“ว่าอย่างไร พบเบาะแสบ้างหรือไม่”
“ท่านอ๋อง ไม่มีเบาะแสใดเลยพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกงค้อมศีรษะ
หลงโหย่วอี้เงียบขรึม ร่างสูงเอนกายพิงพนักเก้าอี้ซ้ำยังแหงนหน้าพ่นลมหายใจราวคนสิ้นหวัง เฉินกงจึงนึกลังเลว่าควรรายงานเรื่องต่อไปหรือไม่
“เอ่อ…ท่านอ๋อง พระองค์ตามหานางมาสิบปีแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ บางทีนางอาจ…”
นัยน์ตาคมตวัดมองฉับ “เหลวไหล!”
เฉินกงสะดุ้งโหยง เขาก้มหน้างุดเพราะรู้ตัวว่าตนพลั้งปากไปเสียแล้ว
หลงโหย่วอี้กำลังตามหาบุตรีของขุนนางใหญ่สกุลเสิ่นที่ต้องโทษประหารเมื่อสิบปีก่อน ครั้งนั้นจวนของเขาถูกเผาจนมอดไหม้กระทั่งเสาสักต้นยังไม่หลงเหลือ
เฉินกงแทบไม่เห็นหนทางเป็นไปได้ด้วยซ้ำกับการตามหาครั้งนี้ เด็กหญิงอายุเพียงสิบหนาวจะสามารถรอดชีวิตจากเปลวโลกันตร์อันร้อนระอุครานั้นได้อย่างไร ทว่าหลงโหย่วอี้กลับปักใจเชื่อโดยตลอดว่านางยังคงมีชีวิตอยู่
ท่านอ๋องผู้เกรียงไกรกุมอำนาจทางการทหารเสียจนผู้คนล้วนยำเกรงเติบโตมาจนอายุครบยี่สิบแปดปีจึงไม่คิดใส่ใจหรือต้องการรับสตรีใดเข้ามาเป็นพระชายา คงเพราะเขากำลังรอคอยใครบางคน
หากครั้งนี้ฮ่องเต้ไม่มอบสมรสพระราชทานเพื่อบีบคั้นเขา ดูเหมือนหลงโหย่วอี้ก็คงยืนกรานครองตัวเป็นโสดไปชั่วชีวิต
หลงโหย่วอี้สงบใจ “นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“นะ…นางไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินกงลืมไปเสียสนิทว่ายามนี้ท่านอ๋องของเขานั้นแต่งพระชายาแล้ว และเรื่องที่คิดจะรายงานก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขาลำบากใจอยู่นี่อย่างไร หลงโหย่วอี้ถอนหายใจระลอกใหญ่ เฉินกงได้สติ “อะ…อ้อ พระชายา ดูเหมือนจะไม่สบายอยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้น “ไม่สบายหรือ นางช่างดวงแข็งจริงเชียว ยังไม่ตายอีกรึ”
เฉินกงอึกอัก หลงโหย่วอี้คงไม่คิดให้พระชายาตนเองตายในวันเข้าหอจริง ๆ กระมัง “คือ…พระชายาแค่ไม่สบายเล็กน้อย พระชายาบอกว่าพักนิดหน่อยก็ดีขึ้น และยังบอกอีกว่า…”
นัยน์ตาคมปลาบช้อนขึ้นแช่มช้า เฉินกงประสานสายตากับอีกฝ่ายก็เผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “ว่า…ยาปลุกกำหนัดของท่านประสิทธิภาพไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย เพียงเอากายแช่น้ำก็หายเป็นปลิดทิ้ง คราวหน้าหากท่านอ๋องอยากเล่นสนุกก็อย่าใจเสาะหนีหน้ากันอีกพ่ะย่ะค่ะ พระชายาเอ่อ…ยังบอกอีกว่าปลดปล่อยผู้เดียวรู้สึกทรมานหัวใจจริง ๆ”
ปัง!
“ไร้ยางอาย! นางกล้าเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไร หนำซ้ำยังอาจหาญบอกว่าข้าใจเสาะ จูฟางหรง เจ้าไม่อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสงบใช่หรือไม่!”
เฉินกงหุบปากฉับ เขาจำคำพูดมาจากจูฟางหรงไม่มีขาดตกบกพร่อง แม้จะดูน่ากระดากอาย แต่เขาก็ต้องรายงานตามหน้าที่
หลงโหย่วอี้กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินคำพูดไม่อายฟ้าดิน จูฟางหรงเกือบถูกเขาเด็ดหัวอยู่รอมร่อ ยังโอหังถือดี คงเพราะมีไทเฮาและฝ่าบาทถือหางนางจึงเหิมเกริมกับเขา ทั้งที่เมื่อคืนแสร้งอ่อนแอประหนึ่งบุปผาไร้หนาม ดูเหมือนนางจงใจยั่วโมโหให้เขาขาดสติ แต่ในเมื่อเขาลั่นวาจาจะให้โอกาสนาง เช่นนั้นเขาก็มิอาจบ่ายเบี่ยง ดูสิว่านางจะยกวิธีใดมาพยศใส่เขาอีก
“ส่งคนไปจับตาดูนางอย่าให้คลาดสายตา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จูฟางหรง ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าเป็นมือสังหารของหอหงฮวาหรือไม่ อย่าได้คิดตบตาข้า ตัวแสบ...
.
.
ก่อนหน้าในหอบรรทม
“พระชายาเพคะ”
เปลือกตาบางเปิดปรือแช่มช้า จูฟางหรงกลอกตามองเพื่อปรับม่านดวงตาให้คุ้นชิน
ฮัด…ชิ้ว!!
โอ๊ย เมื่อยตัวชะมัด หนาวอีกต่างหาก
ร่างระหงสั่นระริก เพราะเมื่อคืนนางต้องทรมานด้วยฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดแทบกระอักโลหิตตาย จูฟางหรงจึงลากสังขารไปหย่อนตัวลงในอ่างน้ำอุ่น ไม่รู้ว่านางเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อใด นับว่าโชคดีที่ไม่จมน้ำสิ้นชีวิตไปเสียก่อน
นัยน์ตาหงส์ช้อนขึ้นแช่มช้าก็เห็นว่าเป็นสาวใช้คนสนิทของตนเมื่อชาติก่อน จูฟางหรงลุกพรวด ความเจ็บปวดที่มีมลายหายไปสิ้น
“เป่าชุน!”
สตรีร่างเล็กผงะ สีหน้าของนางออกมึนงงอยู่บ้าง เพราะนางยังไม่ทันแนะนำตนเองให้พระชายาโหย่วอี้อ๋องทราบเลยสักครั้ง
จูฟางหรงคว้ามือของเป่าชุนซึ่งถือผ้าผืนหนาเอาไว้ด้วยสีหน้าดีใจ กระบอกตาทั้งสองร้อนรื้นแดงก่ำ เสียงใสสั่นเครือ “เป่าชุน เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
จูฟางหรงสำรวจอีกฝ่ายอย่างนึกลืมตัว เป่าชุนกะพริบตาถี่ “เอ่อ…พระชายาเพคะ มะ…ไม่เป็นไรเพคะ แต่คนที่เป็นน่าจะเป็นท่าน”
จูฟางหรงลืมตัวไปชั่วขณะ นางชะงักค้าง ริมฝีปากบางเฉียบซึ่งซีดขาวก็ยกโค้งผะแผ่ว “ขอโทษที”
เป่าชุนเกาหัวแกรกกราก มือเรียวคลี่ผ้าสะอาดที่นำมาด้วยตวัดห่อเรือนร่างอันเปียกชุ่มของจูฟางหรงเอาไว้
“พระชายา เหตุใดจึงมาอยู่ในนี้ได้หรือเพคะ อากาศเย็นเพียงนี้อาจเป็นหวัดเอาได้นะเพคะ”
จูฟางหรงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก็หน้ามุ่ย “เปล่าไม่มีอะไร ข้าแค่ร้อนน่ะ”
เป่าชุนไม่เข้าใจ เพราะอากาศช่วงนี้ไม่ได้ร้อนแต่อย่างใด ออกจะหนาวจนแทบนับว่าสามารถแข็งตายได้เลยทีเดียว แต่เป่าชุนก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ
จูฟางหรงยืดกายเต็มความสูง ขาเสลาอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง คงเพราะจูฟางหรงหมดสติในท่าเดิมเป็นเวลานาน จึงเป็นเหตุให้การทรงตัวเอียงกระเท่เร่แทบล้มทั้งยืน
“พระชายา ระวังเพคะ” เป่าชุนรุดเข้าประคองจูฟางหรงหน้าตื่น
“ขอบใจนะ”
เป่าชุนช่วยประคองจูฟางหรงให้ออกมาด้านนอกบริเวณหอนอน ยามนี้ไม่ได้มีเพียงสตรีสองนาง ทว่ายังมีเฉินกงที่รอพบจูฟางหรงอยู่สักพักแล้ว
“พระชายา ท่านเป็นอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เช้าวันนี้เฉินกงพาเป่าชุนมาส่งเพื่อปรนนิบัติจูฟางหรง และเขาต้องนำเรื่องของจูฟางหรงไปรายงานต่อหลงโหย่วอี้ด้วย ทั้งที่เป็นคืนเข้าหอ ทว่าสองสามีภรรยากลับไม่ได้ร่วมหลับนอนกัน ช่างน่าประหลาดจริงแท้
จูฟางหรงตวัดมองค้อน แต่นั่นก็เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น นางอยากระบายโทสะให้หนัก ๆ ทว่าจูฟางหรงก็ต้องตริตรองถึงแผนการเอาตัวรอดของตนในอนาคต จูฟางหรงยังคงสวมบทสตรีอ่อนหวานต่อไป เพราะนางมาดมั่นแล้วว่าจะปราบพยศอ๋องปีศาจให้กลายเป็นสุนัขสวมปลอกคอให้จงได้ ดูสิว่าหากบุรุษถูกมารยาหญิงเข้าไป เขาจะยังใจแข็งดุจดั่งพระอิฐพระปูนได้อีกหรือไม่
จูฟางหรงคลี่ยิ้มละไม เอ่ยเสียงอ่อนหวาน “ท่านองครักษ์ ข้าแค่ไม่สบายตัวนิดหน่อย เพียงแต่ ยาปลุกกำหนัดของท่านอ๋องประสิทธิภาพไม่ได้เรื่องเสียเลย ข้าเพียงเอากายแช่น้ำก็หายเป็นปลิดทิ้ง ช่วยไปบอกท่านอ๋องทีว่า หากคราวหน้าท่านอ๋องอยากเล่นสนุกก็อย่าใจเสาะหนีหน้ากันอีก ข้าก็เป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ทิ้งให้ปลดปล่อยผู้เดียวช่างเจ็บปวดหัวใจจริง ๆ”
แท้จริงนางอยากตอบนัก ว่าข้ายังไม่ตาย! แต่ก็ได้แต่เก็บเอาไว้ลึกสุดใจ
เฉินกงหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินสิ่งที่จูฟางหรงสาธยาย เป่าชุนเองก็ทำตัวไม่ถูกมือไม้เก้งก้างกันไปหมด ครั้นเห็นท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ จากองครักษ์คนสนิทของโหย่วอี้อ๋อง จูฟางหรงก็ลอบหัวเราะด้วยความสาแก่ใจ
ยังมิสบโอกาสเอาคืนเจ้านายก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นนางขอเก็บดอกเบี้ยจากองครักษ์เขาก่อนแล้วกัน ดูสิว่าหากเฉินกงรายงานคำพูดของนางออกไปทั้งหมด โหย่วอี้อ๋องจะบันดาลโทสะจนเผาตำหนักของตนจนวอดไปเลยหรือไม่
หลงโหย่วอี้ ท่านอยู่ใต้คนเพียงหนึ่ง แต่อยู่เหนือคนใต้หล้าแล้วอย่างไร เคยได้ยินหรือไม่ วีรบุรุษยากจะผ่านด่านหญิงงาม [1]
“ชะ...เช่นนั้น…กระหม่อมไม่รบกวนพระชายาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกงละล้าละลัง เขาไม่สบตาจูฟางหรงด้วยซ้ำ
องครักษ์ร่างสูงเร่งร้อนสับเท้าเป็นระวิง จูฟางหรงเหยียดยิ้มแสร้งขบขันแผ่วเบาไล่หลังเขาเพื่อกลั่นแกล้ง
เฉินกงขนลุกเกรียว
พระชายาน่ากลัวกว่าที่ข้าคิดเสียอีก
^วีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงาม หมายถึง บุรุษมักจะสูญสิ้นจิตวิญญาณในการทำสิ่งใด เพียงเพราะความหลงใหลในตัวสตรี
จูฟางหรงผละจากระเบียงเรือ หลงโหย่วอี้สังเกตบทสนทนาของสตรีทั้งสองอยู่ตลอดเพื่อรอจับพิรุธ ไม่นานร่างระหงก็ย่างกรายออกไปที่ลานด้านหน้าไม่ห่างจากเขามากนัก นัยน์ตาคมกริบปรายมองเรือนร่างระหงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าชิ! อย่าตาค้างแล้วกัน ข้าควรส่งสัญญาณให้พวกเขาสังหารท่านไปเสียเลยดีหรือไม่เสียงบรรเลงจากคงโหวดังขึ้นอีกครั้ง จูฟางหรงยอบกายลงแช่มช้า นางค่อย ๆ ร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย หลงโหย่วอี้ยังนั่งนิ่งประหนึ่งหุบเขาน้ำแข็ง ทั้งที่ภายในใจของเขามันเต้นเร้าโครมคราม ไยนางจึงทำให้อกซ้ายเขามันคันยุบยิบอยู่เรื่อย จูฟางหรงทำราวกับนางมีเสน่ห์จิ้งจอกอยู่ บางคราก็ทำให้เขาเผลอไผลโดยไร้สาเหตุจูฟางหรงหมุนตัวเพื่อลอบสบตาสตรีบนเรือสำราญอีกฝั่ง นางสังเกตหาเงาของมือสังหารที่ซ่อนตัวอยู่บนเรือลำนั้น ทำนองของดนตรีเริ่มเพิ่มจังหวะความเร็ว จูฟางหรงพยายามควบคุมลวดลายการวาดมือ และเคลื่อนไหวเรือนร่างอรชรเข้าใกล้หลงโหย่วอี้อย่างแนบเนียนเดิมทีหลงโหย่วอี้แทบไม่คิดเหลือบแลนางสักเสี้ยวเพราะกำลังเร่งสงบใจ แต่ยามนี้จูฟางหรงสามารถทำให้เขาต้องย้ายสายตามาชมการแสดงได้แ
เรือสำราญขนาดใหญ่ล่องอยู่เหนือทะเลสาบเจียงซี นึกไม่ถึงเลยว่าบนเรือลำนี้จะมีการจัดแสดงนางระบำ ทั้งยังมากด้วยอาหารรสเลิศพร้อมสรรพจูฟางหรงและหลงโหย่วอี้นั่งอยู่คนละฝั่งระหว่างโต๊ะสำรับทรงกลม วันนี้หลงโหย่วอี้ไม่อยากออกมาด้วยซ้ำ แต่เพราะเป็นกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ ไทเฮาก็คะยั้นคะยอไม่เลิก เขาจึงจำใจต้องมาอย่างเสียไม่ได้ ดูเหมือนการอภิเษกของเขาช่างเป็นที่น่าสนใจมากเสียจริง“ท่านอ๋อง เอาแต่จ้องหน้าหม่อมฉันเช่นนี้ คงไม่อิ่มหรอกนะเพคะ” จูฟางหรงเอ่ย ทั้งที่ยังเคี้ยวหมูน้ำแดงเต็มปากจนแก้มตุ่ยดั่งกระต่าย“หนวกหู”น้ำเสียงเย็นเยียบที่เปล่งออกมาเป็นเหตุให้เพลงที่บรรเลงอยู่ต้องหยุดลงเดี๋ยวนั้นเพราะเข้าใจผิด พวกเขาเกรงว่าจะถูกหลงโหย่วอี้ระบายโทสะจึงเร่งถอยห่างออกไป แม้คำที่บอกว่าหนวกหูจะเป็นการต่อว่าจูฟางหรง ทว่าเสียงดนตรีที่สงัดลงก็ทำให้ใจของเขาสงบได้เช่นกัน หลงโหย่วอี้จึงไม่ได้ทัดทานใดขึ้นยัยตะกละทุกอย่างน่าเบื่อเพียงนี้ ทว่าจูฟางหรงกลับไม่แยแสเขาสักกระผีกริ้นนางเอาแต่สนใจละเลียดชิมอาหารตรงหน้าราว
อรุณรุ่งมาเยือน จูฟางหรงก็เตรียมตัวออกไปตามนัดหมาย วันนี้นางเลือกแต่งกายด้วยอาภรณ์สีอ่อนสบายตา ส่วนด้านในสวมใส่อาภรณ์ที่ทะมัดทะแมง เพราะจูฟางหรงต้องเผื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินในการเอาตัวรอด หากหลงโหย่วอี้ระแคะระคายขึ้นมา นางจะเลือกกลายเป็นปลาแล้วกระโดดลงแม่น้ำหนีเขาเสียเลย“พระชายา งดงามมากเลยเพคะ”จูฟางหรงเหลือบมองหน้าของเป่าชุน “เป่าชุน วันนี้เจ้าไม่ต้องตามไปปรนนิบัติข้าหรอกนะ”เป่าชุนสลดลง “ทำไมหรือเพคะ เพราะว่าหม่อมฉันดูแลพระชายาไม่ดีหรือเพคะ”“ดูเจ้าสิ” จูฟางหรงยิ้มบาง ร่างระหงลุกยืนเต็มความสูง มือเรียวคว้ามือของเป่าชุนมากุมไว้ จูฟางหรงไม่อยากให้เป่าชุนเอาชีวิตมาเสี่ยงกับตนอีกแล้ว “ไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อย เมื่อคืนเจ้าก็เห็นว่าข้าลอบออกไปท่องราตรี เจ้าอยู่ที่นี่ทำลายหลักฐานให้ข้าได้หรือไม่”เป่าชุนใจชื้น แท้ที่จริงจูฟางหรงก็มีภารกิจให้นางทำ “เพคะ”“พระชายา รถม้าพร้อมแล้วเพคะ”เสียงของนางกำนัลต้นห้องดังลอดเข้ามา จูฟางหรงรวบรวมลมหายใจจนแก้มโป่งพอง
หลงโหย่วอี้ยืนทำใจอยู่พักใหญ่ ไม่นานขาสูงก็ย่างกรายเข้ามาด้านในเนิบนาบ จูฟางหรงใจเต้นระรัวตามจังหวะการเหยียบย่างของอีกฝ่าย ทว่าสีหน้ายังแสร้งเผยยิ้มหวานเพื่อยั่วอารมณ์เขานัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย ยามนี้จูฟางหรงหลงเหลือเพียงอาภรณ์บอบบางตัวใน ซ้ำยังเปิดไหล่เผยเนื้อหนัง“ไร้ยางอาย”“หา…ไร้ยางอายอย่างไรเพคะ ที่นี่ห้องหม่อมฉัน อีกอย่างก็ดึกมากแล้วด้วย อยู่ ๆ พระองค์ก็โผล่เข้ามาไม่มีปี่มีขลุ่ย…”ไม่ทันจบประโยค ลำคอขาวผ่องก็ถูกคว้าหมับอย่างไม่ไยดีแค่ก แค่ก“ท่านอ๋อง กำลังทำอันใดเพคะ ปล่อยหม่อมฉันนะ”“เจ้าอย่าคิดว่าข้าดูไม่ออก เจ้ากำลังเล่นละครใช่หรือไม่”จะบ้าตาย ตาอ๋องนี่ขี้ระแวงชะมัดยาด ดีนะที่เรากลับมาทัน“หม่อมฉันจะเล่นละครใดเพคะ พระองค์ระแวงมากเกินไปแล้ว หากไม่เชื่อก็นอนที่นี่ด้วยกันเลยสิเพคะ”มือเรียวคว้าหมับไปยังข้อมือแกร่ง หลงโหย่วอี้สะดุ้งแผ่ว มือของเขาคลายออกจากลำคอระหงทันควัน ไม่ทันผละจากจูฟางหรงก็โผเข้ากอดเอวขอ
เด็กหญิงอายุราวสิบหนาวใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรายืนถือร่มฉีกยิ้มกว้างดั่งโลกใบนี้สดใสเสียเต็มประดา เขาไม่ได้ตอบกลับนาง แต่เลือกเบือนหน้าหนี พริบตาชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าหยาดฝนไม่ต้องกายของตนแล้วใบหน้าหล่อเหลาเปียกพราวด้วยหยาดน้ำแหงนมองอีกฝ่าย เขาจึงเห็นว่าเด็กหญิงคนนั้นกำลังยืนกางร่มให้ตนอยู่ ในขณะที่ไหล่อีกฝั่งของนางต้องเปียกชื้นไปด้วยน้ำฝนเพราะได้ปันร่มที่มากกว่าครึ่งเพื่อช่วยบดบังหยาดพิรุณให้เขา“ถอยไป”เสียงทุ้มแข็งกระด้าง แต่ดูเหมือนเด็กหญิงไม่สะทกสะท้านใด ร่างเล็กยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับ รอยยิ้มก็ประดับบนใบหน้าอยู่ตลอด“ท่านพ่อบอกว่าหากตากฝนจะไม่สบายเอาได้ พี่ชายท่านอยากป่วยหรือ”“ไม่ต้องยุ่ง”เด็กหญิงยังไม่ยอมแพ้ นางล้วงบางอย่างในสาบเสื้อออกมา จากนั้นยื่นให้เขา นัยน์ตาคมมองตามของที่อยู่ในมืออีกฝ่ายก็พบว่าเป็นลูกกวาด“ท่านดูอารมณ์ไม่ดีนะเจ้าคะ กินนี่ท่านจะรู้สึกดีขึ้น”ชายหนุ่มยังทำหน้าขรึมและไม่ตอบกลับ หูของเขาได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่าง เพราะร่มบนศีรษะมันเอียงกระเท่เร่จากการที่นางเอาด้ามเหน็บบริเวณใต้รักแร้“ตายจริง คุ
นับตั้งแต่จูฟางหรงอภิเษกเข้ามาเป็นพระชายาของโหย่วอี้อ๋อง นางก็ถูกไทเฮาเรียกเข้าเฝ้าทุกวันไม่ขาด วันนี้ก็เช่นเดียวกันพลังกายทั้งหมดของนางได้ประเคนแด่ไทเฮาไปเสียหมดแล้ว จูฟางหรงลากสังขารอันแสนโรยแรงเข้ามาภายในห้องบรรทมดั่งร่างไร้วิญญาณ“โอ๊ย เหนื่อยจะแย่ ข้าปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลย ไทเฮาช่างโหดร้ายจริงแท้ แทบไม่ให้ข้านั่งเลย ขาแข็งไปหมด”“พระชายา เป่าชุนนวดให้นะเพคะ”จูฟางหรงพยักหน้าหงึกหงัก แม้ไทเฮาเอ็นดูจูฟางหรงเป็นอย่างมาก ทว่านางก็ยังถูกไทเฮาเคี่ยวกรำเรื่องมารยาทอย่างหนักตลอดทั้งวัน เพราะจูฟางหรงถนัดแต่จับดาบง้างธนู ไหนเลยจะสันทัดกับการวางตัวเป็นกุลสตรีสูงศักดิ์ในวังหลวง หลายวันมานี้จูฟางหรงขลุกตัวอยู่แต่เพียงตำหนักไทเฮาไม่เป็นอันทำอะไร ทั้งยังไม่เคยพบหน้าสวามีของตนแม้สักเสี้ยว ดูเหมือนนางกำลังเล็งเห็นจังหวะเหมาะ“เป่าชุน เจ้าว่าคืนนี้เขาจะมาหรือเปล่า”เป่าชุนยิ้มแหย “พระชายา ถ้าหมายถึงท่านอ๋องล่ะก็...ดูเหมือนท่านอ๋องไม่เฉียดมาที่ตำหนักรองตั้งนานแล้วนะเพคะ เกรงว่าวันนี้คง…”“ดี ไม่มานั่นล่ะ ดีที่สุด เช่นนั้นวันนี้ข้า…” จูฟางหรงยิ้