หลังจากพายุอารมณ์สงบพร้อมกับทิ้งคราบเลือดจาง ๆ ไว้บนที่นอน เธอรวบรวมเรี่ยงแรงเดินออกมาโดยไม่หันหลังไปมองและไม่สนใจคำขู่ของเขา เธอไม่เหลืออะไรแล้ว ทุกอย่างจบสิ้น เมื่อกลับถึงบ้านและเธอได้สารภาพเรื่องทั้งหมด คนในครอบครัวกลับหัวเสียด่าเธอเสียยกใหญ่ ไม่มีคำให้กำลังใจหรือปลอบโยนใด ๆ มีแต่คำซ้ำเติมถากถาง จนเธอแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งแม่มาเรียกเธอไปพบและนั่งคุยกับพ่อรวมทั้งพี่ชายสองคน และบอกให้เธอรู้ว่า
“แต่งงานกับเสี่ยสิงห์”
“คะ?”
“ได้ยินชัดแล้วจะถามทำไม” คนเป็นพ่อทำหน้าเบื่อหน่าย
“แต่เสี่ยสิงห์อายุมากกว่าพ่ออีกนะคะ” ญาดาส่ายหน้าไปมา ที่เธอยอมเอาตัวเข้าแลกกับภาวัตเพราะเขาทั้งหล่อและรวย แต่นี่...จะให้เธอแต่งงานกับผู้ชายอายุหกสิบกว่า เธอไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะทำกับเธออย่างนี้
“แก่สิดี จะได้ตายเร็ว ทรัพย์สินมรดกก็ตกมาอยู่กับแกไง” แม่พูดขึ้น
“แม่คะ เราหาวิธีประนอมหนี้กับธนาคารได้ไหม ยอมรับสภาพหนี้”
“บ้าสิ! จะให้ใครรู้ว่าเราจนได้ยังไง”
พี่ชายสองคนตวาดเสียงดังจนญาดาเผลอหดคอด้วยความกลัว สิ่งนี้คือความจริงที่คนนอกไม่รู้ เวลามีสัมภาษณ์มีถ่ายภาพครอบครัว ทุกคนจะยิ้มแย้มโอบกอดอย่างรักใคร่กลมเกลียว แต่ในความจริงมันตรงข้าม ตอนนั้นเธอก็ทุ่มเทกับภาวัตสุดกำลังเพื่อหวังจะได้ออกจากครอบครัวนี้ แม้รู้ว่าภาวัตมีผู้หญิงที่คบหาดูใจกันอยู่แล้ว
แม้จะพยายามอ้อนวอนขอร้องยังไงก็ไม่เป็นผล ญาดาต้องมาให้เสี่ยสิงห์ดูตัว เขาเป็นผู้ชายอายุหกสิบห้าที่รูปร่างอ้วนท้วน ศีรษะล้านแต่สวมสร้อยทองเส้นโต เสี่ยสิงห์กวาดตามองเธอขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนกำลังประเมินสินค้า แล้วก็พยักหน้าอย่างพอใจ
“ใช้ได้ ๆ ผอมไปหน่อยแต่ฉันขุนให้อ้วนได้ มาอยู่ดูแลฉัน มาเป็นเมียฉัน แต่ฉันไม่แต่งงานหรอกนะ แค่จดทะเบียนก็พอได้”
“ได้ ๆ แค่เสี่ยพอใจยังไงก็ได้”
“ค่าสินสอดสามสิบล้านขาดตัว ห้ามขอเพิ่มอีก ให้หนูญาดามาอยู่กับฉันแล้วก็ตัดญาติกันไปเลย ฉันไม่เลี้ยงดูคนอื่นหรอกนะ”
“แหม เสี่ยสิงห์ก็...ยังไงก็ลูกมีพ่อมีแม่ก็ให้ญาดามาเยี่ยมครอบครัวบ้าง”
“แค่เยี่ยมมันก็ได้ แต่เรื่องเงินให้แค่นี้คือจบ”
มันไม่เหมือนเงินค่าสินสอดเลยสักนิด เหมือนค่าตัวเธอมากกว่า ญาดากัดริมฝีปากข่มความปวดร้าวในอก เธอจะต้องใช้ชีวิตแบบนี้จริง ๆ หรือ ชีวิตเธอไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วหรือ
จู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา ยิ่งเมื่อเสี่ยสิงห์ยื่นมือมาเชยคางเธอขึ้น เธอก็ทนกลั้นไม่ไหวเบือนหน้าไปอาเจียนทันที
“ไอ้หยา! นี่มันอะไรกัน”
“คงเครียด เอ่อ ตื่นเต้นน่ะค่ะ” คนเป็นแม่รีบลุกขึ้นมาลูบหลังลูกสาว แต่ญาดายิ่งรู้สึกแย่ลงมากกว่าเดิม หลายวันมานี้เธอกินอะไรไม่ลง คลื่นไส้อาเจียนแต่คิดว่าเป็นเพราะความเครียดที่ถูกจับแต่งงาน
“ไหนบอกลูกสาวแข็งแรงดี มาป่วยอะไรแบบนี้ ไม่เอา ๆ ฉันไม่เลี้ยงคนป่วย” เสี่ยสิงห์พูดด้วยท่าทีรังเกียจ
“ใจเย็น ๆ ครับเสี่ย ลูกสาวผมแข็งแรงดี คงตื่นเต้นที่ได้เจอเสี่ย”
ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งเหม็น ญาดาลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่กลับหน้ามืดหมดสติไป มารู้ตัวอีกทีก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว ทันทีที่ลืมตาก็เห็นสีหน้าโกรธเกลียดของพ่อกับแม่
“นังลูกชั่ว เรื่องดีทำไม่ได้ เรื่องงามหน้าละถนัดนัก”
“แม่พูดเรื่องอะไร”
“ไปเอาออกเลย ไอ้ที่อยู่ในท้องแกนั้นนะ ฉันไม่นับมันเป็นหลานเด็ดขาด”
“อะไรนะ!” ญาดาตกใจและยกมือวางบนหน้าท้องตามสัญชาตญาณ ที่พ่อพูดแบบนั้นหมายความ “หนูท้องเหรอ”
สายตาของทุกคนในห้องหันขวับไปมองเจ้าของเสียงดุดันที่ก้าวพรวดพราดเข้ามาอย่างไม่สนใจมารยาท แค่ได้ยินเสียงร้องไห้หัวใจคนเป็นพ่อก็เจ็บปวด เด็กน้อยเห็นคนคุ้นเคยที่ทำให้อุ่นใจก็หยุดร้องแล้วยื่นมือไปสุดแขนความหมายคือต้องการให้กรณ์กิตติอุ้มคนเป็นพ่อไม่รอช้าไม่สนใจหน้าใครทั้งนั้น เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกแล้วก้าวมายืนเคียงข้างญาดา“แกเข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง ใครอนุญาต ไม่มีมารยาท!” พ่อของญาดาส่งเสียงดังทำให้เด็กชายกลัวจนซุกหน้ากับบ่าของพ่อ“ผมเป็นพ่อของน้องภีม” กรณ์กิตติยังไม่อยากใช้ไม้แข็ง ยังไงก็ไม่อยากให้ครอบครัวมีปัญหาไปมากกว่านี้“แก..แกที่มันทำลายอนาคตของลูกสาวฉัน”“พ่อคะ...ก็บอกแล้วไงว่าเป็นความผิดของญาดาเอง”“นังลูกชั่ว!”“ขอเถอะครับ อย่าพูดหยาบคายและใช้เสียงดังต่อหน้าเด็กแบบนี้” กรณ์กิตติลดน้ำเสียงลงและลูบแผ่นหลังของลูกอย่างปลอบโยน ประโยคของเขาทำให้ผู้ใหญ่ทุกคนเงียบปากลง กรณ์กิตติจึงพูดต่อ“ผมเป็นพ่อของน้องภีมและพร้อมจะรับผิดชอบ แม้ผมไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็สามารถเลี้ยงดูลูกเมียได้ ไม่ให้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องลำบากใจ”“ไม่ได้นะ ญาดา
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายจะลางานไปเพราะผู้หญิงคนเดียว”เสียงภาวัตเอ่ยถามทันทีที่เห็นกรณ์กิตติเดินเข้ามาในออฟฟิศ เลขาฯ หนุ่มถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขายืนประสานมือนิ่งอยู่หน้าเจ้านายของตน“ที่บอกว่าเรื่องด่วนนี่เรื่องอะไรครับ”“เดี๋ยวนี้ฉันเรียกนาย ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”“มันยังอยู่ในวันลาพักของผมครับ”กรณ์กิตติตอบน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้คิดกระด้างกระเดื่องผู้เป็นนายแต่อย่างใด เพียงแต่ตอนนี้เขามีลูกและเมียที่ต้องดูแล ไม่สามารถทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อเจ้านายได้ภาวัตยื่นซองจดหมายส่งให้ บนหน้าซองมีโลโก้ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ กรณ์กิตติเห็นก็จำได้ทันทีว่าเป็นโรงพยาบาลที่ตรวจดีเอ็นเอของเขาและลูก“เจ้านายครับ...” กรณ์กิตติพูดน้ำเสียงเคร่งเครียด“ทำไมฉันถึงมีซองจดหมายนี้ใช่ไหม จริง ๆ ฉันไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวนาย แต่อยากรู้ว่าทำไมอยู่ ๆ นายถึงหยุดงานไปเป็นเดือน”“ผมไม่เคยคิดทรยศหักหลังเจ้านาย” เขาพูดไปตามสัตย์จริง“เรื่องนั้นฉันรู้ ฉันมั่นใจว่า นายจะไม่ทำอย่างนั้นกับฉันและภัควเดชา แต่นายรู้หรือเปล่า ผู้หญิงที่นายยุ่งอยู่
เก๋ไก๋เดินลงมาจากชั้นบนหิ้วกระเป๋าสีรุ้งเตรียมไปทำงานต่างจังหวัด ช่วงนี้ได้งานแต่งหน้านักแสดงในกองถ่าย เธอจึงไม่ค่อยได้อยู่บ้านนัก แต่ก่อนเธอมักเป็นห่วงญาดากับลูกที่ต้องอยู่บ้านกันแค่สองคน แต่ตอนนี้ที่บ้านมีผู้ชายตัวโตมาอยู่ด้วย ถึงจะเทียวไปเทียวมาแต่ก็นับได้ว่าดูแลสองแม่ลูกอย่างดีในห้องนั่งเล่นที่เป็นทุกอย่างของบ้าน มีสองหนุ่มต่างวัยกำลังต่อรางรถไฟจำลอง เด็กชายภีมหัวเราะคิกคักปีนหลังขี่คอเล่นสนุกสนาน ดูไปดูมาเหมือนมีเด็กชายสองคนในบ้านเสียมากกว่า“นี่ซื้อมาเอาใจน้องภีมหรือว่าอยากเล่นเองคะ” เก๋ไก๋หัวเราะแล้วชี้ ๆ ไปที่ของเล่นในห้อง“ก็ทั้งซื้อให้ลูกแล้วก็อยากเล่นเองด้วยครับ” กรณ์กิตติหัวเราะเขิน ๆ “ตอนเด็ก ๆ อยากเล่นแต่ไม่มีเงิน พอมีลูกแล้วก็เลยขอเล่นพร้อมลูกเลยแล้วกัน”เก๋ไก๋ได้ยินเขาเรียก ‘ลูก’ อย่างไม่ขัดเขินก็ยิ้มพอใจ “ฝากดูแลสองแม่ลูกด้วยนะคะ เก๋ไก๋ไปทำงานสามสี่วันถึงจะกลับ”“ได้ครับ ไม่ต้องห่วงแล้วถ้าติดขัดอะไรหรือจะให้ไปรับก็โทรบอกได้นะครับ นั่งแท็กซี่ดึก ๆ มันอันตราย”“ต๊ายรู้ว่าฉันกลับดึกด้วย” เก๋ไก๋หัวเราะร่า “คุณก็รู้ว่าฉันเป็นสาว
กลายเป็นภาพไม่คุ้นตาเมื่อหน้าร้านอุ่นรักเบเกอรี่มีพนักงานขายเป็นผู้ชายตัวโต วันแรก ๆ ทำหน้านิ่งเคร่งขรึมจนลูกค้านึกว่าเป็นพวกเจ้าหนี้นอกระบบ“นี่คุณจะมาช่วยหรือไล่ลูกค้า”ญาดาดุกรณ์กิตติ เขาขออาสาเป็นผู้ช่วยในร้านของเธอ หญิงสาวจำได้ว่าวันแรกที่เห็นเขาโผล่หน้ามาแต่เช้าและบอกวัตถุประสงค์ที่มา เธอกวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คนตัวสูงสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์แบบที่เธอไม่เคยเห็น สลัดภาพเลขาฯ หนุ่มที่สวมสูทเนี้ยบตลอดเวลา เธอให้เขามาช่วยงานเพราะคิดว่าเขาคงทำได้ไม่กี่วันก็คงหายไปจากชีวิตเธอเอง วันแรกก็ถูกเธอดุยกใหญ่แต่เขาก็ไม่โกรธหรือหัวเสียใส่แค่ยิ้มและขอโทษพร้อมทั้งปรับปรุงไม่ทำผิดซ้ำอีก ไป ๆ มา ๆ เขามาช่วยงานเธอเป็นสัปดาห์จนเธอนึกว่าเขาลาออกจากงานแล้ว“ผมลาพักร้อน” เขายิ้ม ตั้งใจว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ตีสนิทกับลูกชายเสียหน่อย ยังไงก็เป็นแค่เด็กแม้จะหวงแม่มากไปนิดแต่เขาเชื่อว่าสามารถพิชิตใจลูกชายได้ เพราะตอนนี้น้องภีมก็ไม่ได้ทำหน้าตึงใส่เขาแล้ว แม้จะมีบ้างที่ยังลังเลเวลาเขาซื้อของเล่นมาให้“แล้วถ้าหมดวันลาพักร้อนล่ะ” เธอถามแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจนัก แต่ลึก ๆ แล้ว ก
“ไหน ๆ ก็มาโรงพยาบาลแล้ว ตรวจดีเอ็นเอไปด้วยเลยแล้วกัน”“ค่ะ” เธออยากทำให้เขาสบายใจไม่ใช่คิดว่าเธอไปมั่วกับคนอื่นแล้วมาปรักปรำให้เขาเป็นพ่อของน้องภีมทั้งสามใช้เวลาอยู่โรงพยาบาลเอกชนไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จธุระ เด็กชายภีมมีแค่แผลถลอกเล็กน้อยทุกอย่างปกติดี ส่วนผลตรวจดีเอ็นเอใช้เวลาประมาณยี่สิบวัน ไหน ๆ ก็ได้ตรวจแล้ว กรณ์กิตติจึงเลือกฟลูโปรแกรมตรวจสุขภาพเด็กไปด้วยวันนี้มีเรื่องมากมาย เจ้าตัวน้อยเริ่มง่วงแล้วนั่งรถก็คอพับคออ่อนตลอดทาง กรณ์กิตติก็นึกได้ว่าตัวเองคงต้องเอารถไปติดคาร์ซีทให้ลูก“ขอบคุณที่มาส่งแล้วก็จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ”ญาดาเอ่ยขึ้นแล้วจะปลุกลูกเพื่อลงจากรถ สองแม่ลูกนั่งเบาะหลังจึงเหมือนกรณ์กิตติเป็นคนขับรถให้ ชายหนุ่มรีบห้ามไว้ก่อนแล้วเดินลงไปอุ้มเด็กน้อยด้วยตัวเอง“เด็กหลับอยู่ให้เขาหลับไปเถอะ ตื่นตอนนี้ก็งอแงเปล่า ๆ”“เคยเลี้ยงเด็กหรือคะ”“ผมช่วยแม่เลี้ยงน้องสองคน สมัยนั้นไม่มีผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผมต้องซักผ้าอ้อมให้น้อง ๆ” เขายิ้มขำแล้วอุ้มลูกชายพาเดินเข้าไปในบ้าน และพาลูกชายไปนอนบนเตียง“ห้องแคบไปหน่อยนะ”
แม้จะมีแค่แผลถลอกเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กรณ์กิตติก็ขอให้ทางโรงพยาบาลตรวจอย่างละเอียด ระหว่างที่ยืนรอหน้าห้องเอ็กซเรย์ ชายหนุ่มชำเลืองมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คงเพราะความเป็นแม่ทำให้เธอไม่โต้แย้งเขาเมื่อเสนอให้ตรวจอย่างละเอียด“ญาดา” กรณ์กิตติเรียกเบา ๆ “เราต้องคุยเรื่องน้องภีมอย่างจริงจัง”“เพื่ออะไรคะ” เธอหันมาถามรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เรื่องคืนนั้นมันก็เป็นความผิดของฉัน มันจบลงแล้ว คุณไม่ต้องมาวุ่นวายอะไรอีก”“เด็กคนนั้นเป็นลูกผมใช่ไหม”“คุณมั่นใจเหรอว่าผู้หญิงอย่างฉันไม่ได้มั่วกับคนอื่น”“ญาดา เราคุยกันด้วยเหตุผลได้ไหม”“ถ้าอย่างนั้นคุณบอกเหตุผลที่คุณอยากรู้ว่าน้องภีมเป็นลูกใครได้ไหมล่ะ ถ้าน้องภีมเป็นลูกคุณ คุณจะทำยังไง”“ผมก็ต้องรับผิดชอบสิ”“รับผิดชอบยังไงคะ”“ก็ค่าเลี้ยงดู ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ”คราวนี้ญาดาผ่อนลมหายใจออกมา “คุณไม่ได้จะมาเอาลูกไปจากฉันใช่ไหม”“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น” เขาเข้าใจดี ถ้าเขาเอาลูกไปเธอคงคลั่งแน่ แค่เมื่อครู่เขาแย่งอุ้มลูกเอง เธอก็ทำท่าจะขย้ำเขาแล้ว แล้วเข