพียงครู่เดียว ใบหน้าที่เคยสดใสเปล่งปลั่งก็กลับกลายเป็นหมองคล้ำซีดเซียว แม้แต่ริมฝีปากที่เคยแดงระเรื่อก็ดูไร้สีเลือด ดูราวกับคนป่วยหนักใกล้ตาย จนน่ากลัวพิลึก

นางเก็บกล่องไม้กลับเข้าใต้เตียง แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ฉากกั้น ลากฉากกั้นไปชิดผนัง

เยี่ยนซื่อหยวนมองดูใบหน้าที่แต่งแต้มจนดูป่วยไข้ของนาง แววตาฉายความฉงนสงสัยอย่างชัดเจน

หลิวชิงซวี่พยักพเยิดไปทางหลังประตู “ไปหลบตรงนั้น!”

เยี่ยนซื่อหยวนมองไปที่ซอกหลังประตู สายตาไหววูบเล็กน้อยก่อนจะชี้ไปที่ขาของตน “เดินไม่ไหว”

หลิวชิงซวี่หน้าดำทะมึน “...”

.....

หนึ่งก้านธูปต่อมา นางก็เดินออกจากเรือนรับรอง ตรงไปยังสวนดอกไม้ที่ไม่ไกลนัก

สวนในวัดไม่ได้หรูหราวิจิตรตระการตาเหมือนจวนขุนนางใหญ่ จุดเด่นที่สุดคือความเงียบสงบ

ณ ศาลาพักผ่อน นางได้พบกับเยี่ยนหรงซี องค์รัชทายาทแห่งแคว้น

“หม่อมฉันถวายพระพรเพคะ องค์รัชทายาท”

“ลุกขึ้นเถิด”

“ขอบพระทัยเพคะ”

นางค่อย ๆ พยุงกายลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้า ๆ ราวกับเรี่ยวแรงถดถอย ร่างกายโงนเงนเล็กน้อยขณะยืนขึ้น

รูปร่างที่ผอมบาง ประกอบกับใบหน้าที่ดูป่วยไข้ แม้แต่การคุกเข่าเพียงครู่เดียวยังดูเหมือนจะพรากชีวิตนางไปครึ่งหนึ่ง ภาพเหล่านี้ตกอยู่ในสายตาของเยี่ยนหรงซี ทำให้สีหน้าของเขาเคร่งขรึมลง

น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย “ได้ยินว่าเจ้าป่วยหนัก เป็นโรคอันใด?”

หลิวชิงซวี่เอ่ยตอบด้วยเสียงอันอ่อนแรง “ทูลองค์รัชทายาท โรคของหม่อมฉันติดตัวมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้เพคะ”

“ข้าได้ส่งคนไปสู่ขอเจ้าแล้ว เจ้าทราบหรือไม่?”

“เอ่อ...” หลิวชิงซวี่แสร้งทำเป็นตกตะลึง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “องค์รัชทายาท... ไม่ได้นะเพคะ หม่อมฉันป่วยหนัก อาจจะตายวันตายพรุ่งเมื่อใดก็ได้ จะบังอาจเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระองค์ได้อย่างไร?”

บุรุษตรงหน้าจัดว่าเป็นยอดบุรุษโดยแท้ ใบหน้างดงามราวกับดวงจันทร์ สุขุมนุ่มลึกแต่แฝงความเย่อหยิ่ง กลิ่นอายสูงศักดิ์สง่างามทำให้ทุกสิ่งรอบกายดูหมองลง ราวกับเทพเซียนผู้โดดเดี่ยวเหนือโลกหล้า ไม่ว่าจะยืนอยู่ที่ใดก็กลายเป็นทิวทัศน์อันงดงาม

แต่ต่อให้เป็นระดับราชา ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะถูกใจ นางเป็นถึงสาวยุคใหม่จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่เพียบพร้อมด้วยความสามารถ เพียงแค่ครึ่งปีในแคว้นอวี้เยียนก็หาเงินได้เป็นหมื่นตำลึงแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการหาวิธีกลับโลกเดิม ต่อให้กลับไม่ได้ ด้วยความสามารถของนาง การจะเป็นเศรษฐีระดับประเทศก็คงอีกไม่นานเกินรอ

แต่งงาน?

เหอะ ๆ!

นางคิดว่าสภาพป่วยออดแอดแบบนี้จะทำให้เขารังเกียจจนถอดใจ แต่ไม่นึกเลยว่าเยี่ยนหรงซีจะยังยืนกรานจะแต่งกับนาง

“ไม่เป็นไร ต่อให้เจ้าสิ้นใจในวันแต่งงาน ข้าก็จะแต่งป้ายวิญญาณเจ้าเข้าจวน”

“...?!” ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

แต่งกับป้ายวิญญาณ?

ช่างเป็นความรักที่ ‘ลึกซึ้งตรึงใจ ตายแทนกันได้’ เสียจริง!

อย่าว่าแต่นางไม่เคยคิดจะแต่งงานเลย ต่อให้ตายไปแล้ว การแต่งงานกับผีก็อย่าหวังว่าจะตกถึงมือเขา!

จู่ ๆ เยี่ยนหรงซีก็ลุกขึ้นเดินลงจากศาลา มุ่งหน้าไปยังเรือนรับรองนาง

เห็นดังนั้น หลิวชิงซวี่ก็ลอบขมวดคิ้ว แล้วรีบสาวเท้าตามไป

“วัดนี้เงียบสงบ เหมาะแก่การพักรักษาตัวจริง แต่ในฐานะบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ ที่นี่ดูจะซอมซ่อเกินไปกระมัง”

“ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใยเพคะ เดิมทีท่านพ่อจะส่งคนมาดูแลหม่อมฉันให้มากกว่านี้ แต่หม่อมฉันร่างกายอ่อนแอ ทนเสียงรบกวนไม่ได้ ท่านพ่อเกรงว่าจะกระทบต่อการพักผ่อน จึงส่งเพียงเสี่ยวหวงอิงมาปรนนิบัติเพคะ วันนี้องค์รัชทายาทเสด็จมา หม่อมฉันไม่ได้เตรียมการต้อนรับ หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ขอประทานอภัยด้วยเพคะ”

ระหว่างสนทนา ทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องพักของนาง

สายตาของเยี่ยนหรงซีจับจ้องไปที่ประตูที่ปิดสนิท

หลิวชิงซวี่เปิดประตูออกกว้างเพียงพอให้คนเดียวเดินผ่าน แต่ร่างของนางกลับยืนขวางธรณีประตูไว้อย่างแนบเนียน ใบหน้าฉายแววรู้สึกผิด “องค์รัชทายาท ด้านในกลิ่นยาเหม็นคลุ้ง ขอพระองค์ทรงไว้หน้าหม่อมฉันบ้างเถิดเพคะ”

เยี่ยนหรงซีกวาดตามองเข้าไปในห้องอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะเบนสายตากลับมาที่ใบหน้าซีดเซียวของนาง

“ข้าส่งสินสอดไปที่จวนแม่ทัพแล้ว หากเจ้าพยักหน้า ข้าจะขอให้เสด็จพ่อมีราชโองการกำหนดวันอภิเษกทันที”

พอคิดว่าเขาไม่ละเว้นแม้แต่ป้ายวิญญาณ หลิวชิงซวี่ก็รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว

แต่งงานกับผีบ้าผีบออะไรกัน!

แต่ภายนอก นางยังคงตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ทำตัวเป็นสาวน้อยอาภัพบุญวาสนา เอ่ยเสียงแผ่วว่า “องค์รัชทายาท หม่อมฉันทราบดีถึงเจตนาของพระองค์ แต่หม่อมฉันไม่อาจแบกรับเกียรติยศนี้ได้จริง ๆ เพคะ อีกทั้งตระกูลหลิวมิได้มีหม่อมฉันเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว น้องสาวของหม่อมฉันก็เป็นที่โปรดปรานของท่านพ่อ หากพระองค์จะทรงพิจารณาน้องสาว...”

“เจ้าคิดว่าลูกนอกสมรสคู่ควรจะเป็นพระชายาเอกของข้าหรือ?” ใบหน้าหล่อเหลาราวหยกของเยี่ยนหรงซีพลันเคร่งขรึมลง น้ำเสียงแฝงไอเย็นยะเยือก

“องค์รัชทายาท หม่อมฉันมิได้มีเจตนาอื่น...”

“หลิวชิงซวี่ ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน จงเตรียมตัวให้พร้อม! อีกหนึ่งเดือนให้หลัง หากเจ้ายังอยู่ ข้าก็จะแต่งคน แต่หากเจ้าตาย ข้าจะให้คนหามเกี้ยวเจ้าสาวมารับป้ายวิญญาณเจ้าเข้าจวน!”

มองดูแผ่นหลังสง่างามราวเทพเซียนที่เดินจากไป พร้อมกับคำประกาศิตเผด็จการที่ก้องอยู่ในหู สีหน้าหมองคล้ำของหลิวชิงซวี่ก็ยิ่งมืดมนลงไปอีก

ตอนอยู่ก็โดนขู่เข็ญ พอตายยังจะโดนจับวิวาห์ผีอีก! นี่กะจะบีบให้นางกลายเป็นตัวประหลาดที่คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิงให้ได้เลยใช่หรือไม่?!

นางก้าวข้ามธรณีประตู แล้วปิดห้องลง

ไม่ผิดจากที่คาด นางสบเข้ากับดวงตาเรียวยาวสีดำสนิทคู่หนึ่ง ดวงตานั้นลึกล้ำราวกับนกอินทรีที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดยามราตรี กำลังจ้องมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์

“รัชทายาทมาสู่ขอ เหตุใดจึงไม่แต่ง?”

นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่คิดว่าเขาจะมีอารมณ์มาสอดรู้เรื่องชาวบ้าน ยักไหล่ทีหนึ่งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเดินไปที่โต๊ะเตี้ยตัวใหญ่กลางห้อง

นางรู้ดีว่าหากใครล่วงรู้ความคิดของนาง คงพากันหัวเราะเยาะว่านางช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย

นั่นคือรัชทายาทเชียวนะ!

ว่าที่ฮ่องเต้ในอนาคต!

แต่นาง... ไม่สนใจจริง ๆ

นางไม่ได้เป็นคนของโลกนี้ ขอเพียงตามหากระจกเฟิ่งหยาง พบ นางก็จะไปจากโลกนี้ กลับไปยังที่ที่นางรัก...

แต่งงาน? ในสายตานาง เรื่องนั้นต่างหากที่น่าขบขันที่สุด

จนกระทั่งเสี่ยวหวงอิงยกมื้อเที่ยงมาส่ง นางก็ยังคงก้มหน้าก้มตาคัดลอกพระคัมภีร์อยู่ที่โต๊ะ ส่วนบุรุษหลังบานประตูก็เงียบเสียงลงหลังจากถามประโยคนั้น บาดแผลภายนอกของเขาได้รับการรักษาแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือการโคจรลมปราณฟื้นฟูพลังภายใน

หลิวชิงซวี่ออกไปรับสำรับอาหารที่หน้าประตู

เมื่อเสี่ยวหวงอิงจากไป นางก็ปิดประตู แล้วยกมื้อเที่ยงทั้งชุดไปวางไว้ข้างขาชายหนุ่ม

มื้อเช้าต้องกินของเหลือจากนาง ในใจของเยี่ยนซื่อหยวนย่อมมีโทสะ แต่ยามนี้เห็นนางยกอาหารมาให้เขาก่อน ก็อดแปลกใจไม่ได้

“ทำไม จะกินของเหลือจากข้าหรือ?”

หลิวชิงซวี่กลอกตาให้เขาอย่างไม่เกรงใจ

จากนั้นก็ยืดตัวลุกขึ้นเดินไปที่เตียง ล้มตัวลงนอนทั้งชุด หลับตาลงพลางปรายตามองไปทางเขา “ข้าจะนอน ไม่ต้องเหลือไว้ให้ข้า”

มุมปากของเยี่ยนซื่อหยวนกระตุกเล็กน้อย

เงยหน้ามองนาง แต่นางก็หลับตาไปแล้ว

เห็นนางนอนหลับอย่างไม่ระแวดระวังเช่นนี้ สายตาของเขาไหววูบ เอ่ยถามขึ้นว่า “ชายหญิงอยู่ร่วมห้องกันตามลำพัง เจ้าวางใจข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

หลิวชิงซวี่พลิกตัวหันหน้าเข้าหาผนัง หันหลังให้เขา เอ่ยเสียงเรียบ “สภาพท่านตอนนี้ ให้โอกาสท่าน ท่านก็ไม่มีปัญญาทำอะไรหรอก ข้าขอเตือนด้วยความหวังดี อย่าคิดอะไรเพ้อเจ้อ ระวังข้าจะเอา ‘ลูกเจี๊ยบ’ ของท่านไปตุ๋นซุปเห็ด”

สิ้นเสียงของนาง ใบหน้าของเยี่ยนซื่อหยวนก็ดำทะมึนราวกับไปเกลือกกลิ้งในบ่อหมึก

ลูกเจี๊ยบ...

หมายถึงของเขาหรือ?!

แม้หลิวชิงซวี่จะหันหลังให้ แต่หูของนางดีเยี่ยม ได้ยินเสียงเขากัดฟันกรอด ๆ ริมฝีปากนางก็ยกยิ้มอย่างดูแคลน

นางนอนหลับยาวจนกระทั่งค่ำมืดตามเคย

ลุกจากเตียงมาจุดตะเกียงน้ำมัน

เห็นชายหนุ่มข้างประตูยังคงนั่งสมาธิเดินลมปราณ นางจึงลากกล่องใบเล็กออกมาจากใต้เตียง แล้วยกไปวางข้างกายเขา

“ได้เวลาเปลี่ยนผ้าพันแผลแล้ว”

เยี่ยนซื่อหยวนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาสีดำขลับเลื่อนจากใบหน้างดงามของนางมามองที่กล่อง

เห็นนางหยิบขวดยาออกมาสองขวด ขวดหนึ่งปากกว้าง อีกขวดปากแคบ นางเทยาเม็ดสีดำสนิทจากขวดปากแคบออกมาสองสามเม็ด แล้วยื่นให้เขา

เขาไม่ลังเล รับไปแล้วกลืนลงคอทันที

หลิวชิงซวี่เปิดขวดปากกว้าง ข้างในบรรจุของเหลวเหนียวข้นสีขาวขุ่น ส่งกลิ่นสมุนไพรเข้มข้นออกมา

“นี่เป็นยาใส่แผลที่ข้าให้คนปรุงขึ้นเป็นพิเศษ รักษาแผลภายนอกได้ดียิ่งนัก ว่ากันว่าช่วยลบรอยแผลเป็นได้ด้วย ไม่มีชื่อ ท่านก็เอาไปใช้เถอะ”

“เจ้าไม่ทำแผลให้ข้าหรือ?” เห็นนางยัดขวดยาใส่มือ เยี่ยนซื่อหยวนก็ขมวดคิ้ว หรี่ตามองนางอย่างไม่พอใจ

“ข้าทำแผลให้ได้ แต่มีข้อแม้ว่าท่านต้องถูกข้าตีให้สลบก่อน” หลิวชิงซวี่มองเขาด้วยหางตา

เมื่อคืนที่ถอดเสื้อผ้าเขามันเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ จำเป็นต้องช่วยชีวิต แต่ตอนนี้เขาตื่นอยู่ ยังจะให้นางถอดเสื้อผ้าเขาอีก ผู้ชายคนนี้สมองเพี้ยนไปแล้วหรือไร ถึงอยากจะให้นางลวนลามนัก?

เห็นเขาเม้มปากแน่น ราวกับไม่พอใจจริง ๆ ที่นางไม่ยอม ‘ลวนลาม’ เขา นางก็ชักสีหน้าเอือมระอา “หรือว่าสมองท่านก็ได้รับการกระทบกระเทือนด้วย เมื่อคืนข้าลืมตรวจดูหรือเปล่า?”

ใครจะคิดว่าเขากลับหน้าด้านหน้าทน ย้อนถามกลับมาว่า “งั้นเจ้าจะตรวจดูอีกรอบไหมล่ะ?”

“ท่าน!” หลิวชิงซวี่แทบอยากจะซัดเขาสักหมัด ดูรูปร่างหน้าตาก็หล่อเหลาไม่แพ้รัชทายาทแท้ ๆ เหตุใดสมองถึงได้ผิดปกติแบบนี้!

ประจวบเหมาะกับที่นางได้ยินเสียงฝีเท้าของเสี่ยวหวงอิงเดินเข้ามา จึงลุกขึ้นไปเปิดประตู

รับสำรับอาหารเสร็จ นางก็ปิดประตู รอจนเสี่ยวหวงอิงเดินไปไกลแล้ว จึงส่งอาหารให้ชายหนุ่มหลังประตู

“เจ้าไม่กินหรือ?” ชายหนุ่มหรี่ตามองนางเล็กน้อย หากจำไม่ผิด ทั้งวันมานี้นางกินแค่โจ๊กครึ่งชามกับซาลาเปาครึ่งลูกเท่านั้น

“คืนนี้ข้าจะออกไปข้างนอก จะไปกินข้างนอกแล้วค่อยกลับมา”

“เจ้าจะไปไหน?”

“...” หลิวชิงซวี่ชะงักไปเล็กน้อย ที่นางบอกความเคลื่อนไหวเพราะพวกเขาลงนามสัญญาจ้างงานกันแล้ว ถือเป็นนายจ้างกับลูกจ้าง แต่ผู้ชายคนนี้เป็นอะไรของเขา น้ำเสียงแข็งกระด้างเหมือนกำลังสอบปากคำนักโทษ

นางกลอกตาใส่เขา แล้วหันหลังเดินหนี

ไปหยิบชุดพรางกายจากห่อผ้าใต้เตียง แล้วลากฉากกั้นมากาง เปลี่ยนชุดหลังฉากกั้นจนเสร็จสรรพ จึงเดินกลับมาหาเขาอีกครั้ง

สบตากับดวงตาเรียวยาวอันคมกริบคู่นั้น นางเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “ตอนนี้ท่านเป็นลูกจ้างของข้า ไม่ต้องถามมาก รีบรักษาตัวให้หายดี วันหน้าท่านจะรู้เองว่าข้าทำอะไร”

พูดจบ นางก็เปิดประตูออกไปอย่างคล่องแคล่ว

เยี่ยนซื่อหยวนยกนิ้วเรียวยาวลูบปลายคาง สายตาจดจ้องอยู่ที่บานประตู ริมฝีปากยกยิ้มบางเบา

คุณหนูสายตรงจวนแม่ทัพเจิ้นกั๋ว...

ช่างน่าสนใจจริง ๆ!

ดึกสงัด ภายในสวนดอกไม้นอกเรือนรับรองพลันมีเสียง ‘สวบสาบ’ ดังขึ้น คล้ายลมพัดกิ่งไม้ไหว

ตามมาด้วยเสียงนกร้องสั้น ๆ หนึ่งครั้ง

เยี่ยนซื่อหยวนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งพลันลืมตาโพลง หัวคิ้วขมวดมุ่นทันที

ครู่ต่อมา เขาก็ผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ คลายหัวคิ้วลง แล้วขยับริมฝีปากเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เข้ามา!”

ประตูห้องถูกผลักออก เงาร่างสีดำสองสายพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

พอเห็นเจ้านายของตนที่อยู่หลังประตู พวกเขาก็รีบดึงผ้าปิดหน้าลง แล้วคุกเข่าลงพร้อมกัน

“ท่านอ๋อง พวกกระหม่อมมาช้า ปล่อยให้พระองค์ต้องลำบากแล้ว!”

“ข้าดวงแข็ง ยังไม่ตายง่าย ๆ หรอก”

ลูกน้องทั้งสองก้มหน้าลง รู้สึกผิดและโทษตัวเองที่อารักขาเจ้านายไม่ดี

ทันใดนั้น ลูกน้องทางซ้ายก็ขยับจมูกฟุดฟิด เงยหน้าถามอย่างตื่นตระหนก “ท่านอ๋อง พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ลูกน้องทางขวาได้ยินดังนั้น ก็เงยหน้าขึ้นอย่างร้อนรนเช่นกัน “ท่านอ๋อง ทรงบาดเจ็บตรงไหน? สาหัสหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

พวกเขาคือองครักษ์คนสนิทของเยี่ยนซื่อหยวน คนซ้ายชื่อ เจียงจิ่ว คนขวาชื่ออวี๋ฮุย ทั้งสองติดตามเยี่ยนซื่อหยวนมาตั้งแต่เล็ก เรียกได้ว่าเติบโตมาพร้อมกัน

กับคนสนิท เยี่ยนซื่อหยวนย่อมไม่มีอะไรต้องปิดบัง จึงเล่าเหตุการณ์ที่ถูกลอบทำร้ายและได้รับการช่วยเหลือให้ฟัง

เจียงจิ่วฟังจบ ก็เอ่ยอย่างกังวล “ท่านอ๋อง ให้กระหม่อมตรวจดูอาการหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

เยี่ยนซื่อหยวนยื่นข้อมือให้

หลังจากจับชีพจรแล้ว เจียงจิ่วก็ถามว่า “ท่านอ๋อง ขอยาที่คุณหนูหลิวให้พระองค์เสวยแก่กระหม่อมดูหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

เยี่ยนซื่อหยวนส่งขวดยาทั้งสองขวดที่หลิวชิงซวี่ให้มาให้เขา

เจียงจิ่วเปิดขวดปากแคบ เทเม็ดยาออกมาดม แล้วเปิดขวดปากกว้างดมดูอีกที จากนั้นจึงปิดขวดทั้งสองให้เรียบร้อย

“ท่านอ๋อง ยาของคุณหนูหลิวไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ แถมตัวยาที่ใช้ล้วนเป็นของชั้นเลิศ เดี๋ยวกลับไปกระหม่อมจะเพิ่มสมุนไพรอีกไม่กี่ขนาน ใช้ควบคู่กับยาของคุณหนูหลิว ไม่เกินครึ่งเดือนพระองค์ก็จะหายเป็นปกติ”

“ดูท่าคุณหนูหลิวผู้นั้นจะมีฝีมือไม่เบาเลยนะ” อวี๋ฮุยฟังเจียงจิ่วพูดจบ ก็อดชื่นชมไม่ได้

“ท่านอ๋อง แล้วคุณหนูหลิวไปไหนเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ?” เจียงจิ่วมองไปรอบห้อง นอกจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่เห็นใครอื่น แม้แต่ในสวนตอนที่เข้ามาก็ไม่พบใคร

“นางออกไปข้างนอก” เยี่ยนซื่อหยวนตอบเสียงเรียบ

“ท่านอ๋อง พระองค์หมายความว่าคุณหนูหลิวเป็นคนทำแผลให้พระองค์หรือ?” อวี๋ฮุยจ้องเขม็งไปที่บาดแผลทั้งสองแห่งของเจ้านาย จู่ ๆ ก็ร้องเสียงหลง “ถ้าอย่างนั้นคุณหนูหลิวก็เห็นพระวรกายของพระองค์หมดแล้วน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ?!”
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • กลรักร้ายเสด็จอาเล็ก   บทที่ 30

    หลังจากรู้จักกันมาสักพัก หลิวชิงซวี่แทบจะไม่เคยเห็นเขายิ้มเลย คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเขายิ้มจะน่าหลงใหลขนาดนี้ นางจึงมองด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มอย่างอดไม่ได้เมื่อลมพัดผ่านกาย ทำให้นางดึงสติกลับมาได้ ก่อนจะรีบดึงมือของเขาที่วางอยู่บนเอวนางออก“อะไรกัน แค่นอนด้วยกันคืนเดียวก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ตอนนี้ยังคิดจะเอาชีวิตที่เหลืออีกหรือ?” ให้ตายเถอะ คาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าใช้แผนชายงามกับนาง!มุมปากที่ยกขึ้นของเยี่ยนซื่อหยวนแข็งทื่อเล็กน้อย ดวงตาที่เคยเปล่งประกายกลับมืดมนดังเดิมผู้หญิงคนนี้ ช่างพูดแทงใจดำจริง ๆ……ตอนที่กลับมาถึงเรือนหลังเล็กก็ดึกมากแล้วหลิวชิงซวี่ยืนมองเตียงเล็กจากหน้าประตูด้วยความลำบากใจเตียงหลังนั้นมีขนาดพอ ๆ กับเตียงที่อยู่ในหอพักโรงเรียน หากนอนคนเดียวยังพอไหว แต่ถ้านอนสองคนก็ไม่มีที่ให้ขยับตัวเลย “มานี่!” เยี่ยนซื่อหยวนนั่งลงบนเตียง แต่เมื่อเห็นว่านางยืนนิ่งที่หน้าประตู เขาก็ตะโกนขึ้นเสียงต่ำ“ท่านนอนเถอะ ข้าจะออกไปเฝ้ายามด้านนอก หากมีคนตามมา…” นางครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะแยกเวลานอนกับเขาดีกว่า นางนอนตอนกลางวัน เขานอนตอนกลางคืน ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็

  • กลรักร้ายเสด็จอาเล็ก   บทที่ 29

    หลิวชิงซวี่รีบพาเยี่ยนซื่อหยวนลงไปด้านล่าง บริเวณที่เงาดำเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้มีเพียงหลุมลึกหลุมหนึ่ง กลิ่นเหม็นเสียดจมูกยังลอยโชยขึ้นมาจากหลุมนั้น นางยกมือขึ้นปิดจมูกพร้อมเบิกตากว้างด้วยความตกใจขโมยศพ?“ไปกันเถอะ พวกเราต้องกลับแล้ว” เยี่ยนซื่อหยวนกระชับเอวของนางไว้แน่น “ไม่ตามไปดูหน่อยหรือ?” หากนางไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง หลิวชิงซวี่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่านางจะได้พบเจอกับเรื่องเช่นนี้ ขุดสุสาน ต่อให้เป็นศตวรรษที่ 21 ก็ยากที่จะยอมรับเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องการขโมยศพที่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน จะนำศพไปใช้ประโยชน์อะไรได้?หากคนทั่วไปได้ยินแล้วคงจะรู้สึกสัมผัสถึงลางร้าย ความอัปมงคล ความน่าสะพรึงกลัว ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องหลบเลี่ยง แต่กลับมีคนมาขโมยศพ พวกเขาคิดอะไรอยู่กันแน่?“พวกเราเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน ระวังตัวไว้ก่อนจะดีกว่า” เยี่ยนซื่อหยวนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ หลิวชิงซวี่ครุ่นคิด ก่อนสลัดความอยากรู้อยากเห็นในสมองออกไป การที่พวกเขาออกจากเมืองหลวง ไม่ใช่เพียงแค่หลบหนีจากศัตรู แต่นางยังต้องระวังไม่ให้คนของหลิวจิ่งอู่มาจับตัวนางกลับไปด้วย ท้ายที่สุดแล้วนางก็ตอบตกลงเรื่อง

  • กลรักร้ายเสด็จอาเล็ก   บทที่ 28

    อากาศในตอนกลางคืนของต้นฤดูร้อนไม่ร้อนจัด น้ำในแม่น้ำยังเย็นอยู่บ้าง แต่สำหรับหลิวชิงซวี่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ต่อให้อาบน้ำในฤดูหนาวก็จะรู้สึกหนาวเพียงผิวกาย ไม่ใช่ขั้วกระดูกหลิวชิงซวี่แช่น้ำเย็น ชำระความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ประดับประดาด้วยดวงดาวยามค่ำคืน หากไม่ใช่เพราะมีชายคนหนึ่งนิ่งอยู่ริมฝั่ง ด้วยบรรยากาศเงียบสงบยามค่ำคืน อีกทั้งยังเป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้งแบบนี้ หลิวชิงซวี่คิดว่าตนเองน่าจะมีความสุขไม่น้อยหลังจากชำระร่างกายใต้น้ำจนหมดจดแล้ว ชายที่อยู่ริมฝั่งก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน นางจึงหันกลับไปมองด้วยความหงุดหงิด “นี่ท่านจะมาดูต้นทางให้ข้าหรือจะมาดูข้าอาบน้ำกันแน่?”เยี่ยนซื่อหยวนที่อยู่ริมฝั่งก็ยืนหันหน้าเข้าหาแม่น้ำ เหมือนกำลังมองดูท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ คล้ายว่ากำลังชื่นชมทิวทัศน์ที่งดงามของแม่น้ำในยามราตรี เมื่อได้ยินเสียงไม่พอใจของนาง เขาก็พูดขึ้นอย่างเหยียดหยาม “มีส่วนไหนบนร่างกายของเจ้าที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างนั้นหรือ?”หลิวชิงซวี่หมดคำจะพูด นางพูดออกไปเสียขนาดนั้นแล้ว แต่ทำไมผู้ชายคนนี้ยังมีหน้ายืนดูนางอาบน้ำอยู่ล่ะ?แต่สิ่งที่ทำให้นางโกรธจน

  • กลรักร้ายเสด็จอาเล็ก   บทที่ 27

    ก่อนที่เขาจะขึ้นครองราชย์ เสด็จอาเล็กมีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น ตาย! หรือไม่ก็มอบสมบัติที่เสด็จปู่ทิ้งเอาไว้ให้!……ภายในหมู่บ้านที่ห่างไกลหลิวชิงซวี่วางตะเกียบลง นางมองไปยังท้องฟ้าด้านนอก ก่อนกวาดสายตามองรอบเรือนแห่งนี้ ในที่สุดนางก็เอ่ยปากถามชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างอดไม่ได้ว่า “ในเมื่อพวกเราเสียเงินเช่าเรือนในหมู่บ้านแล้ว ทำไมท่านถึงไม่ชอบบ้านที่มันกว้างกว่านี้ล่ะ?”นางไม่ได้รังเกียจที่สภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่ แต่บ้านที่มีเพียงห้องนอนเดียวนั้นมันเล็กไปจริง ๆ ! เจ้าของบ้านหลังนี้เป็นหญิงชรา หลังจากที่นายท่านซื่อมอบเงินให้นางแล้ว หญิงชราคนนั้นก็ย้ายไปอยู่บ้านของลูกชายลูกสะใภ้อย่างมีความสุขทันที ลูกสะใภ้ของหญิงชราคนนั้นมีชื่อว่าซานเหนียง ซึ่งอาหารทั้งหมดซานเหนียงเป็นคนทำมาให้พวกเขาทาน หมอนและที่นอนที่อยู่ในห้อง ซานเหนียงก็เป็นคนเปลี่ยนให้พวกเขาใหม่ทั้งหมดพวกเขามาอาศัยที่นี่เพราะพวกเขาถูกสะกดรอยตามตั้งแต่ออกจากเมือง และเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ที่สะกดรอยตาม นางกับนายท่านซื่อจึงลงจากรถม้าอย่างลับ ๆ และมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ส่วนเจียงจิ่วกับอวี๋ฮุยก็ขับรถม้ามุ่งลงทางใต้ต่อไป เ

  • กลรักร้ายเสด็จอาเล็ก   บทที่ 26

    หลิวชิงซวี่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะช่วยเหลือนางมากมายขนาดนี้ นอกจากนี้นางก็รู้สึกซาบซึ้งมากยิ่งขึ้นด้วย “เจียงจิ่ว ขอบคุณมากนะ”เจียงจิ่วขยิบตาให้กับเจ้านายของตนเอง “คุณหนูหลิว นี่คือคำสั่งของนายท่านซื่อ หากท่านอยากจะขอบคุณก็ควรไปขอบคุณนายท่านซื่อดีกว่า”หลิวชิงซวี่มองไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนเม้มริมฝีปากขึ้นอย่างกระดากอาย “คิดไม่ถึงเลยว่านายท่านซื่อจะรอบคอบเช่นนี้…”เยี่ยนซื่อหยวนพูดตัดบทนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้ากับเจ้าคำนับฟ้าดินด้วยกันแล้ว เรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของข้า”หลิวชิงซวี่รู้สึกอึดอัดมาก นิ้วหัวแม่เท้าของนางแทบจะหงิกงอหมดแล้วหากเป็นไปได้นางก็อยากจะพูดเปิดอกกับเขาว่า พวกเขาไม่เหมาะสมกันเลยไม่ต้องพูดถึงภูมิหลังของนาง เพียงแค่นิสัยของพวกเขาก็แตกต่างกันมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องค่านิยม ทัศนคติ อุดมคติชาตินี้นางอาจจะแต่งงานกับใครสักคน แต่ต่อให้แต่งงาน นางก็ไม่น่าจะแต่งงานกับคนเช่นนี้สิ? ใบหน้าที่เย็นชาอยู่ตลอดนั้น เหมือนนางเป็นคนไปขุดหลุมศพบรรพบุรุษของเขามาอย่างไรอย่างนั้น นางนึกภาพออกเลยว่าหากต้องใช้ชีวิตกับคนแบบนี้ นางจะต้องปวดหัวมากขนาดไหนสิ่งที่

  • กลรักร้ายเสด็จอาเล็ก   บทที่ 25

    ป้าฮุ่ยก็ไม่ได้เร่งเร้านาง เพียงแต่ช่วยเก็บจานที่อยู่บนโต๊ะอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายหลิวชิงซวี่ก็ลุกขึ้นจากนั้นนางก็เดินไปที่ประตูหลัง นางเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่จริง ๆ ก่อนจะมองชายสองคนที่สวมหมวกผ้าสักหลาด หนวดเครารกรุงรังกำลังนั่งอยู่ตำแหน่งคนขับอย่างพินิจพิเคราะห์ นางเกือบหลุดขำออกมาแล้ว “ทำไมพวกเจ้าต้องแต่งตัวเช่นนี้ด้วย?”เจียงจิ่วพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “คุณหนูหลิวขึ้นรถม้ามาก่อนเถอะขอรับ พวกเราค่อยคุยกันระหว่างทาง”หลิวชิงซวี่ไม่คิดอะไรมาก นางสาวเท้าขึ้นรถม้า จากนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเข้าไปด้านในสายตาทั้งสี่สอดประสาน ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในรถม้ายังคงเย็นชาเช่นเดิม ดวงตาสีดำขลับลึกล้ำยากคาดเดา เหมือนว่าไม่มีอะไรสามารถดึงดูดสายตาเขาได้ แต่นางไม่ได้เมินเฉยเหมือนเมื่อก่อน หลังจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางกายแล้ว ต่อให้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจกลับสับสนวุ่นวาย “เอ่อ…บาดแผลของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” นางลงที่ฝั่งตรงข้ามของเขา ก่อนแสร้งถามด้วยความเป็นห่วง แต่ในใจกลับกล่าวว่า ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเขาเอง หากเขามีมนุษยธรรมและสามารถควบคุมตัวเองได้ บาดแผลก็จะไม่เปิดเช่นนั้น “ไม่เป็นไ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status