เสียงรถดังฝ่าความเงียบสงัดของราตรีกาล กระทั่งมาเบรกเอี๊ยดตรงหน้าบ้านหลังใหญ่ ทำให้คนที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงพร้อมกับถือหนังสือในมือต้องวางมันลงข้างตัว หล่อนนิ่งฟังความเคลื่อนไหวด้านนอก จนมั่นใจว่าคนมาใหม่ได้เข้ามาในบ้านแน่นอนแล้ว จึงหย่อนเท้าลงกับพื้นเย็นเฉียบ แล้วตรงไปกดปิดสวิตช์ไฟข้างประตู
ความมืดปกคลุมทั่วห้องขนาดกว้างขวางหากจะคิดว่ามีเพียงหล่อนที่อาศัยอยู่คนเดียว ณิชาใช้แสงสว่างจากด้านนอกที่ยังลอดผ่านขอบล่างของบานประตูเข้ามา นำทางกลับไปยังเตียงนอนที่เข้ามายึดไว้เป็นเวลากว่าปีแล้ว ดวงตาหวานเพ่งมองหนังสือนิยายโรมานซ์เล่มหนา หน้าปกสวยงามดูคลาสสิกที่ยังเห็นในความสลัว หยิบมันมาถือไว้แล้วถอนใจยาว บ่นพึมพำตามลำพัง “คืนนี้ไม่ได้ทำงานอีกแล้ว ใกล้จะถึงเดดไลน์ แต่ยังแปลงานส่ง บก.ครึ่งแรกไม่ได้เลย ตายแน่ๆ ยายนิดเอ๊ย! ถ้าจับงานสำนักพิมพ์นี้ไว้ไม่ได้ อนาคตเธอมืดมนแน่” เจ้าของเสียงบ่นหย่อนกายนั่งแกว่งเท้าอยู่ขอบเตียง แล้วนิ่วหน้าเมื่อได้ยินเสียงห้าวเคล้ากับเสียงของหญิงสาวที่เธอไม่คุ้นเคย จะให้คุ้นได้อย่างไร ในเมื่อผู้หญิงที่เข้ามาในบ้านแต่ละคืนไม่เคยซ้ำหน้ากันเลย และจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งยามที่แพทริเซีย แพทย์หญิงคนเก่งที่เป็นลูกติดของแม่เลี้ยงเธอไม่อยู่ ณิชากัดริมฝีปากแน่น นึกชิงชังเจ้าของเสียงห้าวนั้นเหลือเกิน ครั้งแรกหล่อนเจ็บปวดหัวใจเหลือจะกล่าวเมื่อรู้ว่าบ้านที่เป็นสมบัติตกทอดมาตั้งแต่ต้นตระกูลของมารดาต้องตกอยู่ในมือของคนอื่น แต่ก็ยอมรับความจริง หญิงสาวพอจะทำใจได้ ถึงแม้ต้องกล้ำกลืนฝืนทนก็ไม่ดึงดันละว่าบ้านที่อาศัยมาตั้งแต่จำความได้ ตอนนี้กลายเป็นสิทธิ์เด็ดขาดของคนข้างนอกนั่นไปแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่ทำให้เธอปวดร้าวอยู่ทุกคืนวัน ไม่อาจทำใจยอมรับได้สักครั้ง เมื่อเห็นตำตาว่าคนที่เข้ามาครอบครองใหม่ไม่เคยจะให้เกียรติบ้านหลังนี้เลย เขาทำเหมือนบ้านที่เคยเป็นของครอบครัวเธอไม่มีความหมาย บ้านที่พ่อกับแม่รักนักหนาคงกลายเป็นแค่สมบัติชิ้นหนึ่งในจำนวนไม่รู้ตั้งเท่าไรของเขา จึงได้ทำตามใจปรารถนา โดยไม่ใส่ใจอะไรเลย ณิชาเอนกายลงกลางเตียง หลังจากลังเลอยู่เป็นครู่ว่าจะเปิดไฟหัวเตียงแล้วนั่งทำงานเงียบๆ มีความมืดห้อมล้อมเป็นเกราะกำบังดีไหม แต่สุดท้ายเมื่อหูยังแว่วเสียงหัวเราะคิกด้านนอกอยู่ จึงรู้ว่าให้ตายอย่างไร สมาธิทำงานคงไม่เกิดแน่ในคืนนี้ หญิงสาวหลับตา พร่ำถามกับตัวเองเหมือนเช่นทุกคืนวัน เมื่อไหร่เหตุการณ์ซ้ำๆ แบบนี้จะจบลงสักทีนะ เมื่อไหร่สวรรค์จะหาทางออกให้เธอเจอ หรือเมื่อไหร่เขาคนนั้นจะจากที่นี่ไปเอง…สายมากแล้ว หน้าต่างในห้องนอนชั้นล่างที่หันไปทางด้านหลังของบ้านหลังโอ่โถงถึงถูกผลักเปิดรับแสงสว่างให้สาดส่องเข้ามา ณิชาหรี่ตาลงเมื่อม่านตายังไม่สามารถปรับรับแสงจ้าได้ทันที
มือเรียวขาวยกขึ้นปกป้องดวงตา หลายสิบวินาทีถึงค่อยๆ ลดลงพร้อมกับปรือเปิดเปลือกตาขึ้นมาใหม่ จนเมื่อสายตาปรับโฟกัสรับภาพเบื้องหน้าได้ ดวงตาหวานก็เบิกโต ผู้ชายร่างสูงในเสื้อทีเชิ้ตสีเทากับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มอยู่ในซุ้มกล้วยไม้ที่กำลังออกดอกสะพรั่งนั้นทำให้เธอไม่อาจละสายตา มองข้ามไปได้ มันไม่ใช่ภาพชวนมอง ให้ตายอย่างไรณิชาก็ไม่ปรารถนาให้ผู้ชายคนนั้นมาปรากฏอยู่ในคลองจักษุของตัวเองแน่ หากเมื่อเขาเข้าไปอยู่ในสถานที่สุดรักสุดหวง และด้วยท่าทางไม่น่าไว้วางใจก็ทำให้คนในห้องส่วนตัวต้องจับตามองอย่างระแวง ครั้นมือหนาเอื้อมแตะกลีบดอกคัทลียาที่ห้อยย้อยเป็นพวงจากกระถางเหนือศีรษะ คนเฝ้ามองตาไม่กะพริบต้องกลั้นลมหายใจ และแค่ไม่กี่วินาทีต่อมา หัวใจของเธอก็โลดแรงขึ้น ดอกกล้วยไม้สีขาวบอบบางถูกปลิดหลุดจากขั้วมาอยู่ในมือของเขา ณิชาอยากกรีดร้องให้สุดเสียง ถ้ามันทำให้หัวใจที่อัดแน่นด้วยความเกลียดชังบรรเทาลงได้ แล้วดอกไม้ช่อสวยก็ร่วงลงสู่พื้น เขาก้าวข้ามอย่างไม่ไยดี จนคนเฝ้ามองสุดจะทนอีกต่อไป “คุณไม่มีสิทธิ์เข้าไปในซุ้มกล้วยไม้” เจ้าของเสียงหวานใส ที่ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าโผล่พรวดมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกระชากเสียงถาม อย่างที่ไม่ต้องเดาอารมณ์ละว่ากำลังเป็นแบบใด คนร่างสูงใหญ่ที่เมื่อเข้าไปยืนใกล้ ก็ยิ่งรับรู้ว่ายิ่งสูงกว่าที่เธอคิดนักค่อยเบือนหน้ามา ชั่ววินาทีณิชาถึงกับกลั้นลมหายใจเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาคมที่ล้อมกรอบด้วยขนตาหนาที่จ้องมาทางเธอ “เธอว่าอะไรนะ ใครไม่มีสิทธิ์” เสียงห้าวทุ้มเปล่งเบาๆ หากกระแสเสียงช่างเขย่าขวัญคนในชุดเสื้อกล้ามกระชับลำตัวกับกางเกงเนื้อผ้านุ่มที่เกาะเกี่ยวเอวกลมกลึงลู่ผ่านสะโพกผายตึงนั้นนัก...และเจ้าของดวงตาคมก็ไม่พลาดที่จะมอง ผิวกายของณิชาร้อนวูบเมื่อถูกสายตาจ้วงจาบโลมไล้ทั่ว แต่เมื่อพาตัวเองมาอยู่ตรงนี้แล้ว สิ่งที่ทำได้คือเร่งเรียกความกล้าออกมา ก่อนจะทำเรื่องน่าอายโดยการหันหลังกลับเสียดื้อๆ “ฉันเคยขอหมอแพทว่าซุ้มกล้วยไม้จะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของฉัน ห้ามพวกคุณยุ่งเกี่ยว หมอแพทก็รับปาก...ดังนั้นคุณไม่ควรเหยียบย่างเข้ามาด้วย” “ทำไมฉันถึงเข้ามาในนี้ไม่ได้ ในเมื่อทุกตารางนิ้วในบ้านเป็นสิทธิ์ของฉัน และการที่เธอบอกว่าขอแพทเอาไว้ มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับฉัน ฉันเป็นฉัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใคร” คนตัวโตที่มีรูปลักษณ์เป็นฝรั่งเสียครึ่งค่อนย้ำเสียงเข้มอย่างช้าๆ ชัดๆ มันชัดเสียจนคนฟังนึกโมโหอย่างไร้เหตุผล “แต่...พวกคุณ” หญิงสาวเค้นเสียงได้แค่นั้นก็หยุดลง สมองเชื่องช้าอย่างน่าขัดใจ คงเพราะเรือนกายหนาใหญ่ที่เห็นหลอกตาว่าสูงเพรียวนั้นช่างข่มขวัญ อีกทั้งดวงตาคมกริบที่จ้องมองเธอก็ทอประกายประหลาด ชายหนุ่มก้าวขยับไปหาก้าวหนึ่ง ณิชาก็ถอยกรูดโดยอัตโนมัติ ยกสองมือขึ้นกอดอกเป็นเชิงปกป้องตัวเอง...ทั้งที่เมื่อครู่ยังรู้สึกเหมือนผิวกายถูกไฟสุมหมาดๆ แต่ตอนนี้เธอกลับหนาวคล้ายจะจับไข้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “พวกคุณ? เธอหมายถึงใคร” ไรวินทร์ยกมือเท้าเอวสอบ ท่อนขากางออกน้อยๆ ท่าทางราวกับราชสีห์ที่พร้อมตะครุบแม่กวางน้อยที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาในกรงเล็บ “ซุ้มกล้วยไม้เป็นของรักของคุณพ่อ ฉันไม่ต้องการให้ใครเข้ามาวุ่นวาย และฉันก็ดูแลกล้วยไม้ทุกกอทุกกระถางอย่างดี แต่คุณมาเด็ดมันทิ้ง คุณทำลายมันทำไม” “แค่นี้นะเหรอที่ทำให้เธอเป็นเดือดเป็นร้อน” เขาอุทานเสียงสูง เรียวคิ้วหนาเลิกขึ้น แลคล้ายประหลาดใจ แต่ณิชารู้หรอกว่าเสแสร้งชัดๆ จนเมื่อคำท้ายหลุดออกมา ดวงหน้าเธอถึงกับร้อนผ่าว “ไร้สาระจริงๆ” แล้วเรือนร่างบอบบางทว่ากลมกลึงได้สัดส่วนที่ยืนนิ่งอยู่นั้นถึงกับผงะเซแทบล้ม เมื่อกายหนาเคลื่อนเฉียดกระแทกออกไป ไม่ต้องให้ใครบอกณิชาก็รู้ว่าเขาตั้งใจทำหยาบคายกับเธอ หล่อนหันมองตามคนที่ย่างเท้าออกไปอย่างมั่นใจ มือบางกำแน่น เนื้อตัวสั่นเทาเมื่อไม่อาจทำอะไรเขาได้ “คนจิตใจหยาบกระด้าง จอมทำลาย น้ำหน้าอย่างคุณไม่เหมาะที่จะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ คุณมันคนหยาบ ไม่คู่ควรจะเข้ามาอาศัยด้วยซ้ำ” ได้ผลชะงัดนัก เมื่อได้ปล่อยคำที่อัดอยู่ในอกออกไป คนร่างใหญ่ถึงกับชะงักเท้า ณิชาเกร็งตัวรับสถานการณ์ ถ้าเลือกได้หล่อนก็ไม่โง่ที่จะต่อกรกับคนคนนี้ซึ่งหน้า แต่ถ้าให้ทนอยู่นิ่งเฉย ทั้งที่เห็นอยู่ตำตาว่าข้าวของของพ่อแม่ที่เหลือไว้ให้ดูต่างหน้า ให้เธอเป็นกำลังใจนั้นถูกเขาย่ำยีอยู่ทุกวี่วัน โดยไม่คิดทำอะไรเลย เธอคงเป็นลูกอกตัญญูเกินไป แต่สิ่งที่ณิชานึกหวั่นก็ไม่ได้เกิดขึ้น ผู้ชายคนนั้นแค่หยุดนิ่ง เขาหยุดหลายวินาที นานพอจะให้เธอต้องกลั้นลมหายใจรอจนปวดแสบในอก ก่อนเดินต่อเข้าบ้านเสียอย่างนั้น ทิ้งให้หญิงสาวยืนมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยหัวใจเต้นระรัวอยู่ลำพัง จนก้อนเนื้อเท่ากำปั้นที่ฝังตัวอยู่ในอกซ้ายสงบลง ณิชาจึงผ่อนลมหายใจยาวเหยียด “ช่างเขา เราพูดความจริงนี่ จะโกรธก็ช่าง”ณิชากลับเข้าห้องนอน หรือจะเรียกให้ถูกคงเป็นห้องส่วนตัวที่เธอใช้ทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะหมกตัวทำงาน เธอสามารถขังตัวเองให้อยู่ในนี้ได้เป็นวันๆ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ออกไปพบใคร เว้นแต่คนรับใช้เก่าแก่ที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่สมัยพ่อแม่ยังอยู่ในแต่ละวันถ้าจะออกไปก็เพื่อรดน้ำดูแลซุ้มกล้วยไม้ ซึ่งเป็นงานที่เธอไม่ยอมปล่อยให้อยู่ในมือของใครอื่น นับจากพ่อได้จากไป ณิชาก็เฝ้ามอง ดูแลมันด้วยตัวเองตลอดมา เพราะเป็นสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงหัวใจของเธอให้คงอยู่แม้กระทั่งห้องรับประทานอาหารที่จัดไว้อย่างหรูหราสมเกียรติที่ครอบครัวเคยใช้ประจำ ณิชาก็ไม่เฉียดใกล้มานานแล้ว เพราะมันได้กลายเป็นห้องหนึ่งที่เจ้าของคนใหม่กับแขกไม่ซ้ำหน้าของเขาใช้ประจำแทบทุกวัน ใช้จนเกินคุ้มทีเดียวโต๊ะรับประทานอาหารสำหรับณิชาจึงเปลี่ยนเป็นโต๊ะม้าหินอ่อนในห้องครัวเก่า...สถานที่ที่มีคนรับใช้เก่าแก่ห้อมล้อมเธออยู่ ที่แห่งเดียวที่ไม่ทำให้เธอรู้สึกว่าเหลือตัวคนเดียวโดดเดี่ยวหญิงสาวหยิบผ้าขนหนูในตู้เสื้อผ้าแล้วเข้าห้องน้ำ ชำระร่างกายอย่างไม่อ้อยอิ่ง ตลอดเวลาที่ทำธุระส่วนตัว หัวใจยังไม่อาจกลับเข้าสู่ปกติ เหตุปะทะคารมกับผู้ชายคนนั้นยังตรึงอยู่ในหัว ไม
ดวงตาหวานของเจ้าของความคิดเหลือบขึ้นมองชั้นบนของบ้าน มั่นใจว่าเขาคงอยู่ในอาณาจักรส่วนตัว ชั้นบนของบ้านกึ่งตึกที่สมัยพ่อกับแม่ยังอยู่จะแบ่งพื้นที่เป็นปีกซ้ายและขวา ทั้งอาณาเขตของปีกซ้ายจะเป็นของหล่อน ส่วนพ่อกับแม่จะยึดครองอีกฝั่ง ณิชายังจำบรรยากาศกรุ่นกลิ่นไอความรัก บางคืนเธอหอบหมอนกับผ้าห่มไปเคาะประตูห้องนอนของพ่อแม่ ความอบอุ่นและปลอดภัยที่มีท่านสองคนคอยปกป้องคุ้มครอง ทำให้ณิชาไม่เคยหวั่นถึงอนาคตว่าหากมันเปลี่ยนไปแล้วเธอจะเดินต่ออย่างไรจนเมื่อแม่เสียชีวิตลงโดยโรคมะเร็งเต้านมตอนเธออายุสิบสามปี เด็กหญิงที่ย่างเข้าสู่วัยรุ่นอย่างเธอถึงกับเสียหลัก ณิชายึดพ่อเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียว กระนั้นพ่อที่เธอเห็นว่าเป็นคนเก่งและมั่นคงพร้อมจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับทุกคนนั้นกลับเปลี่ยนไป พ่อกลายเป็นคนไม่สนใจอะไรอีกเลย พ่อเมาเหล้ากลับมาบ้านทุกวัน ไม่ไยดีกับเธอเหมือนก่อน วันทั้งวันพร่ำหาแต่แม่ที่จากไปอย่างไม่หวนคืนแต่ไม่นาน...แม่ของเธอขึ้นสวรรค์ไม่ทันครบขวบปี พ่อกลับมีผู้หญิงคนใหม่ นัยว่ารู้จักเพราะติดต่องาน สุดท้ายผานิตม่ายสาวที่มีลูกติดหนึ่งคนก็เข้ามาแทนที่แม่ของเธอโดยสมบูรณ์ เข้ามาอยู่ในบ้านพร้อมกับ
ณิชาจอดพาหนะคู่ใจตรงด้านข้างของห้างสรรพสินค้าที่กันไว้สำหรับจักรยานและมอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ ก่อนจะเดินตรงไปยังร้านเสื้อผ้าแบรนด์หรูที่หมายตา แต่พอถึงประตูร้าน สิ่งที่พบเจอเมื่อสิบนาทีก่อนก็ทำให้ลังเลหญิงสาวหมุนตัวกลับเพื่อจะตั้งหลักและชั่งใจถามตัวเองหากหลายนาทีผ่านไป หัวใจที่ว้าวุ่น ตัดสินใจไม่ขาดทำให้เธอไม่อาจบอกตัวเองได้ว่าจะถอยกลับหรือเดินหน้าต่อดีมือเรียวล้วงกระเป๋าสะพาย หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร.หาเพื่อนสนิท โดยไม่ต้องรอนาน อีกฝ่ายก็รับสาย แต่ณิชากลับลังเลที่จะพูดธุระเสียอย่างนั้น จึงได้แต่อ้ำอึ้งถาม“บัว ทำอะไรอยู่” “ทำงานสิยะ มีอะไรว่ามา อย่าชักช้า ตอนนี้ลูกค้าเต็มร้าน” ถ้อยคำรัวเร็วบอกชัดว่าคนปลายสายกำลังยุ่งสักแค่ไหน ณิชาตัดสินใจในวินาทีนั้นว่าจะข้ามผ่านสิ่งที่อยู่ข้างหน้าด้วยตัวเอง“โทร.มาคุย ไม่มีอะไร ทำงานไปเถอะ ไว้จะโทร.หาใหม่”“ได้ๆ แล้วฉันจะโทร.หาเธอเอง ตอนนี้ขอดูแลลูกค้าก่อน นานๆ กลุ่มทัวร์ถึงจะเข้า ไม่ปล่อยให้ฉันนั่งตบยุงเฝ้าร้านคนเดียว”“จ้ะ”วางสายจากกันแล้ว ณิชาสูดลมหายใจลึก เดินไปยังร้านเสื้อผ้าแบรนด์หรู ทุกย่างก้าวที่เดินดุ่มก็นึกประดิษฐ์ถ้อยคำไปพร้อมกัน...แ
“อือ...” บัวบูชาเออออตาม หากเห็นสีหน้าและแววตาที่อ่านไม่ออกของเพื่อน แม้จะคาใจในความคิด แต่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากพูดถึงนัก จึงรีบกลับมาคุยเรื่องเดิม “เป็นพนักงานในร้านขายเสื้อผ้านั่นก็ดี เพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก เธอพูดภาษาอังกฤษและภาษาจีนกลางได้คล่องยังกับเจ้าของภาษา เจ้าของร้านคงชอบ เธอก็จะได้ฝึกฝนด้วย”“คงอย่างนั้น เมื่อกี้คุณแหววก็บอกว่าพอใจที่ฉันพูดสองภาษานี้ได้ ที่ร้านกำลังต้องการอยู่พอดี คงเพราะเหตุนี้ฉันถึงได้งานทำ”“คุณแหววงั้นหรือ”“ใช่ คุณแหววเป็นเจ้าของร้าน เธอสวยมากเลยนะ ฉันชอบเธอจัง” ดวงตาของณิชาเป็นประกาย เมื่อนึกถึงหญิงสาวสวย ท่าทางมั่นใจและประเปรียวคนนั้น “อ๋อ ได้ข่าวว่าเจ้าของร้านเป็นคนจากกรุงเทพฯ แต่ไปเรียนเมืองนอกหลายปี คงเก๋ไก๋ ทันสมัยน่าดูนะ แถมเป็นภรรยาของคุณรัชภาคย์ เจ้าของเหมืองทองคำด้วย คงรวยมากทีเดียว”“ใครนะ เธอว่าคุณแหววเป็นภรรยาของใคร”“อ้าว ก็คุณรัชภาคย์หรือคุณเล็ก แฝดคนน้องของคุณใหญ่ คนดังแห่งเมืองเชียงราชไง อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก” “จริงเหรอ” ณิชาครางถาม หล่อนทรุดนั่งบนเก้าอี้คล้ายหมดแรง ดวงตาทอความสับสน ก่อนจะถูกความหม่นหมองฉาบทับ...อย่างที่คนคอยสังเกตอ
ณิชาทอดฝีเท้าเข้ามาในบ้าน พร้อมกอดหนังสือนิยายโรมานซ์ฉบับภาษาไทย ซึ่งเป็นผลงานการแปลเล่มแรกของเธอที่สำนักพิมพ์ตีพิมพ์และวางแผงเมื่อเกือบสองเดือนก่อน เงินตอบแทนนับว่าก้อนใหญ่พอสมควรสำหรับเธอถูกโอนเข้ามานอนนิ่งอยู่ในบัญชีตั้งแต่ต้นเดือน มันทำให้ณิชาอุ่นใจว่านับจากนี้ถ้าชีวิตจะต้องเปลี่ยนแปลงอีก เธอก็จะไม่จนทางนักไม่ไร้ทางไปเหมือนเมื่อปีก่อนตอนเพิ่งเรียนจบจากวิทยาลัย เมื่อเงินก้อนใหญ่ก้อนเดียวนั้นหายไปพร้อมกับจอมหลอกลวง...นั่นคือสาเหตุหลักที่ทำให้ณิชาต้องทำตัวเป็นคนหน้ามึน แสร้งไม่รู้สึกรู้สากับการยื้ออาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อ แม้มันจะถูกเปลี่ยนมือไปแล้วก็ตามแม้แต่บัวบูชาก็ยังไม่รู้ถึงความจริงข้อนี้ เธอรู้ว่าเพื่อนสาวแคลงใจและสงสัยตลอดมาว่าทำไมเธอถึงยึดติดกับบ้านนัก จนไม่ยอมย้ายออกไปเริ่มชีวิตใหม่...แม้ส่วนลึกณิชาจะอาลัย อยากได้บ้านคืนมาใจแทบขาด ถึงขนาดวาดฝันว่าไรวินทร์อาจเปลี่ยนใจยอมขายบ้านคืนให้กับแพทริเซีย และเมื่อเธอพร้อมก็จะเจรจาขอซื้อต่อมาได้หนึ่งปีที่ผ่านมาเมื่อต้องกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว โลกของณิชาจึงกลายเป็นสีหม่น มองไปทางไหนเห็นแต่ความทึมเทา ไร้แสงสว่างสาดส่องมาถึง แต่พ
ณิชาล่ำลาป้าสดใสหลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ แม้จะเตรียมใจมาทั้งคืน แต่น้ำตาก็ยังเอ่อคลอจนได้ ป้าสดใสยังทำหน้าที่แม้วันสุดท้ายในฐานะแม่ครัว ร่างท้วมที่เคลื่อนไหวอย่างแช่มช้อยทว่าคล่องแคล่วในทีนั้นแทบไม่มีสิ่งใดผิดจากเดิม หากไม่สังเกตก็คงไม่เห็น...แต่ณิชารับรู้ได้จากดวงตาแฝงแววปรานีคู่นั้นว่าแดงเรื่ออยู่“ไปทำงานเถอะค่ะ ใกล้เวลาห้างเปิดแล้ว ทำงานวันแรก ไปสายไม่ดี”“ดูแลตัวเองนะคะป้า มีอะไรก็โทร.มาหานิดนะ”“คุณนิดก็เหมือนกัน อย่าลืมว่ายังมีป้า ถึงเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ป้ายังรักและอยากดูแลคุณนิดเหมือนเดิม”หญิงสาวกอดร่างอวบท้วม แล้วผละออกอย่างรวดเร็ว...กลัวจะตัดใจยากร่างน้อยในชุดเสื้อโปโลสีขาวเข้ารูปกับกางเกงเนื้อผ้าสีดำเดินออกจากห้องครัวไปทางด้านหลังบ้าน ไม่นานเสียงรถสกูตเตอร์ก็ดังขึ้น แล้วเสียงนั้นก็เคลื่อนห่างออกไปมือเรียวแข็งแรงกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างใจเย็น ดวงตาคมจับจ้องร่างคนที่นั่งบนรถมอเตอร์ไซค์ผ่านผนังกระจกนิรภัยซึ่งแล่นไปทางหน้าบ้าน จนทั้งคนและรถผ่านประตูรั้ว ลับหายจากสายตาไรวินทร์หรี่ตา สมองเริ่มครุ่นคิด ปกติณิชาจะอยู่ติดบ้านจนแทบจะขังตัวเองอยู่ในห้องส่วนตัว จนเขา
บ้านหลังใหญ่ที่ถูกปรับให้เป็นรูปแบบโมเดิร์นจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมดูเงียบสงัด แม้เป็นเวลาเพียงหกโมงเย็น ณิชาจอดสกูตเตอร์ไว้หลังบ้าน ใกล้ประตูห้องครัวด้วยความเคยชิน แต่พอคิดว่าในห้องครัววันนี้ไม่มีป้าสดใสอยู่แล้ว ความเหงาและโหยหาก็ประดังเข้ามาทันที มือบางดันประตูแง้มให้เปิดกว้าง แต่ต้องชะงักเท้า เมื่อเห็นสภาพข้างในนั้นเปลี่ยนจากเดิม“คุณไรวินทร์ให้ช่างเข้ามาทำค่ะ วันนี้เอาของเก่าออก เห็นช่างบอกว่าใช้เวลาสักสัปดาห์ก็ทำเสร็จ” พ้อหวานวางมือจากจานส้มตำแล้วหันมาบอก เมื่อเห็นอดีตลูกสาวเจ้าของบ้านยืนนิ่งงันอยู่ตรงช่องประตู พลางกวาดสายตามองอย่างสงสัยอยู่สายตาคู่นั้นเบนมาทางเด็กสาว วูบหนึ่งก็นึกห่วงว่าเมื่อป้าสดใสไม่อยู่แล้วจะมีงานให้ทำอยู่หรือเปล่า...หากไม่ทันได้เอ่ยปาก เจ้าตัวก็พูดต่อจ๋อยๆ “ส่วนหนูก็ยังทำงานในครัวเหมือนเดิม คุณไรวินทร์แค่สั่งให้ปรับปรุงครัวใหม่ ของเก่ามันไม่สวย เชยด้วย เคาน์เตอร์พวกนี้ก็จะทุบออก แล้วเอาที่สวยๆ ทันสมัยมาใส่แทน หนูว่าก็ดีนะคะ เห็นในละครบ้านพระเอกนางเอกมีครัวสวยๆ ทั้งนั้นเลย หนูชอบ บ้านเราก็จะทำด้วยคุณไรวินทร์มีเงินเยอะ ทำให้สวยแค่ไหนก็ได้”พ้อหวานร่ายยาวตามป
ไรวินทร์กระเซ้าถามแล้วได้ยินสาวสวยพ้อ ด้วยก่อนนี้พราวพิชชาหรือคุณแหววมักจะเป็นห่วงร้านเสื้อผ้าที่มาเปิดในห้างใหญ่ นัยว่าเจ้าตัวทุ่มเทแรงใจแรงกายเต็มที่ หลังจากที่ต้องเลิกทำงานที่ออสเตรเลียแล้วมาแต่งงานกับรัชภาคย์ เจ้าของเหมืองทองคำในเชียงราช ซึ่งไม่ใช่คนอื่นไกล เป็นน้องชายฝาแฝดของรัชตะ เพื่อนรุ่นพี่ที่นับถือของเขาเอง “มันเหมือนกันเสียทีไหนล่ะคะ นี่ร้านเปิดมาเป็นปี ตอนนี้อยู่ตัวแล้ว พนักงานก็รู้งานดี อีกอย่างแหววเพิ่งสั่งสินค้า เคลียร์สต็อกเสร็จ มีเวลาให้เที่ยวพักผ่อนถมไปค่ะ แถมเมื่อวานยังได้พนักงานใหม่หน้าใสกิ๊กมาช่วยอีกแรง สัมภาษณ์ดูแล้ว ความรู้ความสามารถพร้อมเลยรับไว้ ถือว่ามาถูกจังหวะที่แหววต้องการคนด้วย จะได้คอยช่วยติดต่อร้านค้าและลูกค้าต่างประเทศ เธอพูดภาษาได้คล่องมากค่ะ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน ภูมิความรู้ค่อนข้างแน่น จนต้องรีบตะครุบ นอกจากนี้แหววก็ยังติดตามดูแลร้าน ไม่ได้ทิ้งทุ่นไปเที่ยวเลยสักหน่อย”“ครับ เข้าใจแล้วครับ” ไรวินทร์ตอบรับกลั้วหัวเราะว่ากระจ่างทุกสิ่งที่สาวสวยโอดมายาวเหยียดแล้ว คุยกันต่อพักเดียวสองคนก็วางสายจากกัน พราวพิชชาเป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดี แถมยังเป็นผู้หญิ
“ยัง”“แล้วใครซื้อยาพวกนี้มาให้”เขายังนอนคว่ำหน้านิ่ง ณิชามองเสี้ยวหน้าคมที่เบี่ยงไปอีกทาง เห็นว่าเขาหลับตาพริ้มอยู่ จึงไม่อยากกวนอีก...แต่พอมองยาในมือก็ผุดคำถามอย่างลืมตัว“หมอแพทเอามาให้ใช่ไหม”เงียบ ไม่มีเสียงตอบ ณิชาจึงเบนความสนใจมายังสิ่งที่ต้องทำ...ทำเพราะไถ่โทษให้ตัวเองหรอกนะ...พยายามท่องบอกตัวเองไว้ตอนแรกคิดว่าจะทำๆ ไปให้เสร็จ แต่พอเริ่มใช้ไม้พันสำลีชุบยาจากหลอดป้ายลงบนผิวที่มีรอยแดง บางแห่งออกสีช้ำ หญิงสาวกลับทำอย่างแผ่วเบา ระมัดระวังอย่างที่สุด กลัวว่าเขาจะเจ็บแล้วสะดุ้งตื่นณิชาบอกตัวเองไม่ได้ว่าใช้เวลาไปนานเท่าไรกับภารกิจที่เพิ่งเสร็จลง หล่อนตั้งใจทำจนลืมทุกสิ่ง เมื่อสังเกตคนตัวใหญ่จึงเห็นว่าเขายังนอนนิ่งเช่นเดิม ลมหายใจสม่ำเสมอ เอียงคอมองอย่างประหลาดใจ...แปลกใจทั้งตัวเองและเขาหลับง่ายขนาดนี้เชียว ไม่กลัวถูกบีบคอตายคาเตียงหรือไง ทำเราไว้ดีนักณิชาคิดอย่างเขม่น ก้มมองยา เห็นยังมียาเม็ดอยู่ในถุงอีกสองขนานก็คิดต่ออย่างกังขายาทานหลังอาหาร...ตื่นมาเขาคงจัดการเองเมื่อคิดว่าตนหมดหน้
ดวงหน้าคมสันที่มีหนวดเคราสั้นๆ ประดับทั่ว ผนวกกับกายกำยำสูงใหญ่ เมื่อเจ้าตัวชำเลืองมองคล้ายจะค้อนจึงกลายเป็นภาพที่ทำให้ณิชาเบิกตามองนิ่ง ถูกความตะลึงงันเข้าครอบงำหล่อนไม่เข้าใจ...เดาไม่ออกว่าเขาคิดอะไร...นอกเหนือจากนั้น ณิชาคิดว่าท่าทางเมื่อกี้ไม่เห็นจะเข้ากับเขาเลยเมื่อจู่ๆ คนที่เธอนั่งจับตามองหันขวับมา ณิชาถึงกับสะดุ้งโหยง พอเขาก้าวอาดๆ มาหา หญิงสาวก็กรีดร้องโวยวาย หล่อนตกใจ กลัวแสนกลัว ถ้าเขาจะทำอะไรขึ้นมา ณิชาคงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แน่นอน“อย่านะ อย่าทำนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคุณ ฮือๆ ไม่เอานะ”คนร่างเล็กดิ้นขลุกขลัก ร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะฝืน เมื่อถูกประชิดถึงและโอบไว้ทั้งตัว แต่ไม่กี่วินาทีก็รับรู้ถึงข้อมือสองข้างที่ถูกมัดไพล่หลังนั้นหลุดจากกัน สติถึงค่อยๆ คืนร่าง ดวงตาหวานช้อนมอง เขาถอยไปทางปลายเท้าเธอและแก้มัดด้วยท่าทีกระแทกกระทั้น กระทั่งเสร็จก็ดึงเข็มขัดหนังเนื้อดีออกไป ณิชาสูดปากเมื่อถูกมันครูดผิวจนรู้สึกเจ็บ“เบาๆ ก็ได้ ถลอกหรือเปล่าก็ไม่รู้”“แค่นี้ทำบ่น...มันน้อยไปด้วยซ้ำ”“แสดงว่าคุณตั้งใจ เ
“อย่างนั้นเลยหรือคะ แล้วน้องนิดจะเป็นยังไงบ้าง ลดาเป็นห่วงจังค่ะ” เสียงครางถามจากคนที่มีสีหน้าสุดแสนกังวล มือยังถือเครื่องมือสื่อสารไว้มั่น หลังจากมีสายเรียกเข้ามาและเธอก็สนทนาอยู่เป็นพักแล้วคนร่างใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มและกางเกงสแล็กซ์สีดำอย่างพร้อมออกไปทำงาน หากเวลานี้ยังนั่งเอนบนเก้าอี้สานต้องหยุดหยอกเย้ากับทารกน้อยตัวกลมที่นั่งทับหน้าท้องแกร่งอยู่ เขารอฟัง จนเธอตัดสายแล้วหันมาหาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี“มีอะไรหรือลดา แล้วใครโทร.มา”“คุณสุดา พนักงานร้านคุณแหววค่ะ” ปิ่นลดาตามมานั่งใกล้ แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น “คุณใหญ่รู้ไหมคะว่าน้องนิดออกจากบ้าน แล้วไปทำงานเป็นพนักงานในร้านคุณแหวว คุณแหววก็เจอหน้ากันแล้ว แต่คงไม่รู้จักกัน คุณแหววเลยไม่ได้บอกลดา แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ คุณสุดาเล่าว่าเมื่อคืนลูกน้องคุณวินทร์ไปถามหาที่อยู่ใหม่ของน้องนิดกับเธอ เธอตกใจ ก็แต่ละคนยังกับลูกน้องมาเฟียเลยนี่ เลยบอกไปทั้งหมด”“แล้วยังไง”รัชตะเลิกคิ้วถาม สีหน้าบอกชัดว่าไม่รู้อยู่ดีว่าภรรยาสาวอยากให้เขาทำอะไร หรือ
“ไปเอากุญแจรถ” เสียงสั่งเข้มจากเจ้าของสีหน้าถมึงทึง ทำให้ลูกน้องที่อยู่ใกล้ต้องรีบทำตามคำสั่ง ไม่กี่วินาทีของที่ต้องการก็มาส่งถึงมือรถสปอร์ตราคาแพงลิบกระชากตัวออก ตามด้วยรถจิ๊ปสปอร์ตอีกสองคัน จากบ้านหลังใหญ่แล่นผ่านถนนกลางเมือง ผ่านห้างสรรพสินค้าดัง แล้วทะลุเข้าซอยหนึ่งอย่างรู้เป้าหมาย จนมาจอดหน้าหอพักสี่ชั้นในเวลาไม่ถึงสิบนาทีร่างสูงใหญ่ในรถคันแรกที่มาจอดก้าวออกมา ตามด้วยลูกน้องจากรถสองคันหลัง ซึ่งประกบเจ้านายทันที“ที่นี่ใช่ไหม”“ใช่ครับนาย คุณสายสุดาพนักงานของคุณแหววบอกผมเอง ไม่ผิดแน่ครับ ห้องของคุณณิชาอยู่ชั้นสาม ห้องสามศูนย์เจ็ด”แล้วคนกลุ่มนั้นก็เดินฝ่าสายตาสงสัยใคร่รู้ของทั้งเหล่าไทยมุงและไม่ตั้งใจมุงจากเหตุการณ์ก่อนหน้า จนมาถึงประตูกรุกระจก ทำท่าผลักเข้าไปเพื่อขึ้นบันไดไปยังที่ที่ตั้งใจไว้“ดะ...เดี๋ยวค่ะ พวกคุณเป็นใคร เข้าไปไม่ได้นะคะ หยุดก่อนค่ะ”เจ้าหน้าที่ธุรการหอพักเพิ่งจะตั้งสติได้ รีบออกมาขวาง“ผมจะขึ้นไปหาณิชา เมื่อกี้เกิดเรื่องไม่ดีกับเธอใช่ไหม”“ณิ
“แล้วอีกสองเบอร์”“ตอนแรกคิดว่าเป็นป้าสดใส คิดว่าแกเปลี่ยนเบอร์ แต่ตอนนี้อาจไม่ใช่ แต่ฉันยังไม่ได้โทร.กลับใครสักคน”“แล้วที่เธอพูดเหมือนว่ารู้ตัวคนทำล่ะ รู้จริงหรือมั่นใจแค่ไหน”“ฉันเพิ่งมีปัญหากับนายไรวินทร์ เขาต้องการให้ฉันออกจากบ้านนานแล้ว แต่ฉันมันดื้อด้านเอง จนเขาเพิ่งทำสำเร็จเมื่อวาน เขาไล่ฉันออกมา”น้ำเสียงสั่นเครือของณิชา ทำให้บัวบูชาเบิกตาค้าง สงสารเพื่อนจับใจ แต่ด้วยความที่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้ว่ายังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอื่นอีกหรือเปล่า จึงงดแสดงความเห็นไว้ก่อน“ส่วนหมอแพทก็เคยบอกให้ฉันอยู่บ้านนั้นจนกว่าพร้อมย้ายออก ฉันไม่คิดว่าเธอจะมีส่วนได้เสียกับการอยู่หรือไปของฉัน รายนี้คงตัดออก นอกนั้นฉันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครอีก”“แต่เราไม่มีหลักฐานชี้ไปที่คุณไรวินทร์นะนิด เดี๋ยวจะกลายเป็นการปรักปรำเขา”“ฉันจะเริ่มจากเบอร์โทร.สองเบอร์ที่ไม่รู้จักนี้ เมื่อฉันออกจากบ้านมาแล้ว นายไรวินทร์หรือคนของเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะติดต่อฉันอีก นอกจากอยากได้เบาะแสตามรังควาน
ตีห้าของวันใหม่ คนร่างบางพลิกกายไปมา ก่อนจะปรือตาตื่นด้วยอากาศที่เย็นลงจนไม่อาจทนนอนขดตัวบนเตียงได้อีกภาพที่เห็นหลังจากลืมตา ภายในห้องที่ไม่คุ้นเคยทำให้ณิชานิ่งงันหลายวินาที จนตื่นเต็มตา ลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่าง ทำความรู้จักกับที่พักพิงของตนข้างนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์ทอแสงเคลียเส้นขอบฟ้ารำไร เสียงนกร้องจิ๊บๆ ที่กำลังออกหากิน ทำให้เช้านี้กับสถานที่ใหม่ดูตื่นตาและมีชีวิตชีวาขึ้นทีเดียวระเบียงทอดยาวตลอดความยาวห้องพัก ทำให้นึกถึงซุ้มกล้วยไม้ที่เธอทิ้งมา แรกทีเดียวดวงตาสลดลง แต่เมื่อมองระเบียงอีกรอบ เรียวปากสวยก็แย้มกว้าง“ถ้ากล้วยไม้ในซุ้มมาอยู่ที่ระเบียง แขวนเป็นแนวไว้คงดีไม่น้อย”ณิชาหมายมั่นปั้นมือว่าจะทำสิ่งที่คิดให้เป็นจริงให้ได้ หล่อนมองอยู่เป็นพัก ต่อเมื่อนึกได้ว่าเช้านี้ยังมีหลายอย่างต้องทำก่อนเข้าทำงานจึงรีบเข้าห้องน้ำ จัดการตัวเองโชคดีที่ห้องน้ำยังมีเครื่องทำน้ำอุ่น อากาศเย็นจัดของช่วงหน้าหนาวในเชียงราชจึงไม่ทำให้ณิชาแข็งตายเพราะความเย็นของน้ำเสียก่อนคิดไปคิดมา ณิชาก็เริ่มติดใจห้องพักนี้เสียแล้วเกือบครึ่งชั่วโมง หญิงสาวออกจากห้องน้ำในชุดเสื้อตัวโคร่งและกางเกงขายาวผ้ายืด ชุดเดิ
“บ้า บอกรักกันง่ายๆ ได้ยังไง ฉันเขินหมด” ฟังจากน้ำเสียง เจ้าตัวคงรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ จนณิชาต้องหัวเราะ แล้วบอกชื่อหอกับกับเส้นทางให้บัวบูชารู้ ก่อนจะตัดสายจากกัน พลันก็มีสายไม่รู้จักโทร.เข้ามา เป็นสายเดิมที่เคยโทร.หาตอนเธอปิดเครื่องเมื่อกลางวัน ณิชาตัดสินใจตัดสายและปิดเครื่องอีกครั้ง เธอตั้งใจตัดขาดจากทุกคนสักระยะ รอให้ตัวเองเข้มแข็งพอแล้วค่อยเผชิญหน้าใหม่...แล้วจึงมุ่งตรงไปยังที่พักใหม่ของตนเพราะเจ้าของหอบอกแกมขู่ว่ามีคนมาติดต่อขอดูห้องอยู่ ถ้าตัดสินใจช้า ห้องอาจหลุดเป็นของคนอื่น ณิชาเลยยอมกระโดดลงหลุมพรางด้วยการจ่ายมัดจำพร้อมกับจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเดือนแรก แลกกับการได้กุญแจห้องพักมาถือไว้ในมืออย่างอุ่นใจ...ตอนนี้แหละที่รู้ว่าตัดสินใจถูกแล้ว“คุณณิชาปิดมือถือไปอีกแล้วครับ แต่เมื่อครู่เธอเปิดเครื่อง ผมดักสัญญาณหาตำแหน่งได้ทัน จุดที่เธอกำลังอยู่เป็นกลางเมือง ไม่ห่างจากบ้านเรานะครับ”เบนยื่นเครื่องมือสื่อสารให้ไรวินทร์ดูหน้าจอ สีหน้าของชายหนุ่มดีขึ้น จากที่เคร่งเครียดมาตั้งแต่หัวค่ำ หลังจากกลับเข้าบ้านแล้วพบว่าเบนยังไม่ได้เบาะแสใดๆ ของณิชา ให้คนไปดักรอที่ร้านของเพื่อนเธอก็ไร้ผล“นี่ม
ไรวินทร์ขับรถสปอร์ตคู่ใจออกทางถนนสายเลี่ยงเมือง เพื่อจะไปในเส้นทางออกนอกเมือง เป้าหมายเพื่อชมวิวและใช้ตัวเองอยู่กับความคิด เมื่อกว่าปีก่อน พอคิดว่าถึงเวลาลงหลักให้กับธุรกิจตัวเอง ไรวินทร์เลือกเมืองเชียงราชตามคำชวนของแพทริเซียอย่างไม่รีรอ เพราะรู้ทำเลและที่ตั้งของเมืองจากแผนที่และข้อมูลข่าวสาร รู้ถึงอนาคตของเมืองว่าจะเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ในแถบภูมิภาค เหมาะอย่างยิ่งที่จะย้ายฐานจากเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลียมายังที่แห่งนี้...ในตอนนั้นไรวินทร์มองเห็นเท่านี้จริงๆ แต่พอมาถึง จึงได้พบว่ามันมีมนต์เสน่ห์มากกว่าที่คาด ซึ่งหากไม่ได้สัมผัสเองก็คงไม่รู้ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยังสมบูรณ์ อากาศกำลังดี แทบไม่น่าเชื่อว่าเมืองที่สมบูรณ์ในทุกด้านแบบนี้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม ในตอนนั้นไรวินทร์คิดว่าโชคดีที่ค้นพบ...มันดีที่สุดสำหรับธุรกิจเขา หากเมื่อถึงเวลานี้ ความตั้งใจที่จะฟอร์มงานให้อยู่ตัวแล้วจะย้ายตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ตามประสาคนชอบเดินทางกลับต้องลังเล เขาตอบรับการซื้อบ้านกึ่งตึกสองชั้น รูปทรงเทอะทะ หากจะมองในสายตาของสถาปนิกเก่า แค่สิ่งก่อสร้างที่ไร้รสนิยมดีๆ นี่เอง แต่พอรู้เรื่องราวความเป็นไ
“บอสคะ คุณไรวินทร์มาพบค่ะ” เสียงจากอินเตอร์คอมทำให้คนนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานอย่างผ่อนคลาย สายตาไล่ตามเอกสารต้องเลิกคิ้ว ก่อนยื่นมือกดตอบกลับเลขาฯ ทรงประสิทธิภาพแล้วปิดแฟ้มเอกสารนั้น วางคืนบนโต๊ะ “เข้ามาเลย ผมรออยู่” สิ้นคำแทบจะทันที ประตูห้องก็ถูกเคาะอย่างพอเป็นพิธีก่อนถูกเปิดออก ตามด้วยชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงยีนส์เดินเข้ามา เขานั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะอย่างไม่รอคำเชิญ “ผมอยากเร่งสร้างออฟฟิศ ให้เสร็จก่อนหน้าร้อนปีหน้าได้ยิ่งดี” คนที่โทรศัพท์เข้ามาเมื่อสิบนาทีก่อนว่าจะมาพบเพราะมีธุระสำคัญจะคุยด้วยเข้าเรื่องอย่างไม่ให้เสียเวลา “เหลือเวลาอีกแค่แปดเดือน” “อีกตั้งแปดเดือนต่างหาก คุณใหญ่ช่วยผมได้ไหม” “ได้สิ จะมีปัญหาอะไร เรื่องแค่นี้เอง” รัชตะว่าเสียงเนิบ เหลือบมองคนยังตีหน้านิ่งแล้วถาม “ว่าแต่ทำไมถึงเปลี่ยนกำหนดการสร้างเสร็จล่ะ มีเหตุผลอะไร พอจะบอกได้ไหม” “ผมจะย้ายพนักงานมาที่เชียงราช สัญญาเช่าตึกออฟฟิศที่เพิร์ธหมดในกลางปีหน้า จะได้ย้ายมาจัดทีมใหม่ที่นี่ทีเดียว” “หมายความว่าคุณจะย้ายฐานบริษัทมาตั้งที่นี่เลยใช่ไหม” “ใช่” “คุณจะปักหลักที่เชียงราช?” พ