ตอนที่
[4] สตรี(ซื่อ)บื้อในสายตาพยัคฆ์ ทันทีที่ประตูรถม้าปิดลง หลี่ซ่างเอินก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ร่างที่เคยสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวพลันกลับมานิ่งสงบในทันที นางปล่อยมือจากไจ้หลินแล้วเอนกายพิงพนักอย่างผ่อนคลาย ไจ้หลินมองผู้เป็นนายด้วยความสับสนระคนทึ่ง “คุณหนู... เมื่อครู่นี้... ท่าน...” “ชู่ว...” หลี่ซ่างเอินยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก ส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้เงียบเสียงลง นางเหลือบมองไปนอกหน้าต่างเล็กน้อย แม้จะอยู่ท้ายขบวนแต่ก็ไม่อาจประมาทได้ “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอธิบาย รอให้เรากลับถึงจวนก่อน” ไจ้หลินได้แต่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้ในใจจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เมื่อเห็นแววตาที่นิ่งสงบและเฉียบคมของคุณหนูของตน นางก็รู้สึกได้ถึงความน่าเชื่อถือและปลอดภัยอย่างประหลาด ความหวาดกลัวก่อนหน้านี้ค่อย ๆ จางหายไป เหลือเพียงความอยากรู้อยากเห็นว่าคุณหนูของนางจะทำสิ่งใดต่อไป ขบวนเดินทางเคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนตามสองข้างทางต่างพากันส่งเสียงโห่ร้องต้อนรับเซวียอ๋อง แต่ไม่มีผู้ใดสนใจรถม้าคันเล็กซอมซ่อที่อยู่ท้ายขบวน ซึ่งนั่นเป็นไปตามที่หลี่ซ่างเอินต้องการ เมื่อขบวนเดินทางมาถึงหน้าจวนตระกูลหลี่ รถม้าของนางก็แยกตัวออกมาจอดนิ่งอยู่หน้าประตู หยางซานฉีควบม้าเข้ามาเทียบ “คุณหนูหลี่ ถึงจวนของท่านแล้ว” หลี่ซ่างเอินและไจ้หลินก้าวลงจากรถม้า นางหันไปโค้งคำนับให้หยางซานฉีอย่างนอบน้อม “ข้าขอบคุณท่านแม่ทัพ และขอบคุณท่านผู้มีพระคุณอีกครั้งสำหรับความช่วยเหลือในวันนี้ บุญคุณครั้งนี้ตระกูลหลี่จะไม่มีวันลืมเลือน” นางยังคงรักษาบทบาทสตรีผู้ใสซื่อและไม่รู้จักยศถาบรรดาศักดิ์ของใครได้อย่างไร้ที่ติ ก่อนจะหันหลังเดินเข้าประตูจวนไปพร้อมกับบ่าวรับใช้ โดยไม่หันกลับมามองอีกแม้แต่ครั้งเดียว หยางซานฉีมองตามหลังร่างระหงนั้นไปจนลับสายตา ก่อนจะควบม้ากลับไปรายงานผู้เป็นนายที่รถม้าพระที่นั่งซึ่งจอดรออยู่ไม่ไกล “นางกลับเข้าจวนไปแล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” ซ่งเว่ยหลิงไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะสั่งให้เคลื่อนขบวนต่อไปยังตำหนักของเขาที่อยู่เมืองหลวง ภายในห้องหนังสือของตำหนักหย่งเจิ้น กลิ่นกำยานหอมอ่อน ๆ ลอยอบอวล ซ่งเว่ยหลิงนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ แววตาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา “หยางซานฉี” เซวียอ๋องเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” รองแม่ทัพคนสนิทที่ยืนอยู่ด้านข้างขานรับทันที “เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องในวันนี้” หยางซานฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบตามตรง “เรื่องของคุณหนูหลี่นั้น... มีความน่าสงสัยหลายอย่างพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะเรื่องการตายของเหล่าโจรป่า” “น่าสงสัยอย่างไร” ซ่งเว่ยหลิงถามต่อ สายตายังคงจับจ้องไปที่ถ้วยชาในมือ “จากรายงานของทหาร โจรทั้งหกถูกสังหารด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวที่จุดตาย ซึ่งนี่เป็นฝีมือของยอดฝีมืออย่างไม่ต้องสงสัย แต่คุณหนูหลี่กลับบอกว่าเป็นฝีมือของบ่าวรับใช้นามไจ้หลิน ซึ่ง... ซึ่งกระหม่อมคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ” “แล้วเจ้าคิดว่าผู้ใดเป็นคนทำ” หยางซานฉีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หรือว่า... จะมียอดฝีมือคนอื่นผ่านมาพบเห็นเหตุการณ์พอดี จึงได้เข้าช่วยเหลือพวกนางไว้พ่ะย่ะค่ะ เพราะลำพังบ่าวรับใช้นามไจ้หลินนั่น ไม่น่าจะมีความสามารถถึงเพียงนั้นเป็นแน่ ส่วนคุณหนูหลี่... ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ นางดูบอบบางและตื่นกลัวขนาดนั้น” ซ่งเว่ยหลิงยกถ้วยชาขึ้นจิบช้า ๆ เขาก็นึกถึงภาพของคุณหนูหลี่ผู้นั้นเช่นกัน... นางดูตื่นกลัว หวาดผวาและใสซื่อจนดูโง่งม เรื่องเล่าของนางก็ฟังดูเหลวไหลไร้สาระ แต่แววตาของนางกลับไม่มีแววของการโกหกอยู่เลย มันเหมือนกับว่า... นางเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ หรือนางจะตกใจจนเลอะเลือนไปชั่วขณะ? “ไปสืบประวัติของนางมาให้ข้า” ซ่งเว่ยหลิงวางถ้วยชาลง “หลี่ซ่างเอิน... บุตรสาวของรองเจ้ากรมพิธีการ ข้าต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนาง” “พ่ะย่ะค่ะ!” หยางซานฉีรับคำสั่งก่อนจะขอตัวออกไปทันที ซ่งเว่ยหลิงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นิ้วเรียวยาวเคาะกับโต๊ะเป็นจังหวะช้า ๆ ในใจของเขารู้สึกสนใจใคร่รู้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สตรีผู้นี้... หากนางเสแสร้งแกล้งทำ ก็ต้องนับว่านางเป็นนักแสดงชั้นยอดที่แม้แต่เขาก็จับไม่ได้ แต่ถ้าหากนางไม่ได้เสแสร้ง... ถ้าทุกสิ่งที่นางแสดงออกมาคือตัวตนที่แท้จริงของนาง... สตรีที่ใสซื่อจนถึงขั้นซื่อบื้อ แต่กลับมีปริศนายอดฝีมือคอยคุ้มครอง... มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งนัก... ขณะเดียวกัน ณ จวนตระกูลหลี่ ทันทีที่กลับมาถึงเรือนเล็กของตนเองและแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ ๆ ไจ้หลินก็หมดความอดทนในทันที “คุณหนู! เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ! แล้ว... แล้ววรยุทธ์ของท่าน... ท่านไปเรียนรู้มาจากที่ใดตั้งแต่เมื่อไร แล้วเหตุใดต้องโกหกบุรุษผู้นั้นด้วยว่าบ่าวเป็นคน...” หลี่ซ่างเอินยกมือขึ้นห้ามปรามให้บ่าวรับใช้ใจเย็นลง “ไจ้หลิน เรื่องมันยาว เอาไว้ข้าจะค่อย ๆ เล่าให้เจ้าฟัง แต่ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำคือทำตัวให้เป็นปกติที่สุด จำไว้ว่าเจ้าคือผู้ที่ปกป้องข้าจนทำให้โจรฆ่ากันเอง ไม่ว่าใครจะถามอะไร เจ้าก็แค่ทำท่าหวาดกลัวแล้วบอกว่าจำอะไรไม่ได้เพราะตกใจมากก็พอ” “แต่ว่า...” “ไม่มีแต่” หลี่ซ่างเอินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไจ้หลิน... เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่” แววตาที่จริงจังและเด็ดเดี่ยวของผู้เป็นนายทำให้ไจ้หลินต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอ นางมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น แม้จะเป็นคุณหนูคนเดิม แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “บ่าว... เชื่อใจคุณหนูเจ้าค่ะ” “ดีมาก” หลี่ซ่างเอินคลี่ยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ไปเตรียมน้ำให้ข้าอาบเถิด ข้าอยากจะล้างคราบเลือดพวกนี้ออกไปเต็มทีแล้ว” ขณะที่ไจ้หลินกำลังจะหมุนตัวออกไป เสียงของสาวใช้จากเรือนใหญ่ก็ดังขึ้นหน้าประตูเสียก่อน “คุณหนูรองเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่กับคุณหนูใหญ่ให้มาเชิญท่านไปพบที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ” ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่ซ่างเอินพลันเยือกเย็นลงในทันที ดวงตาของนางทอประกายคมปลาบขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ละครฉากต่อไป... กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วสินะตอนที่ [7] พยัคฆ์ซ่อนเล็บ ไจ้หลินใช้เวลาไม่นานนักก็กลับมาถึงเรือนเล็กพร้อมกับห่อผ้าเล็ก ๆ ในมือ นางทำทุกอย่างตามที่คุณหนูสั่งอย่างระมัดระวังที่สุด และมอบห่อผ้าให้หลี่ซ่างเอินโดยไม่ถามอะไรเพิ่มเติมอีก หลี่ซ่างเอินเปิดห่อผ้าออกอย่างแผ่วเบา ภายในคือกล่องไม้เล็ก ๆ ที่บรรจุเข็มเงินเนื้อดีสิบกว่าเล่ม แต่ละเล่มบางเฉียบและแวววาวกว่าเข็มเงินทั่วไป มันคือเครื่องมือชั้นดีที่จะใช้ขัดขวางแผนการร้ายของสองแม่ลูกอสรพิษ นางเก็บกล่องเข็มเงินไว้ในที่ลับอย่างดี ก่อนจะหันมามองไจ้หลินที่ยืนรอคำสั่งอยู่ด้วยสีหน้าจริงจัง “ไจ้หลิน จากนี้ไป อาหารทุกอย่างที่มาจากครัวใหญ่ หรือที่ถูกส่งมาจากเรือนของฮูหยินใหญ่และคุณหนูใหญ่ เจ้าจะต้องนำมาให้ข้าตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ห้ามให้ข้ากินหรือดื่มอะไรโดยที่ข้ายังไม่ได้อนุญาตเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่” “เจ้าค่ะคุณหนู!” ไจ้หลินรับคำอย่างหนักแน่น แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็รู้ว่าคุณหนูต้องกำลังป้องกันตัวจากอันตรายบางอย่างเป็นแน่ “ดีมาก” หลี่ซ่างเอินพยักหน้าอย่างพอใจ นางรู้ดีว่าแผนการวางยาพิษจะต้องเริ่มขึ้นในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน เพราะสองแม่ลูกนั่นคงทนรอให้นางมีชีวิตที่ดีต่อไป
ตอนที่[6]หมากตัวแรกในกระดานเมื่อกลับมาถึงเรือนเล็กของตนเอง หลี่ซ่างเอินก็รีบสั่งให้ไจ้หลินไปต้มน้ำอาบทันที นางต้องการชำระล้างคราบเลือดและกลิ่นคาวสกปรกออกไปให้หมดสิ้น ขณะแช่กายอยู่ในถังไม้หอมกรุ่น ความคิดของนางก็แล่นไปไกลถึงแผนการในอนาคตการเผชิญหน้ากับสองแม่ลูกอสรพิษเมื่อครู่ทำให้นางมั่นใจว่าพวกมันจะต้องลงมืออีกครั้งในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะหลี่ซวงอี๋... พี่สาวผู้แสนดีของนางหลี่ซ่างเอินแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ นางรู้ดีว่าเหตุใดหลี่ซวงอี๋จึงร้อนรนอยากจะกำจัดนางนักหนา อีกไม่ถึงสามเดือนข้างหน้า คือวันมงคลที่พี่สาวของนางจะได้แต่งเข้าตำหนักองค์ชายรองซ่งซือเหยียน แม้จะเป็นเพียงตำแหน่งพระชายารอง แต่สำหรับหลี่ซวงอี๋ผู้ทะเยอทะยาน มันคือก้าวแรกสู่การเป็นใหญ่ในวังหลังด้วยนิสัยขี้อิจฉาและหวาดระแวงเป็นทุนเดิม หลี่ซวงอี๋ย่อมไม่อาจทนเห็นน้องสาวต่างมารดาที่งดงามกว่าตนยังคงอยู่ในจวนได้ แม้บิดาจะดูเมินเฉย แต่ลึก ๆ แล้วหลี่ซู่ก็ยังคงมีความรู้สึกผิดต่อมารดาของนางอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหาคู่ครองที่ดีพอสมควรให้นางเพื่อเป็นการไถ่โทษ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่หลี่ซวงอี๋ยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด!กา
ตอนที่[5]สองแม่ลูกอสรพิษหลี่ซ่างเอินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ปรับเปลี่ยนสีหน้าจากเยือกเย็นกลับมาเป็นคุณหนูผู้อ่อนแอและตื่นกลัวในชั่วพริบตา นางหันไปพยักหน้าให้ไจ้หลิน ก่อนจะเดินออกจากเรือนเพื่อไปยังเรือนใหญ่ของฮูหยินใหญ่ระหว่างทาง นางจงใจเดินก้มหน้าก้มตา ตัวสั่นเล็กน้อยราวกับยังขวัญเสียไม่หาย ทำให้บ่าวรับใช้ที่เดินผ่านไปมาต่างลอบมองด้วยความสงสัยระคนสมเพชเมื่อมาถึงโถงรับรองของเรือนใหญ่ ก็พบหลี่ฮูหยินหรือหวังฮุ่ยจี้และหลี่ซวงอี๋นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เห็นสภาพมอมแมมเปรอะเปื้อนเลือดของหลี่ซ่างเอิน สองแม่ลูกก็รีบปรี่เข้ามาหาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความ ‘ตกใจ’ และ ‘เป็นห่วง’ อย่างถึงที่สุด“เอินเออร์! นี่มันเกิดอะไรขึ้น! เหตุใดเจ้าถึงอยู่ในสภาพนี้!” หลี่ซวงอี๋เป็นคนแรกที่เปิดฉากละคร นางคว้าแขนของน้องสาวไว้แน่น ดวงตางามเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา พลางสำรวจร่างกายน้องสาวอย่างรวดเร็วหลี่ฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น “แล้วพวกโจรเล่า เหตุใดเจ้าถึงกลับมาได้ แล้วรถม้าของเจ้าเล่าอยู่ที่ใด”คำถามที่ยิงมารัว ๆ นั้นแฝงไปด้วยความคาดคั้นอยู่ในที สองแม่ลูกต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อที่จะเห็นผลงานชิ้นเอกของพวกนางโดยที่ไม่ได้เอ
ตอนที่[4]สตรี(ซื่อ)บื้อในสายตาพยัคฆ์ทันทีที่ประตูรถม้าปิดลง หลี่ซ่างเอินก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ร่างที่เคยสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวพลันกลับมานิ่งสงบในทันที นางปล่อยมือจากไจ้หลินแล้วเอนกายพิงพนักอย่างผ่อนคลายไจ้หลินมองผู้เป็นนายด้วยความสับสนระคนทึ่ง “คุณหนู... เมื่อครู่นี้... ท่าน...”“ชู่ว...” หลี่ซ่างเอินยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก ส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้เงียบเสียงลง นางเหลือบมองไปนอกหน้าต่างเล็กน้อย แม้จะอยู่ท้ายขบวนแต่ก็ไม่อาจประมาทได้ “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอธิบาย รอให้เรากลับถึงจวนก่อน”ไจ้หลินได้แต่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้ในใจจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เมื่อเห็นแววตาที่นิ่งสงบและเฉียบคมของคุณหนูของตน นางก็รู้สึกได้ถึงความน่าเชื่อถือและปลอดภัยอย่างประหลาด ความหวาดกลัวก่อนหน้านี้ค่อย ๆ จางหายไป เหลือเพียงความอยากรู้อยากเห็นว่าคุณหนูของนางจะทำสิ่งใดต่อไปขบวนเดินทางเคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนตามสองข้างทางต่างพากันส่งเสียงโห่ร้องต้อนรับเซวียอ๋อง แต่ไม่มีผู้ใดสนใจรถม้าคันเล็กซอมซ่อที่อยู่ท้ายขบวน ซึ่งนั่นเป็นไปตามที่หลี่ซ่างเอินต้องการเมื่อขบวนเดินทางมาถึงหน้าจว
ตอนที่[3]เหยื่อล่ออ๋องพยัคฆ์“เดี๋ยวก่อน”เสียงทุ้มต่ำและเย็นชาดังออกมาจากรถม้าพระที่นั่ง แม้จะราบเรียบ แต่กลับเปี่ยมไปด้วยอำนาจจนทำให้ทุกคนต้องหยุดการกระทำทั้งหมดหลี่ซ่างเอินชะงักฝีเท้า นางแสร้งทำเป็นตกใจก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมามองอย่างช้า ๆ หัวใจเต้นระรัวด้วยความลิงโลด แต่นัยน์ตากลับแสดงออกเพียงความสับสนและมีความหวังริบหรี่ม่านรถม้าถูกเลื่อนเปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ภายใน แสงแดดสาดส่องขับเน้นให้ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเซียนของเขาดูเจิดจ้าจนน่าพรั่นพรึง รัศมีแห่งความสูงศักดิ์และเย็นชาแผ่ออกมาจนอากาศรอบกายดูจะหนาวเหน็บลงถนัดตาวินาทีที่ได้สบตากับเขา หลี่ซ่างเอินก็แสร้งทำเป็นหยุดหายใจไปชั่วขณะ นางเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะรีบก้มหน้าลงต่ำทันที ไม่กล้าสบตาเขาตรง ๆ ปฏิกิริยานั้นดูเหมือนการก้มหน้าด้วยความหวาดกลัวต่อบุรุษแปลกหน้าผู้ทรงอำนาจอย่างแท้จริงซ่งเว่ยหลิงหรี่ตามองภาพนั้นอย่างพิจารณา “หยางซานฉี ส่งคนไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ”“พ่ะย่ะค่ะ!” หยางซานฉีรับคำและส่งสัญญาณให้ทหารสองนายควบม้ากลับไปทางที่สตรีทั้งสองวิ่งออกมาทันทีสายตาเย็นชาของซ่งเว่ยหลิงกวาดมองร่างที่เปื้
ตอนที่[3]เหยื่อล่ออ๋องพยัคฆ์“ไจ้หลิน!” นางเรียกบ่าวรับใช้เสียงดัง เพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคล้ายยังจับต้นชนปลายไม่ถูก “เร็วเข้า! เราต้องไปขอความช่วยเหลือ!”หลี่ซ่างเอินไม่รอช้า รีบโยนกระบี่ในมือทิ้งเข้าไปในพงหญ้าหนาทึบจนมองไม่เห็น จากนั้นก็จงใจใช้มือที่เปื้อนเลือดลูบใบหน้าของตนเองและไจ้หลินให้ดูมอมแมมและน่าเวทนายิ่งขึ้นไปอีก แล้วค่อยดึงทึ้งเสื้อผ้าของตนให้ขาดรุ่งริ่งกว่าเดิม ก่อนจะหันไปจับไหล่ของไจ้หลินที่ยังคงยืนนิ่งอึ้งอยู่เขย่าเบา ๆ“ฟังข้านะไจ้หลิน” นางกระซิบเสียงรอดไรฟัน แต่แววตากลับจริงจังจนน่ากลัว “จากนี้ไป ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรหรือทำอะไร เจ้ามีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือร้องไห้ ร้องไห้ให้ดูน่าสงสารที่สุด ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่ร้องไห้แล้วพยักหน้าตามข้า เข้าใจหรือไม่!”คำสั่งที่แฝงมาในรูปแบบของคำพูดที่ตื่นตระหนกทำให้ไจ้หลินได้แต่พยักหน้ารับอย่างงุนงง“ดีมาก!” หลี่ซ่างเอินกล่าวจบก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นหวาดกลัวสุดขีดในทันที นางฉุดมือไจ้หลินให้วิ่งทะลุป่าออกมายังถนนสายหลักภาพแรกที่เห็นคือขบวนเดินทางอันโอ่อ่าและน่าเกรงขาม ทหารองครักษ์ในชุดเกราะสีเงินวาววับนับร้อยนายตั้งขบวนอย่างเป็นระ