หญิงสาวถอนหายใจหนัก ๆ แต่เมื่อเห็นลูกชายวัยสามขวบก็ทำให้เธอยิ้มออกมาได้ทันที เด็กชายตัวน้อยมองเห็นผู้เป็นแม่ก็ยื่นมือออกไปสุดแขน เธอจึงยื่นมือออกไปรับลูกชายมาอุ้มไว้แนบอก
“ขอบคุณค่ะพี่เก๋ไก๋” ญาดาพูดด้วยความจริงใจ สาวสองรูปร่างสูงเพรียวคลี่ยิ้มกว้างแล้วยื่นมือบีบแก้มป่องนุ่ม ๆ ของเด็กชายตัวน้อยที่หัวเราะคิกคัก
“น้องภีมเป็นเด็กดี ใคร ๆ ก็รักจ้ะ” เก๋ไก๋เป็นสาวประเภทสองที่ศัลยกรรมมาทั้งตัว เธอรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเพียงแค่มีลูกไม่ได้เท่านั้น
“ไม่ได้พี่เก๋ไก๋ช่วย ญาดาต้องแย่แน่ ๆ เลยค่ะ พี่เลี้ยงก็กลับบ้านต่างจังหวัดด้วย”
“แหม...พูดเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ พี่เองถ้าไม่ได้น้องญาดาช่วยก็คงไม่มีทุกวันนี้”
“พูดแต่เรื่องบุญคุณเหมือนซีรีส์จีนเลยนะพี่” ญาดาหัวเราะ “เสร็จธุระแล้ว กลับบ้านด้วยกันเลยไหมคะ”
“กลับไปก่อนเลยจ้ะ ไหน ๆ มาแล้วพี่แล้วขอทักทายเพื่อนที่ทำงานที่นี่หน่อย”
“ได้ค่ะ งั้นญาดากับน้องภีมกลับก่อนนะคะ”
“ขับรถดี ๆ นะ”
“ค่ะ น้องภีมไหว้พี่เก๋ไก๋สิลูก” ไม่ได้สอนผิดแต่เจ้าตัวไม่ยอมแก่จึงให้เด็กน้อยเรียกตัวเองว่าพี่แทนคำว่าป้า
เด็กชายตัวน้อยยกมือป้อม ๆ ไหว้ตามที่คุณแม่สอน แล้วทั้งสองก็พากันมาที่รถเก๋งญี่ปุ่นขนาดเล็ก คนเป็นแม่อุ้มลูกนั่งคาร์ซีทเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาที่ฝั่งคนขับ
“น้องภีมง่วงหรือยังลูก หลับได้เลยนะครับ” หญิงสาวบอกลูกที่อ้าปากหาวแล้วดวงตากลมก็ค่อยปิดลง
ลูกคือสิ่งเดียวที่ทำให้เธอยิ้มได้ แม้จะแลกมากับการถูกครอบครัวทอดทิ้ง
ญาดาขับรถออกมาจากผับหรู ถ้าไม่จำเป็น เธอไม่พาลูกมาสถานที่แบบนี้ และยิ่งเป็นเวลาที่เด็กควรหลับพักผ่อน แต่ถ้าทิ้งลูกไว้ที่บ้านก็ต้องให้ลูกอยู่ตามลำพังซึ่งเธอทำแบบนั้นไม่ได้อย่างแน่นอน จึงจำเป็นต้องพามาด้วย ยังดีที่เธอยังมีคนคอยช่วยเหลือ ระหว่างที่เข้าไป ‘ทวงเงิน’
ความผิดพลาดเมื่อสี่ปีก่อน ทำให้เธอตกอยู่ในสภาพ ‘แม่เลี้ยงเดี่ยว’ ผู้ชายคนนั้นคงไม่รู้หรอกว่า เขาไม่ได้แค่พรากพรหมจรรย์ของเธอไป แต่ยังมอบชีวิตน้อย ๆ ให้เธออีกด้วย วันเวลาผ่านมาเธอไม่ได้โทษหรือโกรธที่เขาทำเช่นนั้นกับเธอ เพราะเธอเองที่ทำให้เรื่องเลวร้ายแบบนั้นเกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ สายตาคนอื่นที่มองญาดาคือลูกสาวคนเดียวของตระกูลรุ่งเรื่องศิริไพศาล แต่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงครอบครัวของเธอสถานะการเงินง่อนแง่นเต็มที พี่ชายสองคนไม่เอาไหนไม่สามารถนำพาบริษัทครอบครัวให้พ้นวิกฤตได้ แม่กับพ่อจึงคิดหาทางออกให้เธอ ‘จับ’ คุณภาวัต เพื่อพยุงฐานะการเงินของครอบครัว แรกทีเดียวเธอก็ไม่ได้สนใจนัก แต่เมื่อเห็นรูปของผู้ชายคนนั้นก็ชอบในทันที ใช้ทุกวิถีทางเพื่อได้เข้าใกล้ และเมื่อครอบครัวของเธอเร่งรัดให้รีบดำเนินการรวบหัวรวมหาง เพื่อก้าวเข้าไปเป็นสะใภ้ภัควเดชา เธอจึงยอมใช้วิธีที่ต่ำช้า ใช้ยาปลุกเซ็กซ์กับภาวัต แต่กลายเป็นว่ามันไม่สำเร็จและเธอต้องได้รับกรรมนั้น ถูกเลขาฯ ของภาวัตจับได้ บังคับให้กินยานั้นและเพราะฤทธิ์ของมัน เธอต้องเป็นฝ่ายขอร้องเขา และถูกเขาแอบถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐานเพื่อป้องกันไม่ให้เธอกลับมาทำร้ายภาวัตอีก
สายตาของทุกคนในห้องหันขวับไปมองเจ้าของเสียงดุดันที่ก้าวพรวดพราดเข้ามาอย่างไม่สนใจมารยาท แค่ได้ยินเสียงร้องไห้หัวใจคนเป็นพ่อก็เจ็บปวด เด็กน้อยเห็นคนคุ้นเคยที่ทำให้อุ่นใจก็หยุดร้องแล้วยื่นมือไปสุดแขนความหมายคือต้องการให้กรณ์กิตติอุ้มคนเป็นพ่อไม่รอช้าไม่สนใจหน้าใครทั้งนั้น เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกแล้วก้าวมายืนเคียงข้างญาดา“แกเข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง ใครอนุญาต ไม่มีมารยาท!” พ่อของญาดาส่งเสียงดังทำให้เด็กชายกลัวจนซุกหน้ากับบ่าของพ่อ“ผมเป็นพ่อของน้องภีม” กรณ์กิตติยังไม่อยากใช้ไม้แข็ง ยังไงก็ไม่อยากให้ครอบครัวมีปัญหาไปมากกว่านี้“แก..แกที่มันทำลายอนาคตของลูกสาวฉัน”“พ่อคะ...ก็บอกแล้วไงว่าเป็นความผิดของญาดาเอง”“นังลูกชั่ว!”“ขอเถอะครับ อย่าพูดหยาบคายและใช้เสียงดังต่อหน้าเด็กแบบนี้” กรณ์กิตติลดน้ำเสียงลงและลูบแผ่นหลังของลูกอย่างปลอบโยน ประโยคของเขาทำให้ผู้ใหญ่ทุกคนเงียบปากลง กรณ์กิตติจึงพูดต่อ“ผมเป็นพ่อของน้องภีมและพร้อมจะรับผิดชอบ แม้ผมไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็สามารถเลี้ยงดูลูกเมียได้ ไม่ให้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องลำบากใจ”“ไม่ได้นะ ญาดา
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายจะลางานไปเพราะผู้หญิงคนเดียว”เสียงภาวัตเอ่ยถามทันทีที่เห็นกรณ์กิตติเดินเข้ามาในออฟฟิศ เลขาฯ หนุ่มถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขายืนประสานมือนิ่งอยู่หน้าเจ้านายของตน“ที่บอกว่าเรื่องด่วนนี่เรื่องอะไรครับ”“เดี๋ยวนี้ฉันเรียกนาย ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”“มันยังอยู่ในวันลาพักของผมครับ”กรณ์กิตติตอบน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้คิดกระด้างกระเดื่องผู้เป็นนายแต่อย่างใด เพียงแต่ตอนนี้เขามีลูกและเมียที่ต้องดูแล ไม่สามารถทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อเจ้านายได้ภาวัตยื่นซองจดหมายส่งให้ บนหน้าซองมีโลโก้ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ กรณ์กิตติเห็นก็จำได้ทันทีว่าเป็นโรงพยาบาลที่ตรวจดีเอ็นเอของเขาและลูก“เจ้านายครับ...” กรณ์กิตติพูดน้ำเสียงเคร่งเครียด“ทำไมฉันถึงมีซองจดหมายนี้ใช่ไหม จริง ๆ ฉันไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวนาย แต่อยากรู้ว่าทำไมอยู่ ๆ นายถึงหยุดงานไปเป็นเดือน”“ผมไม่เคยคิดทรยศหักหลังเจ้านาย” เขาพูดไปตามสัตย์จริง“เรื่องนั้นฉันรู้ ฉันมั่นใจว่า นายจะไม่ทำอย่างนั้นกับฉันและภัควเดชา แต่นายรู้หรือเปล่า ผู้หญิงที่นายยุ่งอยู่
เก๋ไก๋เดินลงมาจากชั้นบนหิ้วกระเป๋าสีรุ้งเตรียมไปทำงานต่างจังหวัด ช่วงนี้ได้งานแต่งหน้านักแสดงในกองถ่าย เธอจึงไม่ค่อยได้อยู่บ้านนัก แต่ก่อนเธอมักเป็นห่วงญาดากับลูกที่ต้องอยู่บ้านกันแค่สองคน แต่ตอนนี้ที่บ้านมีผู้ชายตัวโตมาอยู่ด้วย ถึงจะเทียวไปเทียวมาแต่ก็นับได้ว่าดูแลสองแม่ลูกอย่างดีในห้องนั่งเล่นที่เป็นทุกอย่างของบ้าน มีสองหนุ่มต่างวัยกำลังต่อรางรถไฟจำลอง เด็กชายภีมหัวเราะคิกคักปีนหลังขี่คอเล่นสนุกสนาน ดูไปดูมาเหมือนมีเด็กชายสองคนในบ้านเสียมากกว่า“นี่ซื้อมาเอาใจน้องภีมหรือว่าอยากเล่นเองคะ” เก๋ไก๋หัวเราะแล้วชี้ ๆ ไปที่ของเล่นในห้อง“ก็ทั้งซื้อให้ลูกแล้วก็อยากเล่นเองด้วยครับ” กรณ์กิตติหัวเราะเขิน ๆ “ตอนเด็ก ๆ อยากเล่นแต่ไม่มีเงิน พอมีลูกแล้วก็เลยขอเล่นพร้อมลูกเลยแล้วกัน”เก๋ไก๋ได้ยินเขาเรียก ‘ลูก’ อย่างไม่ขัดเขินก็ยิ้มพอใจ “ฝากดูแลสองแม่ลูกด้วยนะคะ เก๋ไก๋ไปทำงานสามสี่วันถึงจะกลับ”“ได้ครับ ไม่ต้องห่วงแล้วถ้าติดขัดอะไรหรือจะให้ไปรับก็โทรบอกได้นะครับ นั่งแท็กซี่ดึก ๆ มันอันตราย”“ต๊ายรู้ว่าฉันกลับดึกด้วย” เก๋ไก๋หัวเราะร่า “คุณก็รู้ว่าฉันเป็นสาว
กลายเป็นภาพไม่คุ้นตาเมื่อหน้าร้านอุ่นรักเบเกอรี่มีพนักงานขายเป็นผู้ชายตัวโต วันแรก ๆ ทำหน้านิ่งเคร่งขรึมจนลูกค้านึกว่าเป็นพวกเจ้าหนี้นอกระบบ“นี่คุณจะมาช่วยหรือไล่ลูกค้า”ญาดาดุกรณ์กิตติ เขาขออาสาเป็นผู้ช่วยในร้านของเธอ หญิงสาวจำได้ว่าวันแรกที่เห็นเขาโผล่หน้ามาแต่เช้าและบอกวัตถุประสงค์ที่มา เธอกวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คนตัวสูงสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์แบบที่เธอไม่เคยเห็น สลัดภาพเลขาฯ หนุ่มที่สวมสูทเนี้ยบตลอดเวลา เธอให้เขามาช่วยงานเพราะคิดว่าเขาคงทำได้ไม่กี่วันก็คงหายไปจากชีวิตเธอเอง วันแรกก็ถูกเธอดุยกใหญ่แต่เขาก็ไม่โกรธหรือหัวเสียใส่แค่ยิ้มและขอโทษพร้อมทั้งปรับปรุงไม่ทำผิดซ้ำอีก ไป ๆ มา ๆ เขามาช่วยงานเธอเป็นสัปดาห์จนเธอนึกว่าเขาลาออกจากงานแล้ว“ผมลาพักร้อน” เขายิ้ม ตั้งใจว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ตีสนิทกับลูกชายเสียหน่อย ยังไงก็เป็นแค่เด็กแม้จะหวงแม่มากไปนิดแต่เขาเชื่อว่าสามารถพิชิตใจลูกชายได้ เพราะตอนนี้น้องภีมก็ไม่ได้ทำหน้าตึงใส่เขาแล้ว แม้จะมีบ้างที่ยังลังเลเวลาเขาซื้อของเล่นมาให้“แล้วถ้าหมดวันลาพักร้อนล่ะ” เธอถามแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจนัก แต่ลึก ๆ แล้ว ก
“ไหน ๆ ก็มาโรงพยาบาลแล้ว ตรวจดีเอ็นเอไปด้วยเลยแล้วกัน”“ค่ะ” เธออยากทำให้เขาสบายใจไม่ใช่คิดว่าเธอไปมั่วกับคนอื่นแล้วมาปรักปรำให้เขาเป็นพ่อของน้องภีมทั้งสามใช้เวลาอยู่โรงพยาบาลเอกชนไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จธุระ เด็กชายภีมมีแค่แผลถลอกเล็กน้อยทุกอย่างปกติดี ส่วนผลตรวจดีเอ็นเอใช้เวลาประมาณยี่สิบวัน ไหน ๆ ก็ได้ตรวจแล้ว กรณ์กิตติจึงเลือกฟลูโปรแกรมตรวจสุขภาพเด็กไปด้วยวันนี้มีเรื่องมากมาย เจ้าตัวน้อยเริ่มง่วงแล้วนั่งรถก็คอพับคออ่อนตลอดทาง กรณ์กิตติก็นึกได้ว่าตัวเองคงต้องเอารถไปติดคาร์ซีทให้ลูก“ขอบคุณที่มาส่งแล้วก็จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ”ญาดาเอ่ยขึ้นแล้วจะปลุกลูกเพื่อลงจากรถ สองแม่ลูกนั่งเบาะหลังจึงเหมือนกรณ์กิตติเป็นคนขับรถให้ ชายหนุ่มรีบห้ามไว้ก่อนแล้วเดินลงไปอุ้มเด็กน้อยด้วยตัวเอง“เด็กหลับอยู่ให้เขาหลับไปเถอะ ตื่นตอนนี้ก็งอแงเปล่า ๆ”“เคยเลี้ยงเด็กหรือคะ”“ผมช่วยแม่เลี้ยงน้องสองคน สมัยนั้นไม่มีผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผมต้องซักผ้าอ้อมให้น้อง ๆ” เขายิ้มขำแล้วอุ้มลูกชายพาเดินเข้าไปในบ้าน และพาลูกชายไปนอนบนเตียง“ห้องแคบไปหน่อยนะ”
แม้จะมีแค่แผลถลอกเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กรณ์กิตติก็ขอให้ทางโรงพยาบาลตรวจอย่างละเอียด ระหว่างที่ยืนรอหน้าห้องเอ็กซเรย์ ชายหนุ่มชำเลืองมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คงเพราะความเป็นแม่ทำให้เธอไม่โต้แย้งเขาเมื่อเสนอให้ตรวจอย่างละเอียด“ญาดา” กรณ์กิตติเรียกเบา ๆ “เราต้องคุยเรื่องน้องภีมอย่างจริงจัง”“เพื่ออะไรคะ” เธอหันมาถามรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เรื่องคืนนั้นมันก็เป็นความผิดของฉัน มันจบลงแล้ว คุณไม่ต้องมาวุ่นวายอะไรอีก”“เด็กคนนั้นเป็นลูกผมใช่ไหม”“คุณมั่นใจเหรอว่าผู้หญิงอย่างฉันไม่ได้มั่วกับคนอื่น”“ญาดา เราคุยกันด้วยเหตุผลได้ไหม”“ถ้าอย่างนั้นคุณบอกเหตุผลที่คุณอยากรู้ว่าน้องภีมเป็นลูกใครได้ไหมล่ะ ถ้าน้องภีมเป็นลูกคุณ คุณจะทำยังไง”“ผมก็ต้องรับผิดชอบสิ”“รับผิดชอบยังไงคะ”“ก็ค่าเลี้ยงดู ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ”คราวนี้ญาดาผ่อนลมหายใจออกมา “คุณไม่ได้จะมาเอาลูกไปจากฉันใช่ไหม”“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น” เขาเข้าใจดี ถ้าเขาเอาลูกไปเธอคงคลั่งแน่ แค่เมื่อครู่เขาแย่งอุ้มลูกเอง เธอก็ทำท่าจะขย้ำเขาแล้ว แล้วเข