“ว่าอย่างไร พบเบาะแสบ้างหรือไม่”
“ท่านอ๋อง ไม่มีเบาะแสใดเลยพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกงค้อมศีรษะ
หลงโหย่วอี้เงียบขรึม ร่างสูงเอนกายพิงพนักเก้าอี้ซ้ำยังแหงนหน้าพ่นลมหายใจราวคนสิ้นหวัง เฉินกงจึงนึกลังเลว่าควรรายงานเรื่องต่อไปหรือไม่
“เอ่อ…ท่านอ๋อง พระองค์ตามหานางมาสิบปีแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ บางทีนางอาจ…”
นัยน์ตาคมตวัดมองฉับ “เหลวไหล!”
เฉินกงสะดุ้งโหยง เขาก้มหน้างุดเพราะรู้ตัวว่าตนพลั้งปากไปเสียแล้ว
หลงโหย่วอี้กำลังตามหาบุตรีของขุนนางใหญ่สกุลเสิ่นที่ต้องโทษประหารเมื่อสิบปีก่อน ครั้งนั้นจวนของเขาถูกเผาจนมอดไหม้กระทั่งเสาสักต้นยังไม่หลงเหลือ
เฉินกงแทบไม่เห็นหนทางเป็นไปได้ด้วยซ้ำกับการตามหาครั้งนี้ เด็กหญิงอายุเพียงสิบหนาวจะสามารถรอดชีวิตจากเปลวโลกันตร์อันร้อนระอุครานั้นได้อย่างไร ทว่าหลงโหย่วอี้กลับปักใจเชื่อโดยตลอดว่านางยังคงมีชีวิตอยู่
ท่านอ๋องผู้เกรียงไกรกุมอำนาจทางการทหารเสียจนผู้คนล้วนยำเกรงเติบโตมาจนอายุครบยี่สิบแปดปีจึงไม่คิดใส่ใจหรือต้องการรับสตรีใดเข้ามาเป็นพระชายา คงเพราะเขากำลังรอคอยใครบางคน
หากครั้งนี้ฮ่องเต้ไม่มอบสมรสพระราชทานเพื่อบีบคั้นเขา ดูเหมือนหลงโหย่วอี้ก็คงยืนกรานครองตัวเป็นโสดไปชั่วชีวิต
หลงโหย่วอี้สงบใจ “นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“นะ…นางไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินกงลืมไปเสียสนิทว่ายามนี้ท่านอ๋องของเขานั้นแต่งพระชายาแล้ว และเรื่องที่คิดจะรายงานก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขาลำบากใจอยู่นี่อย่างไร หลงโหย่วอี้ถอนหายใจระลอกใหญ่ เฉินกงได้สติ “อะ…อ้อ พระชายา ดูเหมือนจะไม่สบายอยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้น “ไม่สบายหรือ นางช่างดวงแข็งจริงเชียว ยังไม่ตายอีกรึ”
เฉินกงอึกอัก หลงโหย่วอี้คงไม่คิดให้พระชายาตนเองตายในวันเข้าหอจริง ๆ กระมัง “คือ…พระชายาแค่ไม่สบายเล็กน้อย พระชายาบอกว่าพักนิดหน่อยก็ดีขึ้น และยังบอกอีกว่า…”
นัยน์ตาคมปลาบช้อนขึ้นแช่มช้า เฉินกงประสานสายตากับอีกฝ่ายก็เผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “ว่า…ยาปลุกกำหนัดของท่านประสิทธิภาพไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย เพียงเอากายแช่น้ำก็หายเป็นปลิดทิ้ง คราวหน้าหากท่านอ๋องอยากเล่นสนุกก็อย่าใจเสาะหนีหน้ากันอีกพ่ะย่ะค่ะ พระชายาเอ่อ…ยังบอกอีกว่าปลดปล่อยผู้เดียวรู้สึกทรมานหัวใจจริง ๆ”
ปัง!
“ไร้ยางอาย! นางกล้าเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไร หนำซ้ำยังอาจหาญบอกว่าข้าใจเสาะ จูฟางหรง เจ้าไม่อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสงบใช่หรือไม่!”
เฉินกงหุบปากฉับ เขาจำคำพูดมาจากจูฟางหรงไม่มีขาดตกบกพร่อง แม้จะดูน่ากระดากอาย แต่เขาก็ต้องรายงานตามหน้าที่
หลงโหย่วอี้กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินคำพูดไม่อายฟ้าดิน จูฟางหรงเกือบถูกเขาเด็ดหัวอยู่รอมร่อ ยังโอหังถือดี คงเพราะมีไทเฮาและฝ่าบาทถือหางนางจึงเหิมเกริมกับเขา ทั้งที่เมื่อคืนแสร้งอ่อนแอประหนึ่งบุปผาไร้หนาม ดูเหมือนนางจงใจยั่วโมโหให้เขาขาดสติ แต่ในเมื่อเขาลั่นวาจาจะให้โอกาสนาง เช่นนั้นเขาก็มิอาจบ่ายเบี่ยง ดูสิว่านางจะยกวิธีใดมาพยศใส่เขาอีก
“ส่งคนไปจับตาดูนางอย่าให้คลาดสายตา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จูฟางหรง ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าเป็นมือสังหารของหอหงฮวาหรือไม่ อย่าได้คิดตบตาข้า ตัวแสบ...
.
.
ก่อนหน้าในหอบรรทม
“พระชายาเพคะ”
เปลือกตาบางเปิดปรือแช่มช้า จูฟางหรงกลอกตามองเพื่อปรับม่านดวงตาให้คุ้นชิน
ฮัด…ชิ้ว!!
โอ๊ย เมื่อยตัวชะมัด หนาวอีกต่างหาก
ร่างระหงสั่นระริก เพราะเมื่อคืนนางต้องทรมานด้วยฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดแทบกระอักโลหิตตาย จูฟางหรงจึงลากสังขารไปหย่อนตัวลงในอ่างน้ำอุ่น ไม่รู้ว่านางเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อใด นับว่าโชคดีที่ไม่จมน้ำสิ้นชีวิตไปเสียก่อน
นัยน์ตาหงส์ช้อนขึ้นแช่มช้าก็เห็นว่าเป็นสาวใช้คนสนิทของตนเมื่อชาติก่อน จูฟางหรงลุกพรวด ความเจ็บปวดที่มีมลายหายไปสิ้น
“เป่าชุน!”
สตรีร่างเล็กผงะ สีหน้าของนางออกมึนงงอยู่บ้าง เพราะนางยังไม่ทันแนะนำตนเองให้พระชายาโหย่วอี้อ๋องทราบเลยสักครั้ง
จูฟางหรงคว้ามือของเป่าชุนซึ่งถือผ้าผืนหนาเอาไว้ด้วยสีหน้าดีใจ กระบอกตาทั้งสองร้อนรื้นแดงก่ำ เสียงใสสั่นเครือ “เป่าชุน เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
จูฟางหรงสำรวจอีกฝ่ายอย่างนึกลืมตัว เป่าชุนกะพริบตาถี่ “เอ่อ…พระชายาเพคะ มะ…ไม่เป็นไรเพคะ แต่คนที่เป็นน่าจะเป็นท่าน”
จูฟางหรงลืมตัวไปชั่วขณะ นางชะงักค้าง ริมฝีปากบางเฉียบซึ่งซีดขาวก็ยกโค้งผะแผ่ว “ขอโทษที”
เป่าชุนเกาหัวแกรกกราก มือเรียวคลี่ผ้าสะอาดที่นำมาด้วยตวัดห่อเรือนร่างอันเปียกชุ่มของจูฟางหรงเอาไว้
“พระชายา เหตุใดจึงมาอยู่ในนี้ได้หรือเพคะ อากาศเย็นเพียงนี้อาจเป็นหวัดเอาได้นะเพคะ”
จูฟางหรงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก็หน้ามุ่ย “เปล่าไม่มีอะไร ข้าแค่ร้อนน่ะ”
เป่าชุนไม่เข้าใจ เพราะอากาศช่วงนี้ไม่ได้ร้อนแต่อย่างใด ออกจะหนาวจนแทบนับว่าสามารถแข็งตายได้เลยทีเดียว แต่เป่าชุนก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ
จูฟางหรงยืดกายเต็มความสูง ขาเสลาอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง คงเพราะจูฟางหรงหมดสติในท่าเดิมเป็นเวลานาน จึงเป็นเหตุให้การทรงตัวเอียงกระเท่เร่แทบล้มทั้งยืน
“พระชายา ระวังเพคะ” เป่าชุนรุดเข้าประคองจูฟางหรงหน้าตื่น
“ขอบใจนะ”
เป่าชุนช่วยประคองจูฟางหรงให้ออกมาด้านนอกบริเวณหอนอน ยามนี้ไม่ได้มีเพียงสตรีสองนาง ทว่ายังมีเฉินกงที่รอพบจูฟางหรงอยู่สักพักแล้ว
“พระชายา ท่านเป็นอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เช้าวันนี้เฉินกงพาเป่าชุนมาส่งเพื่อปรนนิบัติจูฟางหรง และเขาต้องนำเรื่องของจูฟางหรงไปรายงานต่อหลงโหย่วอี้ด้วย ทั้งที่เป็นคืนเข้าหอ ทว่าสองสามีภรรยากลับไม่ได้ร่วมหลับนอนกัน ช่างน่าประหลาดจริงแท้
จูฟางหรงตวัดมองค้อน แต่นั่นก็เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น นางอยากระบายโทสะให้หนัก ๆ ทว่าจูฟางหรงก็ต้องตริตรองถึงแผนการเอาตัวรอดของตนในอนาคต จูฟางหรงยังคงสวมบทสตรีอ่อนหวานต่อไป เพราะนางมาดมั่นแล้วว่าจะปราบพยศอ๋องปีศาจให้กลายเป็นสุนัขสวมปลอกคอให้จงได้ ดูสิว่าหากบุรุษถูกมารยาหญิงเข้าไป เขาจะยังใจแข็งดุจดั่งพระอิฐพระปูนได้อีกหรือไม่
จูฟางหรงคลี่ยิ้มละไม เอ่ยเสียงอ่อนหวาน “ท่านองครักษ์ ข้าแค่ไม่สบายตัวนิดหน่อย เพียงแต่ ยาปลุกกำหนัดของท่านอ๋องประสิทธิภาพไม่ได้เรื่องเสียเลย ข้าเพียงเอากายแช่น้ำก็หายเป็นปลิดทิ้ง ช่วยไปบอกท่านอ๋องทีว่า หากคราวหน้าท่านอ๋องอยากเล่นสนุกก็อย่าใจเสาะหนีหน้ากันอีก ข้าก็เป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ทิ้งให้ปลดปล่อยผู้เดียวช่างเจ็บปวดหัวใจจริง ๆ”
แท้จริงนางอยากตอบนัก ว่าข้ายังไม่ตาย! แต่ก็ได้แต่เก็บเอาไว้ลึกสุดใจ
เฉินกงหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินสิ่งที่จูฟางหรงสาธยาย เป่าชุนเองก็ทำตัวไม่ถูกมือไม้เก้งก้างกันไปหมด ครั้นเห็นท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ จากองครักษ์คนสนิทของโหย่วอี้อ๋อง จูฟางหรงก็ลอบหัวเราะด้วยความสาแก่ใจ
ยังมิสบโอกาสเอาคืนเจ้านายก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นนางขอเก็บดอกเบี้ยจากองครักษ์เขาก่อนแล้วกัน ดูสิว่าหากเฉินกงรายงานคำพูดของนางออกไปทั้งหมด โหย่วอี้อ๋องจะบันดาลโทสะจนเผาตำหนักของตนจนวอดไปเลยหรือไม่
หลงโหย่วอี้ ท่านอยู่ใต้คนเพียงหนึ่ง แต่อยู่เหนือคนใต้หล้าแล้วอย่างไร เคยได้ยินหรือไม่ วีรบุรุษยากจะผ่านด่านหญิงงาม [1]
“ชะ...เช่นนั้น…กระหม่อมไม่รบกวนพระชายาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกงละล้าละลัง เขาไม่สบตาจูฟางหรงด้วยซ้ำ
องครักษ์ร่างสูงเร่งร้อนสับเท้าเป็นระวิง จูฟางหรงเหยียดยิ้มแสร้งขบขันแผ่วเบาไล่หลังเขาเพื่อกลั่นแกล้ง
เฉินกงขนลุกเกรียว
พระชายาน่ากลัวกว่าที่ข้าคิดเสียอีก
^วีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงาม หมายถึง บุรุษมักจะสูญสิ้นจิตวิญญาณในการทำสิ่งใด เพียงเพราะความหลงใหลในตัวสตรี
ไม่น่าเชื่อว่านับจากวันที่จูฟางหรงยินยอมร่วมหอกับหลงโหย่วอี้ ทำให้พิษที่เป็นส่วนหนึ่งในกายถูกขับออกไปได้ ซ้ำยังช่วยรักษาอาการหนาวเย็นของหลงโหย่วอี้จนหายขาดอีกด้วย“ฮองเฮาพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว ขึ้นฝั่งกันก่อนนะเพคะ”เป่าชุนเห็นว่าพวกนางล่องเรือออกมาไกลจากตัวเรือนมากเกินไป และยามนี้ขอบฟ้าก็เริ่มทอประกายน้ำเงินเหลือบทองแล้วจูฟางหรงเผยยิ้มซุกซน “ได้สิ แต่เดี๋ยวก่อนนะ ข้าอยากได้เหลียนฮวา [1] ดอกนั้น หากใช้กลีบของมันผสมลงในอ่างอาบน้ำจะต้องสดชื่นมากเป็นแน่ ท่านพี่เหนื่อยล้าจากราชกิจมานาน ยามนี้ได้หวนมาพักผ่อนที่เรือนกลางหุบเขา ข้าอยากให้เขาผ่อนคลายมากที่สุด”เป่าชุนมองตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังเจ้าเหลียนฮวาสีชมพูอมม่วงซึ่งเด่นตระหง่านท่ามดอกอื่น ๆ เพราะในสระแห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเหลียนฮวาสีขาวเสียมากกว่า“แต่ไกลมากเลยนะเพคะ เป่าชุนเกรงว่าถ้าเราเข้าใกล้อีกนิด จะมืดค่ำเสียก่อน”จูฟางหรงยิ้มหวาน “ไม่เป็นไรข้ามีวิธี เช่นนั้นเจ้ารอข้าตรงนี้ก็พอ”เป่าชุนกะพริบตาถี่เมื่อสตรีร่างระหงลุกยืนบน
แพขนตาหนาขยับแผ่ว จูฟางหรงอึกอัก “ก็เปล่าเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันยังไม่พร้อม” จูฟางหรงเองก็ค่อย ๆ ปล่อยวางเรื่องเมื่อชาติก่อนได้แล้ว ยามนั้นเขาจะทรมานนางก็ไม่แปลก ในเมื่อจูฟางหรงเป็นมือสังหารของศัตรู อีกอย่างที่นางต้องหวนมาเกิดใหม่หาใช่เขาปลิดชีพนางโดยตรง เป็นนางที่เลือกจบชีวิตตนเองอย่างขลาดเขลาเพื่อหลีกหนีปัญหา“หรงเอ๋อร์ ในทุกคืนข้ามักติดอยู่ในภวังค์ฝันแห่งหนึ่ง ทุกอย่างคล้ายเรื่องจริงมาก ข้าเห็นเจ้าร่วงหล่นลงจากผาสูงชัน ยามนั้นข้าอยากยื่นมือดึงเจ้าขึ้นมาแต่ไม่อาจทำได้ ข้ารู้เพียงว่าเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด และข้าเองก็กระโจนลงหน้าผาตามเจ้าไป ข้าเห็นเจ้าสิ้นใจตรงหน้าข้าเองก็เจ็บปวดอย่างมาก ภวังค์ฝันนี้ข้าติดอยู่กับความรู้สึกสุดทุกข์ทรมาน ข้าไม่รู้ว่าไยจึงฝันไม่เป็นมงคลเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากนั่นคือเรื่องของเราเมื่อภพชาติใดก็ตาม ข้าอยากบอกเจ้าว่าข้าขอโทษ และนับจากนี้ข้าจะเป็นสามีที่ดี จะดูแล ทะนุถนอมเจ้า และสัญญาจะรักและมีเพียงเจ้าผู้เดียวตลอดไป...”จูฟางหรงนิ่งเงียบ ความรู้สึกหลากหลายมันจุกอกเต็มไปหมด เรื่องเมื่อชาติก่อนต่างฝ่ายก็ล้วนมีเส้นทางที่ต
ในวันที่ถังซือหงตัดสินใจช่วยรักษาบาดแผลให้หลงโหย่วอี้ เขาเองก็เริ่มวางทิฐิและปลดปลงเรื่องของจูฟางหรงแล้ว จูฟางหรงยินยอมมาช่วยเฉินกงตามคำร้องขอ เพราะตอนนั้นหลงโหย่วอี้ยังไม่ได้สติบัดนี้จูฟางหรงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ถังซือหงก็เป็นเพียงพี่ชายร่วมสาบานที่ผิดต่อคำสัตย์ของตน เขาจึงไม่คิดห้ามปรามจูฟางหรงอีก ทุกอย่างนางควรได้ตัดสินใจและเดินบนเส้นทางที่เลือกอีกอย่างจูฟางหรงก็เฝ้าฝันมาตลอดว่านางจะได้พบกับพี่ชายที่ตนตามหา และมีชีวิตอยู่เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับตระกูลของตน เมื่อจังหวะและโชคชะตาได้กำหนดเช่นนี้ เทพเซียนก็มิอาจขวางจูฟางหรงจากไปไม่นาน หลงโหย่วอี้ก็ได้สติ ถังซือหงให้ยาสมานแผลชนิดเฉียบพลันแก่หลงโหย่วอี้ บาดแผลที่ได้รับจะรู้สึกถึงเพียงอาการชาเท่านั้น ทั้งสองคุยเปิดใจกันในทุกสิ่ง กระทั่งถังซือหงรู้ว่าหลงโหย่วอี้ก็คือคนที่จูฟางหรงตามหามาโดยตลอดเขายอมจำนนต่อโชคชะตา และปล่อยให้ทั้งสองได้แก้ไขปัญหากันเอาเอง“พี่ถัง ท่านไม่ตามพี่หญิงไปหรือเจ้าคะ”ถังซือหงส่งยิ้มบางให้ลี่ซือ “ไม่ล่ะ นางควรได้ตัดสินชีวิตตนเองบ้าง”
เจ้าของร่างสูงประคองแผ่นหลังบอบบางไว้ในอ้อมแขน เสียงทุ้มกระซิบแผ่วข้างหูเล็ก “หรงเอ๋อร์ ที่เหลือข้าจัดการเอง”จูฟางหรงส่ายศีรษะเขามาได้อย่างไร!?“ไม่เพคะ เฟยหมิงอ๋องคือคนที่ทำลายตระกูลหม่อมฉัน หม่อมฉันจะแก้แค้นด้วยตนเอง”มุมปากของหลงเฟยหมิงยกขึ้นเผยความเย็นชาระลอกหนึ่ง “คิดว่าจะทำอะไรข้าได้งั้นหรือ ต่อให้เป็นฮ่องเต้หากไร้ซึ่งตรากิเลนเพลิง พระองค์ก็ประหนึ่งฮ่องเต้แขนขาพิกลพิการ”“งั้นหรือ เสด็จอา ท่านชะล่าใจเกินไปแล้วกระมัง ตรากิเลนเพลิงนั่น ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นของจริง”เฟยหมิงอ๋องหน้ากระตุก ความร้อนรนสะท้อนออกมาผ่านแววตาของเขา “อย่ามาทำไขสือเล่นลิ้นกับข้า”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ไม่เชื่อหรือ หากไม่เชื่อท่านก็ลองหยิบออกมาดูสิ”มือหยาบกร้านแง้มกล่องไม้สักในมือขึ้นแช่มช้า อกซ้ายของเขาเต้นระทึกด้วยความประหวั่นบรรดาทหารกล้าที่ถูกเฟยหมิงอ๋องควบคุมต่างไขว้เขว กระทั่งสิ่งที่เขาหยิบออกมาก็เป็นเพียงไม้แกะสลักรูปหงส์ง่อย ๆ อันหนึ่งหลงเฟยหมิงผงะ “มะ…ไม่จริง!”เฉินกงที่ยืนเยื้องไม่ไกลสาวเท้า
ทว่าจูฟางหรงก็ยังสงบนิ่ง และไม่ได้แสดงท่าทีร้อนใจใด เสียงใสถามอีกฝ่ายด้วยความใจเย็น “ท่านอ๋อง กำลังอยากบอกสิ่งใดหรือ”เฟยหมิงอ๋องคิดว่ายามนี้ตนกำลังถือไพ่เหนือกว่า “นางคือคนของหอหงฮวา ทุกคนก็รู้ว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนปกครองราษฎรย่ำแย่เพียงใด ฮ่องเต้หมายปลิดชีพโหย่วอี้อ๋องเพื่อลดทอนอำนาจทหารจนต้องเลือกสตรีไร้หัวนอนปลายเท้ามาเป็นพระชายาของเขา นางคือมือสังหารของหอหงฮวา สตรีเช่นนี้นับว่ามีคุณสมบัติใดได้รับตำแหน่งฮองเฮา”เสียงทุ้มถกเถียงอึงอลขึ้นอีกครั้งจู่ ๆ จูฟางหรงก็หัวเราะครืนราวได้ชมเรื่องขบขัน “ท่านอ๋องไม่คิดเลยว่าท่านจะห่วงไยสายโลหิตเดียวกันเพียงนี้ น่าเหลือเชื่อจริงเชียว แต่ทว่าท่านทำพลาดไปหนึ่งสิ่ง ท่านไม่รู้หรือว่าข้าคือใคร เช่นนั้นข้าจะบอกให้เอาบุญ ว่าข้ามีคุณสมบัติเหมาะสมทุกประการที่จะได้รับตำแหน่งฮองเฮา”“ฮองเฮา ท่านอย่าแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ อีกเลย”“ข้าเปล่าแก้ตัว หากทุกคนยังไม่รู้ ข้าก็อยากจะประกาศให้รู้โดยทั่วกัน ข้าคือคุณหนู เสิ่นฟางหรง และเป็นบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของใต้เท้าเสิ่นที่รอดชีวิตจากการถูกใส่ความว่าเป็นกบฏ เมื่อสิบปีก่อน”หลงเฟ
บัลลังก์มังกรเริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง เนื่องจากเป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่เหล่าขุนนางไม่พบแม้แต่เงาของฮ่องเต้ พวกเขาจึงรวมตัวกันที่ลานหน้าตำหนักใหญ่ ต่างนั่งคุกเข่าตากแดดตากลม และอดอาหารเพื่อบีบคั้นให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันออกมาทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง“ฝ่าบาทได้โปรดอย่าหมางเมินเหล่าอาณาประชาราษฎร์เลยพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์ไม่ออกมาเกรงว่าคงต้องมีการแต่งตั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่”เสียงขุนนางร้องดังระงมสะท้อนก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ผู้ที่ยืนเหยียดยิ้มย่ามใจในยามนี้คงหลีกไม่พ้นเฟยหมิงอ๋อง เขารอโอกาสนี้มาเนิ่นนาน และผู้ที่ยุยงให้เหล่าขุนนางทำตัวประหนึ่งกบฏ ล้วนเป็นฝีมือของเขาเช่นเดียวกัน“พวกเจ้าไม่เห็นหัวข้าแล้วงั้นหรือ ข้าเป็นไทเฮา ยามนี้ฝ่าบาทประชวรแต่ก็ยังทำภารกิจไม่ว่างเว้น หลักฐานก็มี ไยจำต้องพบพระพักตร์ฝ่าบาทให้ได้”“แต่ว่าไทเฮา การปกครองจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีองค์จักรพรรดินั่งบนบัลลังก์ ทว่ายามนี้ กระทั่งฮองเฮาก็ไม่มี”“ผู้ใดบอกงั้นหรือว่าไม่มี” เสียงใสโพล่งขึ้นจากทางด้านหลัง ร่างระหงย่างกรายออกมาจากด้านในเนิบนาบด้วยท่วงท่างามสง่าเหล่าขุนนางปากอ้าตาค้