LOGINบทที่ 2 มารดา
ห้องทรงพระอักษรเงียบสงัด ราวกับแม้เสียงลมหายใจก็เป็นสิ่งต้องห้าม
ชายหนุ่มในชุดมังกรสีดำทองนั่งหลังตรงบนบัลลังก์ประจำราชสำนัก ดวงเนตรเรียบนิ่งของเขาแน่วนิ่งมองประตูไม้จันทน์บานใหญ่เบื้องหน้า
“เปิด”
เสียงรับสั่งเพียงหนึ่งคำ ประตูบานนั้นจึงเปิดออกอย่างช้า ๆ เผยร่างของสตรีในชุดผ้าหยาบผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงธรณี
เขามองนาง… นิ่งนาน
ไม่มีถ้อยคำ ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีแม้แววไหวใด ๆ บนใบหน้า
เจิ้งซูเฟยก้าวเข้าสู่ห้องทรงอักษร ช้าและสง่า แม้จะไร้เครื่องทรงหรูหรา
นางมองเขา… ด้วยดวงตาเปี่ยมด้วยบางสิ่งที่ยากจะอธิบาย
“เจ้าสูงขึ้นมาก” เสียงของนางแผ่วเบา “…คล้ายบิดาเจ้ายิ่งนัก เมื่ออยู่ในวัยเดียวกัน”
ฮ่องเต้ไม่ตอบ ไม่แม้แต่ขยับเปลือกตาเขายังจำถ้อยคำนั้นได้ จำกลิ่นหอมจากอกอุ่น ๆ ที่เคยซบในวัยเยาว์ แต่วันนี้ เขาไม่อาจแสดงความอ่อนแอได้
“ท่านมาด้วยฐานะใด” พระองค์ถามเสียงเรียบ
“ฐานะมารดาของเจ้า” นางตอบทันที
พระองค์หัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างไม่อาจกลั้น
“มารดา มารดาที่ทิ้งโอรสไว้ในวังกับคำใส่ร้ายว่าปองพระชนม์ฮ่องเต้”
“ข้าถูกใส่ร้าย” เสียงของนางยังคงมั่นคง ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย “แต่เจ้าคงรู้ดีอยู่แล้ว… มิใช่หรือ”
ฮ่องเต้เงียบไป ในดวงตาคมคู่นั้นมีบางสิ่งไหววูบ… ความลังเล หรือความเจ็บปวด
“ตอนข้าแปดขวบ… ข้าเฝ้ารอให้ท่านกลับมาอธิบาย เสด็จพ่อตรัสกับข้าว่าให้อภัยท่านแล้ว” เขากล่าวเสียงต่ำ “แต่ท่านก็ไม่กลับมา ข้ารอ… รอจนข้าต้องลุกขึ้นเอง ต้องแข็งแกร่ง ต้องสาบานต่อหน้าวิญญาณเสด็จพ่อว่าจะไม่มีวันปล่อยให้ผู้ใดทำให้ข้า ‘ไร้แม่’ ได้อีก…”
เจิ้งซูเฟยยืนนิ่ง ดวงตาคู่งามฉายแววปวดร้าว
“ข้าไม่เคยทิ้งเจ้า…”
เสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อยเป็นครั้งแรก “แต่ข้าถูกลากออกจากตำหนักต่อหน้าต่อตาเจ้า ข้าไม่มีแม้โอกาสจะได้เอ่ยคำลา ตอนนั่นเสด็จพ่อของเจ้าไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อช่วยเหลือข้าได้ ทำได้เพียงขอลมหายใจของข้าไว้ ขังข้าไว้ที่อารามบนเขา”
“แต่ท่านก็อยู่เฉยถึงสิบห้าปี”
เสียงของเขาแหลมคมขึ้น
“ไม่มีจดหมาย ไม่มีเงา ไม่มีแม้กระทั่งข่าวคราว คนเป็นแม่คนใดปล่อยลูกให้เติบโตในวังที่เต็มไปด้วยพิษภัย โดยไม่แม้แต่หันกลับมามอง”
เพียะ!
เสียงฝ่ามือของเจิ้งซูเฟยฟาดลงกับอกตนเอง
“เพราะหากข้ากลับมาเร็วกว่านี้ เจ้าจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น!” นิ้วเรียวชี้ไปยังบัลลังก์มังกร “ตอนนั้นข้าไม่มีสิทธิ์กลับมา… ไม่มีแม้แต่ชื่อ! เพียงแค่ก้าวลงเขาก็อาจสิ้นลมหายใจตรงนั้น หากเสด็จพ่อของเจ้าบอกว่าให้อภัยข้าจริง เหตุใดไม่ส่งคนไปรับข้า ก็ไม่เพราะเขาหรอกหรือที่ขังข้าไว้บนนั้น สั่งทหารองครักษ์คุมเข้มไม่ให้มีผู้ใดก้าวขึ้นไปบนนั้นแม้แต่คนเดียว”
ริมฝีปากโค้งเป็นรอยยิ้มขมก็ดีเหมือนกัน… อย่างน้อยมันก็ทำให้มารดาผู้เป็นที่รักยิ่งของเขาไม่ได้ส่งนักฆ่ามาจัดการนางได้ง่าย ๆ ต้องขอบคุณเขาสินะ หากเขาไม่ตาย บุตรชายของนางคงไม่มีโอกาสได้ขึ้นนั่งตรงนี้… และต้องขอบคุณเขาอีก ที่ยังทำตามสัญญาเพียงข้อเดียวส่งมอบบัลลังก์ให้บุตรชายของนาง อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เขารับปากนางแล้วทำได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าในบันทึกของราชสำนัก เขียนไว้ว่า ‘ฮองเฮาถึงแก่กรรม’ ตั้งแต่คืนที่ข้าถูกปลด!”
น้ำเสียงของนางปะปนทั้งโกรธและเจ็บจนบาดหัวใจ
“ข้าคือคนตายสำหรับแผ่นดินนี้มานานแล้ว แต่ในใจข้า… เจ้าไม่เคยตายเลยแม้แต่วันเดียว”
ฮ่องเต้นิ่งไปนานมาก ดวงตาของเขาร้อนผ่าว แต่ไม่ยอมกะพริบ ไม่ยอมหลั่งหยดน้ำตาแม้แต่หยดเดียว
“ท่าน… ยังคิดให้ข้าเรียกท่านว่า แม่ อยู่หรือไม่”
เจิ้งซูเฟยมองบุตรชายผู้สูงศักดิ์ แววตานางอ่อนลง รอยยิ้มบาง ๆ แตะที่มุมปาก แม้น้ำตาคลอเต็มเบ้า
“เจ้าเรียกหรือไม่ เรียกอย่างไรก็ได้…หรือจะไม่เรียกอะไรเลย แต่ข้ายังเป็นแม่เจ้าเสมอ”
บุตรผู้ถูกพรากจากมารดา มารดาผู้ถูกประณามว่าเป็นกบฏทั้งสองกลับมายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้งในสถานะที่ไม่อาจเรียกกลับเป็นเหมือนเดิมได้ง่าย ๆ
หากแต่นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดโปงความจริงที่ฝังลึก… และการคืนศักดิ์ศรีที่ถูกช่วงชิงไป
บทที่ 17 พิษในร่มเงามีดที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้ม อันตรายยิ่งกว่าหอกทิ่มตรงหน้า และบางครั้ง การไว้ใจผิดคน…ก็เท่ากับเชิญภัยมาถึงตำหนักหลังการพิจารณาคดีในท้องพระโรง เจิ้งซูเฟยกลับตำหนักอย่างสงบ แต่ภายในวังยังมีแรงสั่นสะเทือนอยู่เงียบ ๆเพียงหนึ่งวันหลังจากนั้นขันทีผู้ดูแลตำหนักไท่ฮวา เอ่ยต่อไท่เฟยด้วยความนอบน้อม“เสี่ยวหลิง ลูกสาวมัวมัวเก่าผู้จงรักภักดี…ได้สมัครเข้ารับใช้ในตำหนักไท่เฟยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไท่หวงไท่โฮว่เพียงพยักหน้า แต่สายพระเนตรเย็นดุจน้ำแข็ง“บอกนางว่า…ข้าต้องการความจริง ไม่ใช่ความภักดี”เสี่ยวหลิง นางอายุเพียงสิบหกปี ใบหน้ากลมขาว ผูกเปียเล็กหลังศีรษะ พูดจาเรียบร้อย ไม่สอดรู้ ไม่เสนอตัวเกินงามวันแรกที่เข้าตำหนัก เจิ้งซูเฟยมองอย่างเรียบเฉย“เจ้าชื่ออะไร”“เสี่ยวหลิงเพคะ มารดาเคยทำงานในวังสมัยก่อน”“ข้าไม่ถามเรื่องมารดา ข้าถามว่าเจ้าตั้งใจจะรับใช้อย่างไร”คำตอบที่เสี่ยวหลิงตอบ คือการก้มกราบลงอย่างเงียบงันหลายวันผ่านไปเสี่ยวหลิงดูเป็นเด็กขยัน ซื่อสัตย์ ไม่เคยซุบซิบ แต่นางมักอยู่ใกล้เอกสาร โต๊ะเขียนหนังสือ หรือห้องเก็บของสำคัญ และทุกค่ำคืน จะกลับห้องช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อยเสมอคนส
บทที่ 16 หรงชิง บุรุษผู้หวนคืนจากความตายบางคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว บางคนภาวนาให้เขาตายเสียที แต่เขากลับก้าวเข้าสู่ประตูวัง…ด้วยเท้าที่มั่นคง และหัวใจที่ยังภักดีต่อความจริงต้นฤดูใบไม้ร่วง ลมแล้งพัดแรงจากชายแดนเหนือ คาราวานหนึ่งจากแดนเถื่อนเคลื่อนเข้าสู่พระนครอย่างไร้ผู้เหลียวแลทว่าในหมู่ผู้เดินทางนั้น…มีชายสวมผ้าหยาบซีด ไม่เผยใบหน้า“นั่น…หน้าคล้ายอัครเสนาบดีหรงชิง!”“เป็นไปไม่ได้! เขาถูกประหารไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน!”ข่าวลือแพร่กระจายดุจไฟลามหญ้าในวังหลวงขุนนางชราหน้าซีดเผือด ขุนนางรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามราชสำนัก…เคยฆ่าคนผิดหรือไม่ในตำหนักลับของขุนนางผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ชายในชุดหยาบเผยโฉมอย่างชัดเจนต่อหน้าฮ่องเต้“หม่อมฉัน…หรงชิง ขอกลับมาสู่แผ่นดินภายใต้พระบารมีอีกครั้งสิบปีที่ผ่านมา…หม่อมฉันมิได้ตาย แต่ถูกขับให้ลี้ภัย รอวันที่ความจริงจะได้เป็นธรรม”เขาคลี่ผ้าผืนหนึ่งออกในนั้นคือจดหมายของเจิ้งซูเฟยจากสิบปีก่อนหมึก ตราประทับ และลายมือ…ตรงกับต้นฉบับทุกประการเนื้อความในจดหมายนั้น…มิใช่ถ้อยคำแห่งความรักแต่คือถ้อยคำแห่งความกล้า“…แม้ข้าจะไร้อำนาจ แต่หากท่านยังมีเมตตา ขอท่านอย่าปล่
บทที่ 15 อ้อมกอดที่แสนคนึงหาใต้เงามืดในวังหลังมีคนกลุ่มหนึ่งเดินลัดเลาะตามเงาที่ถอดยาว เมื่อถึงตำหนักของเจิ้งซูเฟย หนึ่งในชายชุดดำก็แยกตัวออกมาและเล้นกายเข้าไปภายในประตูไม้เปิดออกช้า ๆเงาร่างสูงสง่าในชุดคลุมไหมเข้มก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์เมื่อเห็นเจิ้งซูเฟยที่กำลังนั่งให้คนสนิทพันผ้าพันแผลให้อยู่ ร่างสูงก็ยืนนิ่งราวกลับถูกแช่แข็งไว้ สนิทของเจิ้งซูเฟยเห็นผู้บุกลุกก็รีบลุกแล้วออกไปด้านนอกในทันทีชายในชุดดำทรุกกายลงนั่งแทนที มือหนาพันแผลที่ยังค้างเอาไว้ต่ออย่างเบามือเขาเงยหน้าสบตาคนตรงหน้าที่มีดวงตาเช่นเขา“มาสาย”“เสด็จแม่ไม่เห็นต้อง…ทำเช่นนี้”“นางจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมเจ้าให้ตำแหน่งแม่ง่ายดาย”“แต่แขนของท่าน หากข้าไปช้าอีกนิด ไม่รู้ว่า” เขาตอบเสียงแผ่ว “เสด็จย่าจะทำเช่นไรกับท่านต่อ ในตำหนักนั่นมีแต่คนของนาง”เจิ้งซูเฟยยกยิ้มบาง ดวงหน้าอ่อนโยนอย่างที่ไม่มีใครในวังเคยเห็น“แต่เจ้าก็ไปทันมิใช่นหรือ เจ้าโตแล้วจริง ๆ เจ้า…โตพอจะปกป้องแม่แทนแล้ว”“อย่าทำเช่นนี้อีก หากข้าเห็นท่านต้องบาดเจ็บตรงหน้า ไม่รู้ว่าทนเปิดบังความรักที่ข้ามีต่อท่านได้แค่ไหน”“มากกว่า
บทที่ 14 บาดแผลไท่หวงไท่โฮ่วทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพระเนตรวาวขึ้นเหมือนประกายเหล็กกระทบกัน พระสุรเสียงแผ่วต่ำแต่ทิ่มแทงราวคมดาบ“สามหาว… เจ้าอย่าคิดว่าเพียงเพราะหวงเชิงมอบตำแหน่งให้ เจ้าจะมีสิทธิ์เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้า ข้า ได้”สุรเสียงแผ่วต่ำแต่แฝงแรงกดดันจนลมหายใจในตำหนักหนักอึ้ง “แม้ตอนนี้ข้าจะไม่ได้บัญชาหลังม่าน แต่วังหลังแห่งนี้… ข้าต่างหากคือผู้เป็นใหญ่ที่สุด”เจิ้งซูเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นเบาราวจะกลืนหายไปในอากาศ แต่กลับบาดลึกกว่าเสียงตวาดใด ๆ“เพียงแค่ ตอนนี้ เท่านั้น… เสด็จแม่”คำเรียกขานนั้นทำให้วังเวงทั้งตำหนักราวหยุดนิ่ง เวลานับสิบปีไม่เคยได้ยินคำนี้จากปากนาง แต่ครานี้กลับถูกเอ่ยออกมาอย่างจงใจ ราวใบมีดที่ทิ่มลึกลงในอดีตแววตาของไท่หวงไท่โฮ่วฉายประกายเย็นยะเยือกปนเดือดดาล ความเยือกนั้นเหมือนน้ำแข็งในฤดูหนาว ขณะความเดือดดาลเหมือนเพลิงที่กำลังบีบอัดอยู่ในม่านหมอก จนไม่อาจคาดได้ว่าพายุนี้จะระเบิดเมื่อใดพระพักตร์ที่ปกติสุขุม กลับค่อย ๆ คล้ำลงทีละส่วน ขอบพระโอษฐ์กระตุกขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาจนเส้นเลือดเย็นเฉียบในความเงียบที่กดทับ เสียงเคร
บทที่ 13 ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด สายที่มองต่ำยังคงเดิมนางหยอบกายลงอย่างงดงาม ศีรษะต่ำแต่แววตากลับคมกริบ“ไม่คิดว่าไท่หวงไท่โฮ่วจะทรงมีรับสั่งเรียกพบหม่อมฉันเช่นนี้”ภายในตำหนัก กลิ่นกำยานอวลอบอวล ราวกับถูกจงใจจุดให้คลุ้งขับความคิดของผู้มาเยือนให้พร่าเลือนไท่หวงไท่โฮ่ววางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา พระหัตถ์เรียวยังคงงดงามแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแววตาของนางเรียบสนิทเหมือนผิวน้ำในยามไร้ลม แต่ลึกลงไปกลับมีคลื่นกระเพื่อมที่อ่านไม่ออก“ข้าก็ไม่คิด…ว่าหลังจากอยู่เงียบ ๆ บนเขาเทียนจี่เกือบสิบห้าปี เจ้าจะเลือกวันเช่นนี้ลงจากเขา”เสียงนั้นอ่อนโยนราวกับกำลังสนทนากับสหายเก่า แต่ทุกคำกลับหนักราวค้อนเหล็กที่ค่อย ๆ ทุบลงบนหินเจิ้งซูเฟยเพียงยิ้มจาง ไม่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“บางครั้ง การกลับมาของผู้ที่ถูกไม่ได้รับความยุติธรรม…ก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลงั้นหรือ” ไท่หวงไท่โฮ่วแค่นหัวเราะเบา “ในวังนี้ ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล และทุกเหตุผลล้วนมีราคา”พระเนตรของนางจ้องลึกเข้ามาราวจะชำแหละหัวใจผู้ตรงข้าม “ข้ากลัวเพียงว่า…ราคาที่ท่านจ่าย จะเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเจ้าเองก็ไม่อาจแบกรับ”เจิ้งซูเฟยเล
บทที่ 12 ลายมือจากอดีตคืนหนึ่งหลังการสอบสวนขันทีเฒ่าเสร็จสิ้น หลิวกงกงผู้ซื่อสัตย์ได้นำหีบไม้เก่าใบหนึ่งมาเฝ้าพระพักตร์ เป็นหีบที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บตำราเก่า ณ หอพระราชนิพนธ์ด้านใน ซึ่งไม่มีผู้ใดแตะต้องมากว่าสิบห้าปี“ฝ่าบาท… หม่อมฉันพบสิ่งนี้ระหว่างจัดระเบียบเอกสารเก่า พระองค์โปรดทอดพระเนตรเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายในหีบมีสมุดฉบับเล็กเย็บมือ บนปกไม่มีชื่อ แต่เมื่อเปิดออก กลับเป็น ลายมือของเจิ้งซูเฟย ในยามถูกจองจำที่ตำหนักเย็นใจระหว่างการตัดสินโทษข้อความที่เปลี่ยนทุกอย่าง‘…แม้ข้าต้องยอมสละเกียรติ ยอมเป็นหญิงบ้าในสายตาโลก หากเพียงเขา…ลูกของข้า…จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าก็ยินดี’‘ข้าถูกล่อลวงให้ถือถ้วยชาที่มีพิษ’พระเนตรฮ่องเต้แข็งค้างไปนานแม้กระดาษจะเก่า แม้หมึกจะเลือนลางแต่ลายมือนั้น…ทรงจำได้ดีเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงเห็นลายมือที่ซ่อนในสมุดเล่มนั้นกลายเป็น คำให้การที่ไม่มีใครสามารถลบได้“ลายมือเช่นนี้…คล้ายกับบทกลอนที่วางไว้ข้างพระแท่นบรรทมเมื่อหลายคืนก่อนท่านแม่…เขียนถึงข้าทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีวันได้พบอีก ”ฮ่องเต้เริ่มเชื่อว่าเจิ้งซูเฟยไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์อย่างที่ถูกเล่าทรงระลึกถ







