ログインเมื่อออกจากตำหนักบูรพาแล้ว หลินซูหนานจึงรีบเดินไปยังรถม้าที่รออยู่ด้านนอก และก้าวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะนั่งในรถม้า หัวใจของนางยังคงเต้นแรง เนื่องจากยังคงมีความรู้สึกอึดอัดและหวาดกลัวที่ยังไม่หายไป หลินซูหนานพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ แต่ความทรงจำที่เกิดขึ้นในห้องรับรองนั้นยังคงตามมาหลอกหลอนไม่หาย
ภาพที่เขาบีบคอนางยังคงติดตรึงอยู่ในหัว พยายามสลัดอย่างไรก็ยังไม่หายไป เมื่อคลำดูที่รอบคอก็ยังคงรู้สึกเจ็บอยู่ ทำให้นางแน่ใจว่าเมื่อครู่ตนเองไม่ได้ฝันไป ทำให้น้ำตาหลั่งรินลงมาอีกคราด้วยความเสียใจ
นางไม่อยากเชื่อเลยว่าที่ผ่านมาจะรักคนผิดมาตลอด เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้า ๆ แต่ในใจของหญิงสาวกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย นางตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับตัวเอง
“นี่ท่านไม่ได้รักข้าเลยใช่หรือไม่ ทุกคำกล่าวและการกระทำของท่านที่เคยทำให้หัวใจข้าพองโตนั้นเล่า ท่านทำด้วยเหตุผลอันใด หรือเหตุผลของท่านมีเพียงใช้ข้าเป็นหมากตัวหนึ่ง”
ในใจของหลินซูหนานนั้นยังคงสับสน คิดว่านี่อาจจะเป็นเพียงแค่เสแสร้ง ที่เขาต้องการแต่งงานกับนาง ก็เพราะบิดาของนางมีอำนาจที่จะสามารถสนับสนุนเขาได้เพียงเท่านั้นหรือ
หลินซูหนานคิดถึงบิดาของตนเองซึ่งเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา บิดาของนางเคยบอกว่าท่านจะไม่เลือกฝ่ายใด หากทำสิ่งที่ถูกต้องท่านก็สนับสนุนจนสุดทาง แต่หากทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็พร้อมที่จะคัดค้านให้ถึงที่สุด
แต่ตอนนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้นางรู้สึกว่าบิดาของนางอาจจะถูกบังคับให้เลือกข้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่สามารถยอมรับได้ การที่องค์รัชทายาทพยายามจะทำให้สกุลหลินต้องเลือกข้างนั้น จะทำให้บิดาของนางต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างที่ไม่สามารถจินตนาการได้
สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกท้อแท้มากที่สุด ก็คือการที่สกุลหลินอาจจะต้องเดือดร้อนจากการกระทำของฝ่ายองค์รัชทายาท เกิดเขาทำสิ่งที่ไม่ดีเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง นางรู้ดีว่าบิดาจะไม่ยอมให้สกุลหลินต้องเดือดร้อน เพียงเพราะความทะเยอทะยาน
หลินซูหนานเองก็จะไม่ยอมให้สกุลหลินต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่โตเช่นนี้เป็นอันขาด
รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนผ่านถนนที่เงียบสงัด ท่ามกลางความมืดมิดและความเงียบที่แผ่ขยายออกไป ขณะที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่เพียงลำพัง นางเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นเหมือนกับการเดินทางที่ไม่มีจุดหมายและสิ้นหวัง นางไม่ต้องการแต่งงานอีกแล้ว เพียงแค่รักคนผิดก็ทำเอานางเจ็บช้ำมากเพียงพอแล้ว
เมื่อกลับมาถึงจวน นางรู้สึกถึงความหนักหน่วงในหัวใจและความจำเป็นที่จะต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อตัวเองและสกุลหลิน
นางรู้ดีว่าความเชื่อมั่นและความรักที่เคยมีต่อองค์รัชทายาทกำลังพังทลายลง และที่สำคัญนางไม่สามารถยอมรับชีวิตที่ต้องถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจหรือผลประโยชน์ของผู้อื่นได้
ในห้องนอนที่เต็มไปด้วยแสงเทียนที่สั่นไหวอย่างอ่อนโยน หลินซูหนานนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือของตนอย่างครุ่นคิด นางหยิบพู่กันขึ้นมา และเริ่มเขียนจดหมายถึงโจวหยางหลง ด้วยความรู้สึกที่หนักหน่วงในหัวใจทว่ากลับมีความเด็ดเดี่ยว นางพยายามรวบรวมความคิด เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของตนเองให้ชัดเจนที่สุด
ถึงองค์รัชทายาท
หม่อมฉันเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อแสดงความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหนักใจที่ไม่อาจละเลยได้ หม่อมฉันขอแจ้งให้พระองค์ทราบว่า หม่อมฉันขอให้พระองค์ได้โปรดยกเลิกการแต่งงานตามที่เคยตกลงกันในสัญญาหมั้นหมายเมื่อสองปีที่แล้วด้วยเถิดเพคะ
ตอนพิเศษ 2.2ฉู่ตงฟางนั่งลงข้างๆ ฉู่สือ โดยพิจารณาความคิดนี้อย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวขึ้น “แล้วจะมีวิธีการไหนบ้างที่เจ้าจะใช้ในการคำนวณมูลค่าของสินค้าบนเรือ”“ข้าสามารถแบ่งประเภทสินค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้ขอรับ เช่นสินค้าแบบหยกหรืออัญมณี จะมีมูลค่าสูง ในขณะที่สินค้าธรรมดาอย่างอาหารหรือเครื่องใช้ จะมีมูลค่าต่ำกว่า ซึ่งเราจะต้องมีการกำหนดอัตราเทียบเคียงกันด้วย” ฉู่สืออธิบายต่ออย่างเชี่ยวชาญ“ฟังดูดีมีเหตุผลมาก” ฉู่ตงฟางพยักหน้าเห็นด้วยฉู่ตงฟางพิจารณาความคิดของลูกชายก่อนจะถามอย่างจริงจังอีกครั้ง “แล้วเจ้าคิดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ จะทำให้ลูกค้าพอใจหรือไม่”“ข้าเชื่อว่าหากพวกเราชี้แจงเหตุผลให้ชัดเจน พวกเขาจะเข้าใจและเห็นความสำคัญขอรับ เราต้องทำให้เจ้าของเรือรวมถึงลูกค้าอื่น ๆ รู้ว่าวิธีการนี้จะทำให้เขาได้กำไรมากขึ้น เพราะสินค้าบางอย่างที่มูลค่าไม่สูงมาก พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง” ฉู่สือกล่าวอย่างมั่นใจ“ดีมาก ถ้าเช่นนั้นพ่อจะให้เจ้าไปอธิบายเรื่องนี้กับเจ้าของเรือและลูกค้าในวันพรุ่งนี้” ฉู่ตงฟางกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างภูมิใจ“ขอรับท่านพ่อ ขอบคุณที่เชื่อมั่นใจตัวลูก” ฉู่สือตอบรับด้วยความตื่นเต้น
ตอนพิเศษ 2.1สิบปีต่อมาฉู่ปิ่งเติบโตเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งและกล้าหาญที่สุดในเมืองท่าแห่งนี้ ปีนี้เขาอายุสิบสามแล้ว เป็นเด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นและขยันขันแข็งในทุกสิ่งที่ทำ โดยเฉพาะในด้านการเรียนและการฝึกวรยุทธ ฉู่ปิ่งเข้าเรียนที่สถานศึกษาของเมืองท่า โดยมีอดีตราชบัณฑิตเจียงจวนหยางเป็นผู้สอน เขาสอนทั้งวิชาการและการต่อสู้ ทำให้ฉู่ปิ่งเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ จนได้รับการยอมรับจากอาจารย์และสหายร่วมชั้นในแต่ละปีเวลามีงานเทศกาลประจำเมือง ฉู่ปิ่งมักจะเข้าร่วมการประลอง เขาได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของตนอย่างเต็มที่ ในปีนี้ก็เช่นกัน เขาผ่านรอบสุดท้ายโดยมีคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่และดุดันชื่อว่าเหอจิ้ง ซึ่งเป็นนักสู้รุ่นพี่ที่มีฝีมืออันดับต้น ๆ ในเมืองท่าท่ามกลางเสียงร้องของผู้คนในงานเทศกาล ฉู่ตงฟาง หลินซูหนาน และน้องสาวน้องชายของฉู่ปิ่ง นั่งอยู่ในที่นั่งที่ดีที่สุด พวกเขามองไปที่ฉู่ปิ่งด้วยความหวังและความภูมิใจในตัวเขา“ฉู่ปิ่ง ตั้งใจสู้ให้ดี” หลินซูหนานตะโกนให้กำลังใจบุตรชาย ขณะที่ฉู่ปิ่งยืนอยู่ในวงล้อมการประลอง“ใช่ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราคือใคร” ฉู่ตงฟางเอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยความตื่นเต้นฉู่ปิ่งม
ตอนพิเศษ 1.2ก่อนที่หมอจะออกจากห้อง ก็แนะนำเกี่ยวกับยาบำรุงครรภ์ที่จำเป็น และหยิบยาออกมาสองเทียบส่งให้ฉู่ตงฟาง พร้อมกับแนะนำว่า “ให้ฮูหยินใช้ยานี้บำรุงร่างกาย ต้องต้มกินวันละสามเวลา หากหมดก็ให้ไปรับยาได้ที่โรงหมอของข้าได้”“ขอบคุณท่านหมอมาก” ฉู่ตงฟางกล่าวขอบคุณอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข เขารับยาจากหมออย่างระมัดระวังเมื่อหมอกลับออกไปแล้ว ฉู่ตงฟางนั่งอยู่ข้างหลินซูหนานด้วยความรักและเอาใจใส่ นางยังคงนอนอยู่บนเตียงในสภาพร่างกายที่อ่อนเพลีย ทว่าภายใต้สีหน้าที่ซีดขาวนั้น กลับมีความรู้สึกดีใจอยู่เต็มเปี่ยม“ซูหนาน ข้าตื่นเต้นและดีใจมากที่เราจะมีเจ้าก้อนแป้งกันแล้ว” เขากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาและอ่อนหวานหลินซูหนานยิ้มอย่างหวานละมุน “ข้าก็รู้สึกดีใจเหมือนกันครอบครัวของพวกเราจะสมบูรณ์แล้วนะเจ้าคะ” นางกล่าวอย่างมีความสุข“ต่อจากนี้ไป ข้าจะดูแลเจ้าตลอดเวลา เจ้าจะต้องพักผ่อนมากๆ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องลำบาก ส่วนเรื่องขายของข้า จะสั่งให้คนมาช่วย” ฉู่ตงฟางก้มลงมองนางอย่างรักใคร่“เจ้าค่ะ” หลินซูหนานตอบอย่างไม่มีปัญหาเพราะนางก็อยากรักษาตนเองให้ดีที่สุดเพื่อเจ้าก่อนแป้ง“พักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่ก
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากที่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานได้ล่องเรือเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ จนพอใจแล้ว สุดท้ายทั้งคู่ก็ตัดสินใจปักหลักที่เมืองท่าแห่งหนึ่ง เมืองนี้มีทิวทัศน์ที่สวยงาม พร้อมด้วยท่าเรือที่คึกคัก ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและสวยงามของแม่น้ำสายใหญ่ จึงทำให้ทั้งสองรู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการสร้างชีวิตใหม่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยการเปิดร้านค้าเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ ร้านค้าของพวกเขาได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม มีบรรยากาศอบอุ่นที่ดึงดูดลูกค้า ทั้งสองจัดทำสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่อาหาร ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรมที่สวยงาม โดยเฉพาะสินค้าที่หลินซูหนานทำด้วยมือซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ร้านของทั้งสองมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว โดยตั้งร้านค้าชื่อซูหนานนอกจากการขายสินค้าแล้ว ฉู่ตงฟางยังให้บริการคุ้มภัยทางเรือแก่พ่อค้าและนักเดินทางที่ต้องการขนส่งสินค้าไปยังเมืองต่าง ๆ โดยตั้งชื่อสำนักคุ้มภัยซูหนานฉู่ตงฟางมีลูกน้องที่มีวรยุทธสูงส่งมากมายที่ลาออกจากการเป็นองครักษ์เพื่อมาติดตามเขา และเขาเองก็มีความสามารถในการจัดการที่ดีเยี่ยม ทำให้ลูกค้าต่างไว้ใจสำนักคุ้มภัยซูหนานของนายท่า
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการ 1.2การสนทนานี้จบลงด้วยความเข้าใจและความรักที่มีต่อกัน ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนและโบกมือให้กัน เป็นการกล่าวลาอย่างอบอุ่น ก่อนที่ฉู่ตงฟางจะเดินออกจากห้องทรงพระอักษร ไปสู่วิถีชีวิตใหม่ของเขา ขณะที่ฮ่องเต้ยืนอยู่ในห้องนั้น ด้วยรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ต้องเผชิญในอนาคตหลังจากที่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานออกเดินทางไปท่องเที่ยว ทั้งสองก็ล่องเรือไปตามแม่น้ำที่สวยงาม โดยที่แรกที่ทั้งสองคนมุ่งไปเป็นเทือกเขาหมินซาน ที่นี่เป็นสถานที่ที่หลินซูหนานตั้งใจอยากมาเยี่ยมชมมานาน ด้วยความงดงามของธรรมชาติที่รายล้อมด้วยภูเขาเขียวขจีและดอกไม้ที่บานสะพรั่งเมื่อทั้งคู่มาถึงเทือกเขาหมินซาน ทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ทำให้หลินซูหนานอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ ฉู่ตงฟางมองดูนางด้วยความรัก เขาจับมือของนางขึ้นมาจับแล้วกล่าวอย่างหยอกล้อว่า“ดูสิ สถานที่นี้สวยงามไม่แพ้เจ้าเลย”“ท่านพี่ ข้าชอบที่นี่มากจริงๆ” หลินซูหนานกล่าวด้วยเสียงสดใส ยามนี้นางไม่เรียกเขาตำแหน่งอ๋องอีกแล้ว“ข้าดีใจที่เห็นเจ้ามีความสุข” ฉู่ตงฟางกล่าวด้วยรอยยิ้มทั้งสองใช้เวลาหลายวันในการเดินชมธรรมชาติ โดยฉู่ตงฟางพานางไปเก็บดอกไม้ท
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการ 1.1 หนึ่งปีผ่านไปการเมืองในราชสำนักกลับมาสงบเงียบไร้ซึ่งเกลียวคลื่นใต้น้ำ ขุนนางทุกฝ่ายเริ่มเห็นพ้องต้องกัน และต่างรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินฮ่องเต้ต้าเฟยได้แต่งตั้งฮองเฮาคู่กาย ฮองเฮาผู้นี้เป็นญาติห่าง ๆ ของหลินซูหนาน ในช่วงเวลานี้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน ในวันที่อากาศสดใส ฮ่องเต้ต้าเฟยได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมชาวบ้านด้วยพระองค์เอง โดยมีราชครูหลินเจิ้งหานตามเสด็จไปด้วยในฐานะพระอาจารย์ของฮ่องเต้ พวกเขาเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนาเขียวขจี ความงดงามของธรรมชาติทำให้ฮ่องเต้รู้สึกสดชื่น หลังจากที่ตรากตรำกับราชกิจอยู่ในวังมานานระหว่างที่พระองค์กำลังชมทัศนียภาพอยู่นั้น สายพระเนตรของพระองค์ก็ไปสะดุดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่กลางทุ่งนานั้น ใบหน้าของนางสวยงามราวกับภาพวาด ผมยาวสลวยถูกลมพัดปลิวไสว ดวงตาส่องประกายมีชีวิตชีวา รอยยิ้มอ่อนหวานของนาง ดึงดูดใจพระองค์เป็นอย่างมากหญิงสาวผู้นี้กำลังช่วยชาวบ้านจัดการพืชผลที่เก็บได้ ในมือมีสมุดบัญชีอยู่หนึ่งเล่ม ซึ่งนางกำลังก้มหน้าก้มตาจดรายการพืชผลของช







