บุรุษร่างสูงสง่า สวมอาภรณ์สีเข้มปักดิ้นทองลายมังกรย่างกรายเข้ามาด้านใน จูฟางหรงหายใจหอบถี่เพราะเพิ่งรอดตายมาอย่างหวุดหวิด เปลือกตาบางเปิดปรือขึ้นแช่มช้าก็ทันประสานเข้ากับนัยน์ตาสีนิลของผู้มาเยือน ดวงตาคมเข้มชำเลืองมองจูฟางหรงแฝงไปด้วยอำนาจดุจราชสีห์
จูฟางหรงหลุบเปลือกตาไม่อาจสู้หน้าเขา ใบหน้าของฮ่องเต้และโหย่วอี้อ๋องละม้ายกันประหนึ่งแฝดพี่แฝดน้อง ทว่าพวกเขากลับเป็นเพียงพี่น้องที่คลานตามกันมาคนละปีเท่านั้น
“ฝ่าบาท พระองค์มาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หลงอี้เซียวหย่อนกายนั่งลงตรงเก้าอี้กลางห้องด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์
“ข้าเพียงอยากมาส่งพวกเจ้าเข้าหอ พิธีวันนี้ข้ามิได้มาเข้าร่วมเพราะกลับไม่ทัน เจ้าเร่งร้อนตบแต่งพระชายาไม่รั้งรอข้าเลยหรือน้องชาย”
“สมรสพระราชทาน และวันอภิเษกเป็นพระองค์ที่กำหนดขึ้นเอง ไยจึงกล่าวว่ากระหม่อมเร่งร้อน”
“อ่า…จริงสิ เป็นข้าเองสินะ ข้าก็หลงลืมไปเสียสนิท แล้วเหตุใดเจ้าทั้งสอง…”
ฮ่องเต้หลงอี้เซียวผินหน้ามองสตรีร่างระหงที่ถูกตรึงไว้ด้วยความฉงน “นั่น…วิธีการเข้าหอของเจ้าหรือ”
“ฝ่าบาท อย่าเข้าใจผิดนะเพคะ ท่านอ๋องเพียงล้อหม่อมฉันเล่นเท่านั้น”
หลงโหย่วอี้เลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง เดิมทีเขาคิดว่านางจะร่ำร้องโวยวายเพื่อขอความเป็นธรรม แต่ดันผิดคาดเมื่อจูฟางหรงทำราวกำลังปกป้องตัวเขา
“หืม…ล้อเล่นน่าสนุกจริง ๆ หากข้ามาไม่ทัน พระชายาโหย่วอี้อ๋องจะเหลือเพียงนามหรือไม่”
จูฟางหรงยิ้มแหย นางอยากตอบว่าใช่ นางต้องเหลือแต่ชื่อจริง ๆ นั่นล่ะ อยากต่อว่าด่าทออ๋องปีศาจ อยากฟ้องร้องเขาให้หมดเปลือก แต่ยามนี้จูฟางหรงต้องเลือกแปรพักตร์มาอยู่ข้างสวามีจอมวายร้ายชั่วคราว เพื่อยื้อชีวิตแสนบัดซบคราที่สองของตนให้ยืนยาวขึ้นอีกหน่อย
หลงโหย่วอี้เปล่งวาจาขึ้นอีกครั้ง “ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลพระทัย นี่ก็แค่วิธีการเข้าหอกระชับความจริงใจสำหรับสามีภรรยาเท่านั้น”
จูฟางหรงหน้าบูดลอบค่อนขอดในใจ
คนเลว กระชับความจริงใจกับผีน่ะสิ เขาทำข้าระบมไปทั้งตัว
“ฮ่า ฮ่า เช่นนี้เอง ดูเหมือนข้าเข้ามาผิดจังหวะเสียแล้ว เช่นนั้นข้าจะไม่รบกวนพวกเจ้าทั้งสอง” เอ่ยจบก็ผินหน้าไปยังธรณีทางเข้า
ขันทีซึ่งยืนรออยู่นานก็เดินถือหีบใบหนึ่งเข้ามา จากนั้นค้อมศีรษะยื่นให้หลงโหย่วอี้
“ท่านอ๋อง นี่เป็นของกำนัลจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
หลงโหย่วอี้เลิกคิ้ว มองใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มของผู้เป็นพี่ชาย แววตาของเขาประหนึ่งยินดีและจริงใจ ผู้ใดจะล่วงรู้ความลับของสวรรค์ว่าเบื้องหลังริมฝีปากที่ยกโค้งนั้นอาจซ่อนคมมีดไว้ก็ได้
“น้องข้า เจ้ารับไว้สิ ของสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มอรรถรสให้คืนเข้าหอของเจ้าสุขสมยิ่งขึ้น”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาส่งผลให้ขนอ่อนบนกายของจูฟางหรงลุกเกรียว
น่ากลัวทั้งพี่ทั้งน้อง
แผ่นหลังกว้างหายลับจากไปแล้ว ขันทีผู้ติดตามหับประตูลงดังเดิมอย่างแน่นหนา จูฟางหรงยังถูกตรึงร่างอยู่กับที่ แขนทั้งสองเริ่มชาหนึบเข้าให้แล้ว และเจ้าผลผิงกั่ว [1] หล่นลงจากศีรษะของนางเมื่อใดก็สุดจะรู้
หลงโหย่วอี้ชำเลืองมองสตรีที่ถูกตนขึงไว้ด้วยประกายตาร้อนระอุ “เจ้าใช้กลอุบายใด ไยจึงทำให้ฝ่าบาทมอบสมรสพระราชทานได้”
แต่เดิมจูฟางหรงทราบอยู่แล้วว่าราชวงศ์ต้องเลือกคุณหนูตระกูลขุนนางใหญ่เข้ามาเพื่อเป็นพระชายาหรือสนม แต่เรื่องสมรสพระราชทานที่นางได้รับล้วนเป็นหอหงฮวาที่จัดการไว้ทั้งสิ้น
“พระองค์ไม่เห็นหรือเพคะ หากมิใช่หม่อมฉันผู้ใดจะมีคุณสมบัติเหมาะสมกับพระองค์อีก ทั้งงดงามซ้ำยังฉลาดหลักแหลม”
หลงโหย่วอี้แค่นยิ้ม เพราะขณะที่จูฟางหรงถูกเขาพันธนาการไว้ แต่นางก็ยังกล้าตีฝีปาก เอ่ยชมตนเองดั่งหญิงเสียสติ กล่องไม้ขนาดเล็กที่เขาได้รับเมื่อครู่ถูกขว้างลงบนพื้น ฝาที่ปิดสนิทจึงแง้มเปิดพร้อมขวดหยกสีแดงกลิ้งหลุน ๆ ออกมา
หลงโหย่วอี้คิดวิธีกลั่นแกล้งผู้ร้ายปากแข็งได้เสียแล้ว ดูเหมือนของกำนัลที่ตนได้รับจะเป็นสุราเลิศรส และนั่นคงมิใช่สุราธรรมดาเสียด้วย มือหยาบกร้านหยิบมันขึ้นจากพื้น
จูฟางหรงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แขนเรียวทั้งสองฝั่งพยายามบิดเพื่อคลายพันธนาการ แต่นางยิ่งขยับก็ยิ่งสร้างความเจ็บปวดจนร้าวไปยันกระดูก
“ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ กางแขนกางขานาน ๆ เช่นนี้หม่อมฉันเมื่อยจะแย่”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นหยั่งเชิง “เจ้าเสนอตัวมาให้ข้าเอง ในเมื่อแต่งงานกันแล้ว ภรรยาก็คือสมบัติของสามี เจ้าต้องเชื่อฟังข้า”
จูฟางหรงหลุกหลิก นางกำลังคิดหาอุบายให้เขาใจเย็น “เพคะ หม่อมฉันย่อมต้องเชื่อฟังพระองค์ เพียงแต่ยามนี้แขนของหม่อมฉันช่างเจ็บยิ่งนัก ท่านอ๋องจะช่วยปลดโซ่ตรวนนี้ออกก่อนได้หรือไม่ มิเช่นนั้นเลือดลมหม่อมฉันไม่เดิน ต้องถูกตัดแขนจะทำเช่นไร”
“ตัดก็ตัด แขนเจ้าไม่ใช่แขนข้า”
จูฟางหรงนิ่งอึ้ง นางไม่ควรคาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ เช่นนี้เลย รู้ทั้งรู้ว่าเขามันบุรุษเลือดเย็น
ฝ่ามือกว้างคว้าบางอย่างบริเวณเอวของตนออกมา จูฟางหรงเห็นเช่นนั้นก็ตาโต
กระบี่อ่อน! สวมชุดวิวาห์อยู่โดยแท้ก็ยังพกกระบี่ติดกาย อยากจะบ้า นี่เรียกวันมงคลได้หรือ มันวันวินาศสันตะโรชัด ๆ ...อ๋องอำมหิตคิดตัดแขนข้าเชียวหรือ?!
หลงโหย่วอี้ตวัดกระบี่อ่อนอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายอสนีเคราะห์
เคร้ง!
เคร้ง!
จูฟางหรงหลับตาแน่นด้วยใจไหวระทึก ดูเหมือนว่าการตัดสินใจลงจากเกี้ยวช่างผิดมหันต์ นางควรวิ่งหันหลังแล้วหนีไปซะ แต่หากยามนั้นนางเลือกอีกทาง ก็ต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปชั่วชีวิต หรือไม่ก็อาจถูกทางการลากตัวมาตัดหัวซ้ำ
เสียงโซ่ตรวนกระทบกำแพงพร้อมร่างระหงที่ทรุดฮวบลงบนพื้น
แขนข้า แขนข้าขาดแล้วหรือไม่
จูฟางหรงข่มใจแง้มเปลือกตาทีละฝั่ง จากนั้นยกแขนขึ้นสำรวจซ้ายขวา ครั้นเห็นว่านิ้วทั้งสิบยังอยู่ครบ และแขนทั้งสองไม่ได้กุด ริมฝีปากสีกุหลาบก็เผยยิ้มออกมา
ดีใจไม่นานก็ต้องหุบปากฉับ เมื่อใครบางคนกำลังจ้องจะกินเลือดเนื้อพร้อมกระชากวิญญาณอยู่ตรงหน้า แทบนับว่าปลายจมูกของนางและเขาห่างกันเพียงลมหายใจกั้น
จูฟางหรงผงะ “ท่านอ๋อง!”
เอ่ยไม่ทันจบ ฝ่ามือกว้างก็คว้าหมับไปยังปลายคางโค้งมน จากนั้นหลงโหย่วอี้ก็กรอกของเหลวในขวดหยกเข้าปากจูฟางหรงอย่างไร้ปรานี
อั๊ก! ๆ
จูฟางหรงน้ำหูน้ำตาไหล ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วดุจพลิกฝ่ามือ
“ถ้ายังปากแข็ง ก็นอนทรมานจนตายอยู่ตรงนี้เถิด”
ขวดหยกถูกขว้างออกไปอย่างไม่ไยดี จูฟางหรงกระอักไอพร้อมร่างกายที่ร้อนรุ่มดุจถูกเปลวเพลิงแผดเผา
ยาปลุกกำหนัด!
“ท่านอ๋อง นี่ท่าน…”
โหย่วอี้อ๋องยืดกายยืนเต็มความสูง เขาเหยียดยิ้มชั่วร้ายเมื่อเรือนร่างอันผุดผ่องซ้ำยังขาวราวหิมะแรกกำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ ใบหน้าพริ้มเพราแดงก่ำเพราะฤทธิ์ของยาที่ผสมอยู่ด้านในสุรา
จูฟางหรงทรมานอย่างมาก นางทั้งร้อนทั้งปั่นป่วนไปทั่วสรรพางค์
“ถ้าพรุ่งนี้เจ้ายังมีชีวิตรอด ข้าจะยอมให้โอกาสเจ้าสักครั้ง”
ร่างเพรียวบางแดดิ้นลงบนพื้นเย็นเยียบ ทว่าอีกฝ่ายกลับเดินห่างนางออกไปเนิบช้าอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
เลือดเย็น!
หลงโหย่วอี้ต้องการง้างปากสตรีแพศยาเช่นนาง เขาจะทรมานนางให้หนักจนกว่าจะยอมปริปากเผยความจริง
จูฟางหรงแข็งใจต่อความปรารถนาที่พุ่งสูงดั่งทะเลคลั่ง ฟันเรียงสวยขบกันแน่น เปลือกตาบางปิดฉับเพื่อคุมสติ เพราะนางเกรงว่าตนอาจเผลอวิ่งรี่ไปกอดขาหรืออ้อนวอนเขาให้ช่วยปลดปล่อยแรงราคะ
และแน่นอนแค่ฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดกระจอกงอกง่อยคิดว่านางจะตายเชียวหรือ
จูฟางหรงพยุงร่างโผเผ จากนั้นใช้นิ้วเร่งสกัดจุดตนเพื่อคลายความระอุ แม้จะบรรเทาได้ไม่มาก แต่ก็พอช่วยให้นางไม่สิ้นชีวิตไปก่อน
เดรัจฉานสติฟั่นเฟือน คนสารเลว ท่านมันก็แค่บุรุษหน้าใสแต่จิตใจช่างโหดเหี้ยม ท่านทรมานข้าเพียงนี้ อย่าให้ถึงคราวของข้าบ้างแล้วกัน ข้าสาบานจะทรมานท่านให้เจ็บปวดทั้งกายทั้งใจ ให้ทนทุกข์กว่าข้าร้อยเท่าพันทวี!
^ผิงกั่ว หมายถึง แอปเปิ้ล
จูฟางหรงผละจากระเบียงเรือ หลงโหย่วอี้สังเกตบทสนทนาของสตรีทั้งสองอยู่ตลอดเพื่อรอจับพิรุธ ไม่นานร่างระหงก็ย่างกรายออกไปที่ลานด้านหน้าไม่ห่างจากเขามากนัก นัยน์ตาคมกริบปรายมองเรือนร่างระหงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าชิ! อย่าตาค้างแล้วกัน ข้าควรส่งสัญญาณให้พวกเขาสังหารท่านไปเสียเลยดีหรือไม่เสียงบรรเลงจากคงโหวดังขึ้นอีกครั้ง จูฟางหรงยอบกายลงแช่มช้า นางค่อย ๆ ร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย หลงโหย่วอี้ยังนั่งนิ่งประหนึ่งหุบเขาน้ำแข็ง ทั้งที่ภายในใจของเขามันเต้นเร้าโครมคราม ไยนางจึงทำให้อกซ้ายเขามันคันยุบยิบอยู่เรื่อย จูฟางหรงทำราวกับนางมีเสน่ห์จิ้งจอกอยู่ บางคราก็ทำให้เขาเผลอไผลโดยไร้สาเหตุจูฟางหรงหมุนตัวเพื่อลอบสบตาสตรีบนเรือสำราญอีกฝั่ง นางสังเกตหาเงาของมือสังหารที่ซ่อนตัวอยู่บนเรือลำนั้น ทำนองของดนตรีเริ่มเพิ่มจังหวะความเร็ว จูฟางหรงพยายามควบคุมลวดลายการวาดมือ และเคลื่อนไหวเรือนร่างอรชรเข้าใกล้หลงโหย่วอี้อย่างแนบเนียนเดิมทีหลงโหย่วอี้แทบไม่คิดเหลือบแลนางสักเสี้ยวเพราะกำลังเร่งสงบใจ แต่ยามนี้จูฟางหรงสามารถทำให้เขาต้องย้ายสายตามาชมการแสดงได้แ
เรือสำราญขนาดใหญ่ล่องอยู่เหนือทะเลสาบเจียงซี นึกไม่ถึงเลยว่าบนเรือลำนี้จะมีการจัดแสดงนางระบำ ทั้งยังมากด้วยอาหารรสเลิศพร้อมสรรพจูฟางหรงและหลงโหย่วอี้นั่งอยู่คนละฝั่งระหว่างโต๊ะสำรับทรงกลม วันนี้หลงโหย่วอี้ไม่อยากออกมาด้วยซ้ำ แต่เพราะเป็นกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ ไทเฮาก็คะยั้นคะยอไม่เลิก เขาจึงจำใจต้องมาอย่างเสียไม่ได้ ดูเหมือนการอภิเษกของเขาช่างเป็นที่น่าสนใจมากเสียจริง“ท่านอ๋อง เอาแต่จ้องหน้าหม่อมฉันเช่นนี้ คงไม่อิ่มหรอกนะเพคะ” จูฟางหรงเอ่ย ทั้งที่ยังเคี้ยวหมูน้ำแดงเต็มปากจนแก้มตุ่ยดั่งกระต่าย“หนวกหู”น้ำเสียงเย็นเยียบที่เปล่งออกมาเป็นเหตุให้เพลงที่บรรเลงอยู่ต้องหยุดลงเดี๋ยวนั้นเพราะเข้าใจผิด พวกเขาเกรงว่าจะถูกหลงโหย่วอี้ระบายโทสะจึงเร่งถอยห่างออกไป แม้คำที่บอกว่าหนวกหูจะเป็นการต่อว่าจูฟางหรง ทว่าเสียงดนตรีที่สงัดลงก็ทำให้ใจของเขาสงบได้เช่นกัน หลงโหย่วอี้จึงไม่ได้ทัดทานใดขึ้นยัยตะกละทุกอย่างน่าเบื่อเพียงนี้ ทว่าจูฟางหรงกลับไม่แยแสเขาสักกระผีกริ้นนางเอาแต่สนใจละเลียดชิมอาหารตรงหน้าราว
อรุณรุ่งมาเยือน จูฟางหรงก็เตรียมตัวออกไปตามนัดหมาย วันนี้นางเลือกแต่งกายด้วยอาภรณ์สีอ่อนสบายตา ส่วนด้านในสวมใส่อาภรณ์ที่ทะมัดทะแมง เพราะจูฟางหรงต้องเผื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินในการเอาตัวรอด หากหลงโหย่วอี้ระแคะระคายขึ้นมา นางจะเลือกกลายเป็นปลาแล้วกระโดดลงแม่น้ำหนีเขาเสียเลย“พระชายา งดงามมากเลยเพคะ”จูฟางหรงเหลือบมองหน้าของเป่าชุน “เป่าชุน วันนี้เจ้าไม่ต้องตามไปปรนนิบัติข้าหรอกนะ”เป่าชุนสลดลง “ทำไมหรือเพคะ เพราะว่าหม่อมฉันดูแลพระชายาไม่ดีหรือเพคะ”“ดูเจ้าสิ” จูฟางหรงยิ้มบาง ร่างระหงลุกยืนเต็มความสูง มือเรียวคว้ามือของเป่าชุนมากุมไว้ จูฟางหรงไม่อยากให้เป่าชุนเอาชีวิตมาเสี่ยงกับตนอีกแล้ว “ไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อย เมื่อคืนเจ้าก็เห็นว่าข้าลอบออกไปท่องราตรี เจ้าอยู่ที่นี่ทำลายหลักฐานให้ข้าได้หรือไม่”เป่าชุนใจชื้น แท้ที่จริงจูฟางหรงก็มีภารกิจให้นางทำ “เพคะ”“พระชายา รถม้าพร้อมแล้วเพคะ”เสียงของนางกำนัลต้นห้องดังลอดเข้ามา จูฟางหรงรวบรวมลมหายใจจนแก้มโป่งพอง
หลงโหย่วอี้ยืนทำใจอยู่พักใหญ่ ไม่นานขาสูงก็ย่างกรายเข้ามาด้านในเนิบนาบ จูฟางหรงใจเต้นระรัวตามจังหวะการเหยียบย่างของอีกฝ่าย ทว่าสีหน้ายังแสร้งเผยยิ้มหวานเพื่อยั่วอารมณ์เขานัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย ยามนี้จูฟางหรงหลงเหลือเพียงอาภรณ์บอบบางตัวใน ซ้ำยังเปิดไหล่เผยเนื้อหนัง“ไร้ยางอาย”“หา…ไร้ยางอายอย่างไรเพคะ ที่นี่ห้องหม่อมฉัน อีกอย่างก็ดึกมากแล้วด้วย อยู่ ๆ พระองค์ก็โผล่เข้ามาไม่มีปี่มีขลุ่ย…”ไม่ทันจบประโยค ลำคอขาวผ่องก็ถูกคว้าหมับอย่างไม่ไยดีแค่ก แค่ก“ท่านอ๋อง กำลังทำอันใดเพคะ ปล่อยหม่อมฉันนะ”“เจ้าอย่าคิดว่าข้าดูไม่ออก เจ้ากำลังเล่นละครใช่หรือไม่”จะบ้าตาย ตาอ๋องนี่ขี้ระแวงชะมัดยาด ดีนะที่เรากลับมาทัน“หม่อมฉันจะเล่นละครใดเพคะ พระองค์ระแวงมากเกินไปแล้ว หากไม่เชื่อก็นอนที่นี่ด้วยกันเลยสิเพคะ”มือเรียวคว้าหมับไปยังข้อมือแกร่ง หลงโหย่วอี้สะดุ้งแผ่ว มือของเขาคลายออกจากลำคอระหงทันควัน ไม่ทันผละจากจูฟางหรงก็โผเข้ากอดเอวขอ
เด็กหญิงอายุราวสิบหนาวใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรายืนถือร่มฉีกยิ้มกว้างดั่งโลกใบนี้สดใสเสียเต็มประดา เขาไม่ได้ตอบกลับนาง แต่เลือกเบือนหน้าหนี พริบตาชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าหยาดฝนไม่ต้องกายของตนแล้วใบหน้าหล่อเหลาเปียกพราวด้วยหยาดน้ำแหงนมองอีกฝ่าย เขาจึงเห็นว่าเด็กหญิงคนนั้นกำลังยืนกางร่มให้ตนอยู่ ในขณะที่ไหล่อีกฝั่งของนางต้องเปียกชื้นไปด้วยน้ำฝนเพราะได้ปันร่มที่มากกว่าครึ่งเพื่อช่วยบดบังหยาดพิรุณให้เขา“ถอยไป”เสียงทุ้มแข็งกระด้าง แต่ดูเหมือนเด็กหญิงไม่สะทกสะท้านใด ร่างเล็กยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับ รอยยิ้มก็ประดับบนใบหน้าอยู่ตลอด“ท่านพ่อบอกว่าหากตากฝนจะไม่สบายเอาได้ พี่ชายท่านอยากป่วยหรือ”“ไม่ต้องยุ่ง”เด็กหญิงยังไม่ยอมแพ้ นางล้วงบางอย่างในสาบเสื้อออกมา จากนั้นยื่นให้เขา นัยน์ตาคมมองตามของที่อยู่ในมืออีกฝ่ายก็พบว่าเป็นลูกกวาด“ท่านดูอารมณ์ไม่ดีนะเจ้าคะ กินนี่ท่านจะรู้สึกดีขึ้น”ชายหนุ่มยังทำหน้าขรึมและไม่ตอบกลับ หูของเขาได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่าง เพราะร่มบนศีรษะมันเอียงกระเท่เร่จากการที่นางเอาด้ามเหน็บบริเวณใต้รักแร้“ตายจริง คุ
นับตั้งแต่จูฟางหรงอภิเษกเข้ามาเป็นพระชายาของโหย่วอี้อ๋อง นางก็ถูกไทเฮาเรียกเข้าเฝ้าทุกวันไม่ขาด วันนี้ก็เช่นเดียวกันพลังกายทั้งหมดของนางได้ประเคนแด่ไทเฮาไปเสียหมดแล้ว จูฟางหรงลากสังขารอันแสนโรยแรงเข้ามาภายในห้องบรรทมดั่งร่างไร้วิญญาณ“โอ๊ย เหนื่อยจะแย่ ข้าปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลย ไทเฮาช่างโหดร้ายจริงแท้ แทบไม่ให้ข้านั่งเลย ขาแข็งไปหมด”“พระชายา เป่าชุนนวดให้นะเพคะ”จูฟางหรงพยักหน้าหงึกหงัก แม้ไทเฮาเอ็นดูจูฟางหรงเป็นอย่างมาก ทว่านางก็ยังถูกไทเฮาเคี่ยวกรำเรื่องมารยาทอย่างหนักตลอดทั้งวัน เพราะจูฟางหรงถนัดแต่จับดาบง้างธนู ไหนเลยจะสันทัดกับการวางตัวเป็นกุลสตรีสูงศักดิ์ในวังหลวง หลายวันมานี้จูฟางหรงขลุกตัวอยู่แต่เพียงตำหนักไทเฮาไม่เป็นอันทำอะไร ทั้งยังไม่เคยพบหน้าสวามีของตนแม้สักเสี้ยว ดูเหมือนนางกำลังเล็งเห็นจังหวะเหมาะ“เป่าชุน เจ้าว่าคืนนี้เขาจะมาหรือเปล่า”เป่าชุนยิ้มแหย “พระชายา ถ้าหมายถึงท่านอ๋องล่ะก็...ดูเหมือนท่านอ๋องไม่เฉียดมาที่ตำหนักรองตั้งนานแล้วนะเพคะ เกรงว่าวันนี้คง…”“ดี ไม่มานั่นล่ะ ดีที่สุด เช่นนั้นวันนี้ข้า…” จูฟางหรงยิ้