บทที่ 5 พบคนรักของคนที่ต้องแต่งด้วย
เสียงดนตรีอ่อนโยนจากสายพิณในสวนหลวงด้านทิศตะวันออกของจวนเสนาบดีจ้าวดังคลอไหวไปกับสายลม หลานฮวาสวมชุดคลุมตัวยาวสีดำขลับ เดินทอดน่องอย่างสง่างามตามคำสั่งของผู้เป็นบิดาให้ไปพบว่าที่สามี คนที่จะต้องร่วมชีวิตด้วยหลังจากนี้ บุรุษที่พี่สาวของนางเคยถูกหมั้นหมายไว้กับเขา
ศาลาริมสระบัวในสวนด้านทิศตะวันออกของจวนเสนาบดีจ้าวในยามบ่ายคลุ้งไปด้วยกลิ่นบุปผาหอมจาง ๆ ดนตรีจากสายพิณดังแผ่วราวเลือนลางในความทรงจำ หลานฮวาเดินเข้าสู่ศาลาอย่างเงียบงัน สีหน้าเรียบนิ่งราวไม่มีอะไรในโลกนี้จะแตะต้องใจนางได้อีกแล้ว
บนม้านั่งหินในศาลา หญิงสาวผู้หนึ่งนั่งก้มหน้า เช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าปักลาย ‘หลานเมย’ บนขอบผืนอย่างบรรจง
หลานฮวาหยุดมองครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น เจ้าหยิบมาจากเรือนของหลานเมยสินะ”
หญิงสาวสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ
“เจ้า…หลานเมย”
หลานฮวายกยิ้มมุมปาก นิ่ง ไม่ตอบในทันที นางจ้องมองหญิงสาวผู้นั้น พลางมองเงาตนเองที่สะท้อนในสระ…เป็นเงาของผู้ที่ยังมีชีวิต แต่อีกคนกลับหายไปจากโลกนี้
ก่อนที่หลานฮวาจะทันได้พูดอะไร เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากอีกฟากของทางเดินก่อนร่างสูงในชุดทหารจะปรากฏตัว
“เจ้าอยู่ที่นี่เอง เสี่ยวหรัน…” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเขาเดินเข้ามาใกล้ ชะงักกลางก้าวเมื่อเห็นใบหน้าที่เหมือนคนในความทรงจำ ก่อนจะหยุดชะงักทันทีที่สายตาของเขาปะทะเข้ากับดวงหน้าของหลานฮวา
เขาตัวแข็งไปชั่วขณะ ดวงตาสั่นไหวเหมือนเห็นผีจากอดีต
“…หลานเมย”
หลานฮวาเงยหน้าขึ้น ดวงตานิ่งสงบแต่แฝงแววเยาะหยันเล็กน้อย
“เจ้าจำข้าได้หรือ” นางถามเสียงเรียบ
บุรุษผู้นั้นมองนางนิ่ง คล้ายอยากยื่นมือออกไปแตะเพื่อพิสูจน์ว่าใช่หลานเมยจริงหรือไม่ แต่เขากลับชะงักเมื่อเห็นสีดำของอาภรณ์บนร่างนาง
หลานฮวาหัวเราะในลำคอ ดวงตาเยือกเย็นยิ่งกว่าสายน้ำในลำธารยามค่ำคืน
“…หลานเมย” เขาเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกปั่นป่วน
หลานฮวาหันไปสบตาเขาโดยไม่หลบ “ไม่ใช่หลานเมย ข้าคือหลานฮวาน้องสาวฝาแฝดของนาง ท่านแม่ทัพ หากท่านคิดว่าข้าเป็นหลานเมย เช่นนั้นแสดงว่าท่านไม่รู้จักแม้กระทั่งคู่หมั้นของตนเองเลยกระมัง”
“แต่ว่า…หลานเมย…” เขาชะงัก สบตานางนิ่งงัน “ข้าได้ยินว่านาง…เสียแล้ว”
หลานฮวาแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา ดวงตาทอประกายดุดันขึ้นเรื่อย ๆ
“เจ้าบอกว่า ได้ยิน เหตุใดเจ้าจึง ได้ยิน เหมือนคนอื่นทั่วไปเล่า ในเมื่อท่านคือบุตรชายแม่ทัพบูรพา ยศศักดิ์สูงส่ง อีกทั้งยังเป็นถึงแม่ทัพในราชสำนัก มิหนำซ้ำท่านคือผู้ที่หมั้นหมายกับหลานเมยพี่สาวข้า ท่านจะไม่รู้หรือว่าคู่หมั้นของท่านตายไปแล้ว”
คำถามของหลานฮวาเย็นเยียบและหนักแน่นจนแม้แต่นกในสระยังเงียบเสียงไปชั่วขณะ
ชายหนุ่มกัดฟันแน่น สองมือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดขึ้น
“…ข้า…” เขาเอ่ยเพียงคำเดียว
“หากท่านรักนางจริง ท่านคงไม่ใช่คนสุดท้ายในเมืองหลวงที่รู้ข่าวการตายของว่าที่ภรรยาตนเองหรอก หรือบางที…ท่านอาจแยกไม่ออกจริง ๆ” หลานฮวายกยิ้มเจือเย้ย “เพราะในใจของท่าน มีแต่เงาเขียวใต้กอไผ่เท่านั้น ไม่เคยมีใครเลยสักคนที่ท่านมองด้วยใจจริง ๆ”
บรรยากาศในศาลาริมสระเงียบสงัดลงอย่างน่าพิศวง แม้เสียงพิณจะยังแว่วอยู่ไกล ๆ แต่สำหรับคนทั้งสามที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้…โลกทั้งใบกลับเหมือนหยุดหมุน
แม่ทัพหนุ่มเผชิญหน้ากับหลานฮวา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสนระคนปวดร้าว ภาพใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าทับซ้อนกับภาพในอดีตที่เขายังไม่อาจลืมเลือน
แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไร หลานฮวากลับเอื้อนเอ่ยออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบยิ่งกว่าคราไหน
“ข้ารู้ว่าท่านรู้สึกผิดกับจดหมายลาตายนั่น”
แม่ทัพหนุ่มชะงัก สีหน้าถึงกับซีดเผือด
“เจ้าหมายความว่า…” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า
“จดหมายนั้น…” หลานฮวาเอ่ยช้า ๆ คล้ายจะเฉือนหัวใจอีกฝ่ายทีละเส้น “ไม่ใช่ลายมือของพี่สาวข้า”
ความเงียบกระแทกลงราวกับสายฟ้าฟาด เสี่ยวหรันที่นั่งอยู่เงียบ ๆ ถึงกับตัวสั่น น้ำตาหยดลงบนผ้าเช็ดหน้าปักชื่อ ‘หลานเมย’ โดยไม่รู้ตัว
“นางตาย…แต่จดหมายนั้นถูกเขียนขึ้นภายหลัง” หลานฮวาเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าว สายตาจ้องเขาแน่นิ่ง “มีคนจัดฉากให้ทุกอย่างดูเหมือนการฆ่าตัวตาย…และปล่อยให้คนทั้งเมืองหลวงเข้าใจว่านางเสียใจเพราะท่านมีสตรีอื่น”
“ไม่…” เขาก้าวถอยหนึ่งก้าว “เจ้ากำลังโกหก…”
“โกหก” นางหัวเราะเบา ๆ คล้ายเสียงสายลมกระทบกระจกน้ำแข็ง “ข้าขอถามเพียงคำเดียว ในจดหมายนั้น นางเขียนชื่อท่านว่าอะไร”
แม่ทัพหนุ่มนิ่งงันไปนาน ริมฝีปากขยับแต่ไร้เสียง
“ข้าเชื่อว่าท่านจำไม่ได้ เพราะชื่อที่เขียน…ไม่ใช่ชื่อของท่าน มิใช่หลางหานเจิ้ง” ดวงตาหลานฮวาฉายแววกราดเกรี้ยวแฝงด้วยความร้าวราน “ในจดหมายนั้นไม่มีชื่อใครเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงคำลอย ๆ ว่า ‘เขา’ กับ ‘นาง’ และ ‘ความผิดของข้า’…‘เขาจะฆ่าข้า’ ”
เงาสะท้อนในสระบัวคล้ายสั่นไหวตามอารมณ์ที่คุกรุ่น หลานฮวาหันหน้าออกไปมองผิวน้ำ ริมฝีปากเม้มแน่น
“นางไม่ใช่คนอ่อนแอ นางไม่เคยร้องไห้เพราะความรัก และนาง…ไม่เคยคิดจะแต่งกับท่านเลยด้วยซ้ำ”
แม่ทัพหนุ่มราวกับถูกซัดด้วยพายุอารมณ์ ใจของเขาหนักอึ้ง หลานฮวาหันกลับมา แววตาไม่แสดงความอ่อนโยนแม้แต่น้อย
“หากท่านรักใครจริง ๆ ท่านคงไม่ปล่อยให้นางตายโดยไม่มีแม้กระทั่งคำร่ำลา และที่สำคัญ…ท่านคงไม่ลืมว่าท่านหมั้นกับใคร”
หลานฮวาเอื้อมมือไปคว้าผ้าเช็ดหน้าจากมือเสี่ยวหรันอย่างรวดเร็ว ก่อนโยนมันลงในสระบัว น้ำสีใสกระเซ็นเล็กน้อย แล้วผ้าปักชื่อ ‘หลานเมย’ ก็ค่อย ๆ จมลงไปสู่ก้นสระ
“นี่คือการไว้ทุกข์ของข้า…ไม่ใช่ของพวกท่าน” นางกล่าวนิ่ง “และจงจำไว้ ข้าจะหาคนที่ฆ่าพี่สาวข้าให้พบ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม…แม้จะต้องแหวกแผ่นฟ้าแผ่นดิน”
แม่ทัพหนุ่มยืนนิ่ง ราวกับร่างถูกตรึงไว้ด้วยห่วงโซ่ของความผิดและอดีต
เสียงพิณยังคงดังอยู่เบื้องหลัง แต่ครั้งนี้…กลับเหมือนบรรเลงให้กับคนตายมากกว่าคนเป็น
บทที่ 5 พบคนรักของคนที่ต้องแต่งด้วยเสียงดนตรีอ่อนโยนจากสายพิณในสวนหลวงด้านทิศตะวันออกของจวนเสนาบดีจ้าวดังคลอไหวไปกับสายลม หลานฮวาสวมชุดคลุมตัวยาวสีดำขลับ เดินทอดน่องอย่างสง่างามตามคำสั่งของผู้เป็นบิดาให้ไปพบว่าที่สามี คนที่จะต้องร่วมชีวิตด้วยหลังจากนี้ บุรุษที่พี่สาวของนางเคยถูกหมั้นหมายไว้กับเขาศาลาริมสระบัวในสวนด้านทิศตะวันออกของจวนเสนาบดีจ้าวในยามบ่ายคลุ้งไปด้วยกลิ่นบุปผาหอมจาง ๆ ดนตรีจากสายพิณดังแผ่วราวเลือนลางในความทรงจำ หลานฮวาเดินเข้าสู่ศาลาอย่างเงียบงัน สีหน้าเรียบนิ่งราวไม่มีอะไรในโลกนี้จะแตะต้องใจนางได้อีกแล้วบนม้านั่งหินในศาลา หญิงสาวผู้หนึ่งนั่งก้มหน้า เช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าปักลาย ‘หลานเมย’ บนขอบผืนอย่างบรรจงหลานฮวาหยุดมองครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น เจ้าหยิบมาจากเรือนของหลานเมยสินะ”หญิงสาวสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ“เจ้า…หลานเมย”หลานฮวายกยิ้มมุมปาก นิ่ง ไม่ตอบในทันที นางจ้องมองหญิงสาวผู้นั้น พลางมองเงาตนเองที่สะท้อนในสระ…เป็นเงาของผู้ที่ยังมีชีวิต แต่อีกคนกลับหายไปจากโลกนี้ก่อนที่หลานฮวาจะทันได้พูดอะไร เสียงฝีเท้าหนักแน่นดัง
บทที่ 4 ยาพิษในราตรีคืนแรกของการมาเยือนจวนสกุลจ้าว ค่ำคืนนี้เงียบสงัดกว่าทุกคือ แสงจันทร์ฉาบลงบนหลังคาจวนเสนบดีจ้าว ราวกับแสงสุดท้ายก่อนพายุร้ายจะกระหน่ำลงมาดวงจันทร์ลอยลับหลังม่านเมฆ ทิ้งให้เงาค่ำครองทั่วเรือนจวนเสนาบดีลมเย็นเฉียบแทรกเข้าระหว่างซี่หน้าต่างราวกับเสียงกระซิบจากโลกวิญญาณและนั่นคือคืนแรกที่หลานฮวาเดินทางกลับมา…ลมเย็นหอบกลิ่นสมุนไพรประหลาดบางอย่างลอยผ่านหน้าต่างบานเล็กของห้องครัวใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่า กลิ่นหอมนั้นไม่ใช่กลิ่นของเครื่องปรุง แต่คือ พิษ จากยอดเขาอันไร้ผู้คนพิษนิมิตเงาเป็นยาที่ท่านทวดเคยเตือนนางมิให้ใช้ หากไร้เหตุจำเป็น มันไม่ฆ่า ไม่เจ็บ ไม่ปรากฏร่องรอย แต่จะชักนำผู้ถูกพิษเข้าสู่ห้วงฝันอันสั่นคลอนความจริงบิดเบือนเวลา ความทรงจำ และดึงเอาความกลัวที่ซ่อนลึกที่สุดมาเปิดโปง และหลานฮวา…เลือกใช้มันลงมือในคืนนี้เมื่อเรือนของหลานเมยกลายเป็นของนางเมื่อนางก้าวเข้ามาแทนที่พี่สาวเมื่อต้องเริ่ม ล้างบัญชี และตามหาความจริงในฝันฮูหยินจ้าว กรีดร้องสุดเสียงเมื่อร่างของนางตกลงจากหน้าผาสูงชัน ผ้าคลุมศีรษะสีแดงของเจ้าสาวพันรัดรอำคอนาง ดึงรั้งให้นางดิ่งลึกลงไปในหุบเหวที่ไ
บทที่ 3 สายใยความเงียบในเรือนเมฆขาวหนักอึ้งจนได้ยินแม้เสียงลมหายใจตนเอง แสงแดดยามบ่ายส่องลอดม่านบาง ๆ สะท้อนบนผืนกระดาษสีขาวซีดในมือหญิงสาว ราวกับฉายให้เห็นเงาของอดีตอันเจ็บปวดที่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด…หลานฮวานั่งลงช้า ๆ บนเบาะ หน้าตรงกับแสง พับชายอาภรณ์เรียบร้อยก่อนจะค่อย ๆ คลี่จดหมายนั้นออกสายตาก้มมองจดหมายที่เริ่มคลี่ออกอย่างระมัดระวัง ตัวอักษรหวัด ๆ อ่อนช้อย ลายมือที่นางเคยคุ้นแต่เลือนหายไปจากความทรงจำ เป็นลายมือของคนที่เคยเขียนชื่อของนางบนกล่องไม้ใต้ต้นหลิว…ครั้งยังเยาว์วัย ตัวอักษรทุกตัวถูกจรดด้วยมือละเมียดละไม น่าจะเขียนด้วยน้ำหมึกชั้นดี เพราะยังไม่ซีดจางแม้ผ่านกาลเวลาถึงฮวาเอ๋อร์ของพี่…ข้าคงเห็นแก่ตัวมากที่เขียนจดหมายฉบับนี้ไว้โดยไม่บอกใครแต่หากเจ้าได้อ่าน แสดงว่าข้าไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วจริง ๆข้ารู้ ว่าจดหมายฉบับนี้อาจไม่มีวันไปถึงเจ้าแต่ข้าก็ยังเขียน ด้วยความหวังบาง ๆ ว่า… หากข้าหายไปจริง ๆจะมีใครซักคน…อาจเป็นเจ้า…ที่ได้อ่านมันข้าไม่รู้ว่าข้าเกิดมาเพื่อตัวเอง หรือเพื่อเป็นภาพลวงตาที่ครอบครัวนี้ใช้บังแสงเงาของเจ้าเจ้าคือข้า และข้าก็คือเจ้า เราคือเงาสะท้อนกันและกัน
บทที่ 2 ยึดตัวตนหลานฮวาเงยหน้ามองบิดาและแม่ใหญ่แววตาเรียบสนิท ริมฝีปากยังคงยิ้มบาง…แต่ไร้ความอบอุ่น“หากจะให้ข้าแต่งงานแทนพี่หลานเมย…”“เช่นนั้น ทุกสิ่งที่เคยเป็น และกำลังจะเป็นของนางต้องเป็นของข้า”เสียงของนางชัดเจน หนักแน่น ราวกับกำลังประกาศกลางห้องโถง ไม่มีวาจาใดของบิดาหรือแม่ใหญ่แทรกขึ้นมาได้ในขณะนั้นแม้แต่สายตาของบ่าวไพร่ที่ยืนอยู่โดยรอบ ก็ยังต้องก้มหน้าหลบ“ตั้งแต่เกิดมา ข้าไม่เคยได้แม้แต่หยาดน้ำนมจากมารดา ถูกส่งขึ้นเขา ถูกลืมเลือน…ในขณะที่หลานเมยได้ทุกอย่าง ทั้งความรัก ทั้งชื่อเสียง ทั้งเรือนทั้งหอ”นางก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว สายลมยามสายพัดชายอาภรณ์ให้โบกเบา เหมือนคำประกาศของนาง กำลังจารไว้ในฟากฟ้าเหนือจวน“ในเมื่อพี่สาวตายไปแล้ว ตั้งแต่วันนี้ข้าจะรับทุกสิ่งของนางไว้ แม้แต่คนรับใช้ที่เคยดูแลนางก็ต้องมาดูแลข้า ในฐานะ…คนที่ยังมีชีวิตอยู่”บิดานางอ้าปากเหมือนจะเอ่ยคำใดแต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมาทัน แม่ใหญ่ก็เพียงบีบพัดในมือแน่นเล็กน้อย ดวงตาฉายแววไม่สบอารมณ์ แต่ก็จำต้องกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม“ได้สิ เอาอย่างเจ้าว่าเลย เดี๋ยวพ่อจัดการให้”เรือนเมฆขาว คือชื่อที่จารึกไว้หน้าประตูไม้
บทที่ 1 กลับคืนเสียงเกือกม้าเหยียบลงบนดินแห้งแล้งในยามเช้ามืด คล้ายเสียงหัวใจของเมืองหลวงที่หยุดเต้นไปครู่หนึ่งยามที่มีรถม้าปรากฏที่หน้าประตูเมืองไม่มีใครรู้ว่าเป็นรถม้าใคร ไม่มีใครกล้าถามในดวงตาคมดุที่ฉาบด้วยม่านหมอกสีเทานั้นเต็มไปด้วยบางสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ คล้ายความตาย คล้ายไฟแค้น คล้ายอดีตที่ยังไม่ถูกลืม มือขาวซีดแวกผ้าม่านรถม้าออกก่อนจะเอ่ยบอกยามเฝ้าประตูเมืองหลวง“เปิดประตู ข้ามีนามว่า หลานฮวา บุตรสาวคนเดียวของเสนาบดีคลังจ้าวหยงชิง”เสียงนางเรียบเย็น แต่ก้องสะท้อนในอกของทหารยาม เสี้ยววินาทีที่ได้สบตานาง ราวกับต้องมนตร์จนต้องรีบหลีกทางให้อย่างไม่รู้ตัว“ดาวหายะนะหรือ… ยังไม่ตาย”“นางกลับมาทำไมกัน หรือจะมารับช่วงต่อจากพี่สาว” แล้วเหตุใดนางจึงกล้าเอ่ยว่าตนเองคือบุตรสาวคนเดียวของเสนบดีจ้าวกัน แล้วพี่สาวที่ตายไปมินับญาติกันหรอกหรือ “เฮอะ ใครจะไปลืมได้… วันคลอดวันนั้นน่ะ ดาวดีมีเพียงดวงเดียว อีกดวงเป็นเคราะห์ร้ายจะนำพาทั้งตระกูลถึงแก่ความตาย”เสียงซุบซิบดังไม่ขาดสายในตลาดยามเช้า เมื่อข่าวการกลับมาของบุตรีต้องคำสาปกระจายไปทั่วเมือง ผู้คนจดจำได้เพียงว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นหน้าน
บทนำณ ค่ำคืนหนึ่งซึ่งดาวบนฟากฟ้าส่องแสงสลัว แสงจันทร์ทอดเงาเย็นเยียบลงบนเรือนร่างบอบบางของสตรีผู้กำลังเจ็บครรภ์ เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดดังก้องในห้องไม้เก่า ๆ ก่อนที่เสียงร้องไห้ของชีวิตใหม่จะกรีดผ่านความเงียบสงัดนั้นทารกคนแรกคลอดออกมา พร้อมเสียงร้องสดใสดังพลิ้วไหว แววตากลมใสที่ลืมขึ้นครั้งแรกดูราวกับสะท้อนแสงดาว บรรดาผู้คนในเรือนต่างโห่ร้องยินดี กล่าวขานว่านางคือ “ดาวนำโชค” ที่จะนำความรุ่งเรืองและเกียรติยศสู่ตระกูลแต่แล้ว… ทารกคนที่สองกลับคลอดตามออกมาพร้อมเสียงร้องแผ่วเบา และรอยปานประหลาดรูปดอกไม้มอดไหม้กลางแผ่นหลัง ดวงตาคู่นั้นมืดมัว ไร้แววความยินดี แทบจะในทันที… มีเสียงหวีดร้องจากแม่นมดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก“นั่นมัน… ดาวหายะนะ!”ไม่มีแม้คำปลอบโยน ไม่มีแม้โอกาสได้ดูดดื่มน้ำนมจากอกของผู้ให้กำเนิด ทารกน้อยถูกพรากจากอกไปไกลแสนไกล ราวกับเป็นภาระที่ไม่อาจปล่อยให้อยู่ใกล้ผู้คนในเมืองหลวงได้นางถูกส่งตัวไปยัง เขาพิษ ดินแดนห่างไกลที่ผู้คนต่างเล่าขานถึงสัตว์ประหลาด พิษร้าย และหมอยาเฒ่าผู้มีชีวิตอยู่เกินร้อยปี ผู้ที่เป็นทวดของพวกนาง ผู้ถูกลืมเลือนจากโลกภายนอก นางเติบโตท่ามกลางกลิ่นสมุนไพร